เมื่อถึงวันนัด อิงเถากลับมารายงานซูหนี่ย์ว่าซูเจินจูออกจากบ้านไปตั้งแต่ยามเฉิน ไม่มีใครรู้ว่าไปที่ใด ซูหนี่ย์ก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่ออกไปพบคุณชายหลินเพียงลำพัง
ด้านซูเจินจูที่ออกจากบ้านมานั้น นางออกจากอำเภอเหอ ผ่านตำบลจี๋หลง และตำบลจ้างหนาน จนถึงหมู่บ้านซาน
หมู่บ้านซานเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่มีคนอาศัยอยู่เพียงห้าสิบหลังคาเรือน พื้นดินแห้งแล้งทำให้ปลูกพืชผักได้น้อยกว่าหมู่บ้านอื่น จึงไม่ค่อยมีคนนอกหมู่บ้านเข้ามาวุ่นวาย เป็นตัวเลือกที่ดีของนาง
ซูเจินจูเข้าไปพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้าน แจ้งความต้องการว่าต้องการซื้อที่ดิน หลังการสอบถามจนแน่ใจว่าพวกนางจะไม่เป็นอันตรายต่อคนในหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านก็พาพวกนางมาวัดที่ดินที่ว่างอยู่ท้ายหมู่บ้าน ที่ดินตรงนี้ด้านหน้าติดถนน รถม้าเข้าออกสะดวกด้านหลังลากยาวไปจนติดภูเขา ถัดไปอีกสิบจั้งก็เป็นลำธาร ติดตรงที่พื้นที่ตรงนี้กว้างถึงห้าสิบหมู่ ในตอนแรกซูเจินจูค่อนข้างลำบากใจถ้าหากต้องซื้อที่กว้างขนาดนี้ นางกลัวว่าเงินที่นางมีอยู่จะไม่พอ แต่เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าที่ตรงนี้หมู่ละสี่ตำลึง นางจึงรวบรัดขอซื้อที่วันนี้ทันที
ซูเจินจูจ่ายเงินสองร้อยตำลึงให้แก่เจ้าหน้าที่อำเภอพร้อมรับโฉนดที่ดินผืนแรกในชีวิตนี้มาส่งให้สี่เสวี่ย และยื่นเงินสิบตำลึงให้กับหัวหน้าหมู่บ้าน
“ขอบคุณนายหญิง” หัวหน้าหมู่บ้านยิ้มกว้างรับเงินสิบตำลึงไว้อย่างเต็มใจ เมื่อครู่ยังเรียกนางว่าแม่หนูอยู่เลย เห็นแก่หน้าเงินสิบตำลึงนางก็กลายเป็นนายหญิงเสียแล้ว
“เรียกข้าเหมือนเดิมเถอะ ต่อไปข้ากับสี่เสวี่ยคงต้องรบกวนหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว”
“ฮ่าๆ ข้าแซ่หวัง เจ้าเรียกข้าว่าลุงหวังเหมือนคนในหมู่บ้านเถอะ ต่อไปมีอะไรก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ” ลุงหวังรู้สึกถูกชะตากับแม่หนูคนนี้เสียเหลือเกิน ดูจากการแต่งตัวก็รู้ว่าต้องเป็นลูกผู้ดีมีเงิน แต่ก็ยังพูดจากับตนอย่างมีมารยาท พลางนึกไปถึงเรื่องเก่า ครั้งนึงตนเคยนำสัตว์ป่าไปขายในตำบล แม้แต่คนใช้ตระกูลผู้ดียังพูดจากับตนแย่กว่านี้เสียอีก
“ขอบคุณท่านลุงหวังเจ้าค่ะ”
ขณะนั่งรถม้ากลับมาส่งลุงหวังที่หมู่บ้าน ซูเจินจูก็ขอให้ลุงหวังหาช่างสร้างบ้านให้ ลุงหวังจึงให้รถม้าขับไปยังหมู่บ้านเติ้งกู่ หมู่บ้านเติ้งกู่มีคนงานที่มีฝีมือสร้างบ้านจำนวนมาก แต่ตอนนี้เข้าสู่ฤดูเพาะปลูกลุงหวังไม่รู้ว่าจะมีคนพร้อมไปทำงานมากน้อยเพียงใด
“คนแซ่เฉิน อยู่บ้านหรือไม่” ลุงหวังสั่งให้รถม้าจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่งที่ดูแข็งแรงกว่าบ้านหลังอื่นๆในหมู่บ้าน ผู้ที่เดินออกมาเปิดประตูคือเด็กหญิงอายุราวแปดขวบ
“ท่านพ่อไปที่นาเจ้าค่ะ”
“โอ้ อาเตี๋ยโตขนาดนี้แล้วหรือ อาฟางพี่สาวเจ้าอยู่หรือไม่ ให้นางไปตามพ่อเจ้ามาหน่อยเถอะ ข้าพาคนมาคุยเรื่องสร้างบ้าน”
“ท่านลุงเชิญเข้าบ้านก่อนเจ้าค่ะ พี่สาวข้าทำกับข้าวอยู่หลังบ้าน ข้าไปตามให้สะดวกกว่าเจ้าค่ะ” อาเตี๋ยตัวน้อยพูดจบก็วิ่งออกไปทันที รอเพียงหนึ่งก้านธูป บุรุษผู้หนึ่งก็อุ้มอาเตี๋ยเข้ามาในบ้าน
“ท่านลุงหวัง” เขาทักทายลุงหวังและปล่อยให้อาเตี๋ยวิ่งเข้าไปหลังบ้าน
“อาชุนมาแล้ว มาๆ นี่คือแม่หนูเจินจู นางซื้อที่ดินในหมู่บ้านข้า กำลังหาช่างไปสร้างบ้าน”
“คุณหนูเจินจู ข้าเฉินชุนเป็นหัวหน้าคนงาน รับสร้างบ้าน ท่านต้องการบ้านแบบไหนบอกข้าได้เลยขอรับ”
“ช่างเฉิน สิ่งแรกที่ข้าต้องการคือการล้อมรั้ว ที่ดินของข้ากว้างห้าสิบหมู่ ท่านใช้เวลานานหรือไม่”
“หากใช้อิฐต้องไปสั่งอิฐที่หมู่บ้านจั๋วมู่ ระยะเวลาขึ้นอยู่กับการส่งอิฐ ราคาอยู่ที่แปดสิบตำลึง หากใช้หินเริ่มงานได้ทันที ใช้เวลาสามวัน ราคาอยู่ที่ยี่สิบห้าตำลึงขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ใช้หินเถอะ ประตูด้านหน้าเว้นไว้ห้าจั้ง หากเจ้าทำประตูหินได้ ก็ทำประตูหินให้ข้าด้วย”
“ทำได้ขอรับ”
“ติดกับประตูหน้า ซ้าย ขวา เว้นที่ว่างไว้ก่อน ในอนาคตข้าต้องการทำห้องบ่าวรับใช้ฝั่งละสิบห้าห้อง ถัดลงมาสิบห้าจั้งทำประตูอีกชั้นนึง ประตูชั้นนี้กว้างสามจั้ง
ถัดจากประตูเข้ามาฝั่งขวา ใช้พื้นที่สิบหมู่ทำลานหิน ครึ่งซ้ายทำหลังคาจาก ครึ่งขวาปล่อยโล่ง
พื้นที่ฝั่งซ้ายสิบหกหมู่ก่อกำแพงอีกชั้นหนึ่ง ทำเป็นเรือนสองชั้น ชั้นนอกทำเพียงห้องโถง ชั้นในฝั่งซ้ายทำห้องสามห้อง ฝั่งขวาทำเป็นห้องยาวหนึ่งห้อง ตรงกลางเป็นห้องนอน ทำห้องเล็กฝั่งซ้ายและขวาด้วย ด้านหลังทำเป็นครัว ทำครัวให้ใหญ่หน่อย เรือนหลังนี้ข้าต้องการให้ใช้อิฐ หากทำตามนี้ท่านคิดราคาเท่าไหร่” ซูเจินจูพูดพลางก็ใช้กิ่งไม้มาวาดแบบคร่าวๆกับพื้นดินไปพลาง
“กำแพงหินประตูหินชั้นนอกข้าคิด สามสิบตำลึง กำแพงหินประตูหินชั้นใน สิบตำลึง ลานหินกับหลังคาครึ่งหนึ่งสามสิบห้าตำลึง บ้านอิฐสองชั้นห้าร้อยตำลึง ทั้งหมดห้าร้อยเจ็ดสิบห้าตำลึงขอรับ พวกข้าสามารถทำให้เสร็จได้ภายในสามสิบวัน”
“ได้ นี่คือตั๋วเงินสามร้อยตำลึง ข้ามัดจำเอาไว้ก่อน เมื่องานเสร็จข้าจะจ่ายส่วนที่เหลือ รบกวนท่านเขียนหนังสือสัญญาให้ข้าไว้เป็นหลักฐานด้วย” เฉินชุนรับตั๋วเงินไว้ด้วยความดีใจ ฤดูหนาวที่ผ่านมาพวกเขาไม่มีงาน ข้าวสาลี ธัญพืชก็กินจนหมด แม้แต่เงินหาซื้อเมล็ดพันธ์เพื่อเพาะปลูกยังแทบไม่มี หากได้งานนี้คนงานแต่ละครอบครัวก็จะได้ค่าแรงกันสามถึงสี่ตำลึง ตัวเขาที่เป็นหัวหน้างานและผู้ช่วยก็ได้เงินหลายสิบตำลึงเลยทีเดียว
หลังจากบอกลาช่างเฉินแล้ว ซูเจินจูก็กลับมาส่งหัวหน้าหมู่บ้านหวังที่หมู่บ้านซาน นางรบกวนหัวหน้าหมู่บ้านให้ช่วยมาดูความคืบหน้าการก่อสร้างให้นางด้วย ครั้งต่อไปที่นางจะมาที่นี่คืออีกครึ่งเดือน หลังจากฝากฝังทุกอย่างเรียบร้อยก็ยัดเงินอีกห้าตำลึงให้หัวหน้าหมู่บ้านหวังแต่คราวนี้เขาไม่รับเงินและบอกว่า แค่ชาวบ้านมีงานทำแม้ว่าจะเป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นก็ถือว่าช่วยเหลือกันแล้ว
การเดินทางไปยังหมู่บ้านชนบททำให้ซูเจินจูเหนื่อยแทบขาดใจ ความโคลงเคลงของรถม้าทั้งยังต้องนั่งบนพื้นแข็งๆ ซูเจินจูถึงกับสาบานกับตัวเองในใจว่าคราวหน้าจะต้องพกเบาะรองนั่งอย่างดีไปด้วยให้ได้!!
เมื่อกลับมาถึงบ้าน อิงชุ่ยก็มาแจ้งว่าให้นางรีบไปพบคุณชายหลินเฮงฉวนที่มารอนางอยู่สามชั่วยามแล้ว
“คุณชายหลินคุยกับคุณหนูใหญ่อยู่ กำลังอารมณ์ดี คุณหนูสี่รีบเข้าไปตอนนี้เถอะเจ้าค่ะ” น้ำเสียงอิงชุ่ยคล้ายเหยียดหยามนาง เมื่อพูดจบไม่รอให้นางพูดต่อก็เดินจากไปทันที
“อืม” ซูเจินจูสั่งให้สี่เสวี่ยเอาของไปเก็บที่ห้อง ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาคนทั้งสองที่ศาลา
“คารวะคุณชายหลินเจ้าค่ะ” ซูเจินจูเหลือบตามองหลินเฮงฉวนที่นั่งจิบชานิ่งๆ โอ้โหว พ่อหนุ่มน้อย ออกมาจากรูปวาดเหรอ ถึงได้หล่อทุกองศาแบบนี้ ที่เขาว่าหล่อเหลาราวรูปปั้นก็คงปั้นมาจากหน้าพ่อหนุ่มนี่แหง๋ๆ แต่หลินเฮงฉวนยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงหวานๆของซูหนี่ย์ก็ดังขึ้น
“เจินจูเอ๋อร์ วันนี้เจ้าผิดนัดคุณชายหลินเสียแล้ว ข้าให้คนไปตามที่ร้านก็ไม่อยู่ เจ้าไปไหนมากันแน่ถึงต้องหลบๆซ่อนๆเช่นนี้”
“ขออภัยคุณชายหลินเจ้าค่ะ” หลบอะไร ซ่อนอะไร ลืมก็ลืมสิ ถึงไม่ลืมข้าก็ไม่ไปอยู่ดี
“คุณหนูใหญ่ ข้าขอคุยกับคุณหนูสี่ตามลำพังได้หรือไม่”
“ได้เจ้าค่ะ หากคุณชายหลินต้องการอะไรก็ให้บ่าวไปเรียกหนี่ย์เอ๋อร์นะเจ้าคะ” ซูหนี่ย์ที่ได้คุยกับหลินเฮงฉวนมาหลายชั่วยามลุกขึ้นไปโดยไม่อิดออดใดๆ นางรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องไม่พอใจนังจิ้งจอกนั่นมาก หากนางไม่อยู่ด้วย เขาก็จะจัดการนางจิ้งจอกนั่นได้ง่ายขึ้น
“เจ้าไปไหนมา” หลินเฮงฉวนถามขึ้น เขาไม่พอใจมากจริงๆ หากไม่ติดเรื่องที่เขาจะต้องรับนางเข้าไปเป็นสาวใช้อุ่นเตียง การที่นางจะไปมาหาสู่กับใครก็ไม่ใช่เรื่องของเขา แค่เขาอยากได้คำอธิบายจากนางกลับต้องแลกด้วยนั่งกินข้าวกับซูหนี่ย์ ผู้หญิงที่ดูเหมือนจะขี้อายแต่ก็หาเรื่องมาคุยกับเขาไม่หยุดหย่อน ต้องทนนั่งอยู่กับนางอีกสามชั่วยาม พยายามรักษามารยาทจนหน้าชาเพื่อรอสตรีที่พยายามหลบหน้าเขาอยู่ตลอดเวลาอย่างซูเจินจู ควรเป็นเขาที่หลบหน้านางไม่ใช่หรือ หรือนางไม่พอใจที่เขายังไม่รับนางเข้าจวนจนโกรธเขาขนาดนี้
“ข้าไปดูดอกไม้ที่หมู่บ้านจั๋วมู่มาเจ้าค่ะ”
“เหตุใดจึงไม่ไปตามนัด”
“เมื่อเช้าข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย กลัวว่าหากไปตามนัดจะทำให้คุณชายหลินติดไข้หวัดจากข้าเจ้าค่ะ”
“รู้สึกไม่สบาย แต่กลับไปไกลจนถึงหมู่บ้านชนบท เหตุใดไม่พักผ่อนอยู่บ้าน” เห็นชัดๆว่านางโกหก เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงได้โกหกหน้าตายนัก
“คุณชายคงยังไม่ทราบ ว่าธรรมชาติสามารถทำให้ข้าสบายใจ และเมื่อข้าสบายใจอาการป่วยไข้ก็ลดลง ดังเช่นผู้คนมากมายที่เมื่อป่วยไข้ก็เลือกที่จะกลับไปรักษาตัวตามป่าตามเขา เพราะธรรมชาติบรรเทาอาการป่วยได้ยังไงล่ะเจ้าคะ” หากเป็นชาติที่แล้วต้องเจอคำถามรุกล้ำเรื่องส่วนตัวพวกนี้ นางคงเดินหนีหรือไม่ก็คงเลิกคบกับคนประเภทนี้ไปแล้ว คนที่ต้องรายงานตัวว่าทำอะไรตอนไหนอย่างไรเห็นทีคงมีแต่นักโทษเท่านั้น
“หากเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วก็ช่างเถอะ ต่อไปก็ให้ฮูหยินซูหาคนมาอบรมเจ้าสักหน่อย เป็นสตรีอย่าออกไปข้างนอกพียงลำพัง”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
“อีกอย่าง ตอนที่เจ้าคุยกับข้า เจ้าต้องรู้ไว้ว่าคำพูดบุรุษเป็นใหญ่ นั่นหมายถึงเจ้าต้องเคารพข้าที่เป็นบุรุษ คำพูดเถียงไปเถียงมาหาสาระไม่ได้ของเจ้า ต่อไปอย่าได้พูดอีก”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อหลินเฮงฉวนเห็นว่าซูเจินจูพูดง่ายก็ยิ้มเล็กน้อย คิ้วที่เคยขมวดจนเป็นปมก็คลายออกอย่างง่ายดาย ชั่วขณะนึงเขารู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมดนั้น เป็นเพราะซูเจินจูยังเด็ก เป็นเพียงสตรีที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่น การอบรมสั่งสอนก็ไม่ทั่วถึง อีกทั้งยังเป็นเพียงลูกของฮูหยินรอง พื้นเพของฮูหยินรองก็เป็นเพียงสาวชาวบ้านที่ถูกขายมา จะให้ตระกูลซูอบรมอย่างดีคงเป็นไปไม่ได้ ต่อไปภายหน้าหากได้เขาอบรม ซูเจินจูก็คงมีมารยาทมากขึ้นเอง
“อีกเรื่องนึง ข้าต้องการให้เจ้าเลิกยุ่งกับไฉตงชุน ในภายภาคหน้าเจ้าต้องเป็นสตรีของข้า ข้าขอสั่งห้ามเจ้า ห้ามยุ่งกับบุรุษคนใดทั้งสิ้น”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
หลินเฮงฉวนอดแปลกใจเล็กน้อยไม่ได้ เรื่องอื่นพูดง่ายก็ช่างเถอะ แต่ซูหนี่ย์บอกว่าซูเจินจูกับไฉตงชุนแอบพบกันบ่อยครั้ง ไฉนจึงตกปากรับคำเขาง่ายเช่นนี้
“เจ้าพบเขาบ่อยหรือไม่” หลินเฮงฉวนยกชาขึ้นดื่มพลางแอบสังเกตกริยาของซูเจินจู
“ข้าไม่รู้จักเขาเจ้าค่ะ” ซูเจินจูคร้านจะอธิบายนางจึงยกชาขึ้นจิบเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหลินเฮงฉวนตรงๆ
“คุณชายมีสิ่งใดจะสั่งข้าเพิ่มเติมก็เชิญสั่งมาได้เจ้าค่ะ หากไม่มีสิ่งใดแล้วข้าคงต้องขอตัวไปพักเสียหน่อย วันนี้นั่งอยู่ในรถม้าทั้งวันทำให้ร่างกายของข้าปวดเมื่อยไปหมดเสียแล้ว”
หลินเฮงฉวนถูกสายตาของซูเจินจูจ้องมาตรงๆจนเหมือนตกอยู่ในภวังค์ แม้จมีสตรีมากมายพึงใจเขา แต่ไม่มีสตรีใดเลยที่กล้าจ้องตาเขาตรงๆเช่นนี้ ดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายสดใส มีชีวิตชีวาตัดอารมณ์กับใบหน้าที่ดูเฉยชานั้น กลับเข้ากันได้ดี และยังทำให้ใจเขาสั่นอย่างประหลาด
“ข้าขอตัว” ซูเจินจูที่เห็นหลินเฮงฉวนเงียบไป นางจึงกล่าวลาอีกครั้งและลุกขึ้นมาทันที นางเพิ่งเดินไปได้สองสามก้าวก็ได้ยินหลินเฮงฉวนเรียกไว้
“หากเจ้าต้องการไปชมดอกไม้ก็ให้บ่าวไปบอกข้า คราวหน้าข้าจะพาเจ้าไปเอง” เมื่อพูดจบเขาก็ลุกออกไปทันที โดยไม่ได้บอกลาซูหนี่ย์ที่นั่งรอเขาอยู่ที่ห้องโถง
นายน้อยหงพาซูเจินจูเดินชมสินค้าภายในร้าน สินค้าหลากหลายแต่เต็มไปด้วยของชั้นดี สินค้ามากมายที่ได้มาจากต่างแคว้น สินค้าหลายอย่างเป็นของที่ได้มาจากชนเผ่าต่างๆ หนังสัตว์ที่ผ่านการฟอกหนังมาอย่างดี ขนสัตว์หายากอย่างพวกจิ้งจอกแดงหรือขนหมาป่าสีขาวก็สามารถหาซื้อได้ที่นี่ หนังเสือ หนังหมี หรือแม้แต่เขากวาง เขี้ยวเสื้อ ก็ถูกนำมาตั้งแสดงสินค้า ยิ่งเห็นว่าร้านฟู่หงเทียนมีสินค้าชั้นดีเท่าใดซูเจินจูก็ยิ่งตระหนักได้ถึงอิทธิพลของเจ้ากรมอาภรณ์ ร้านค้าขนาดสี่ห้องกว้างขวางเกินกว่าจะดูได้อย่างละเอียดทั้งหมด แม้ซูเจินจูจะพยายามเดินดูจนทั่ว แต่ด้วยประกอบกับนายน้อยหงที่คอยอธิบายสิ่งต่างๆภายในร้านอย่างใส่ใจทำให้กินเวลายาวนานเกือบสามชั่วยาม“อีกสองวันถึงจะเป็นงานเปิดรับศิษย์ของสำนักต่อสู้ พรุ่งนี้คุณหนูซูอยากไปที่ใดหรือไม่ ข้าจะพาท่านไปเอง”“ไม่รบกวนนายน้อยเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะพาคนของข้าไปเดินเล่นในเมือง เพียงเดินเล่นไปเรื่อยๆมีจุดหมายใด”“เช่นนั้นข้าจะให้คนคุ้มกันของข้ามาดูแล”“ข้าคงต้องเสียมารยาทปฏิเสธเสียแล้ว หลิวหยาง จางหมิ่นของข้าคงเพียงพอจะปกป้องข้าได้ อย่าให้ข้าทำให้นายน้อยหงต้องเป็นกังวลเลยเจ้าค่ะ”“เช
วันถัดมาในยามเฉิน เฟยอวี่เข้ามาหาซูเจินจูเพื่อรายงาน“คุณหนู บ่าวสืบข่าวมาได้เล็กน้อยเจ้าค่ะ พ่อค้าต่างแคว้นหลายคนเร่งเดินทางเข้าเมืองหลวง ของมีค่าหลายอย่างถูกขนเข้าเมืองหลวงผ่านขบวนขนสินค้า จุดหมายคือตรอกถงยู่ ที่เป็นแหล่งจัดงานประมูลของตลาดมืด นี่เป็นของรายการของส่วนหนึ่งที่บ่าวได้มาจากบัญชีส่งสินค้าเจ้าค่ะ”“งานประมูลของตลาดมือหรือ น่าสนใจ เจ้ารู้เรื่องงานนี้ดีแค่ไหน”“บ่าวเคยได้ยินว่าเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อประมูลของหายาก มีทั้งโสมพันปี อาวุธต่างๆ หยกม่วง หินแร่ รวมถึงหัวของผู้ครองแคว้นก็เคยถูกนำมาประมูลเจ้าค่ะ การจะเข้าร่วมประมูลได้ต้องจ่ายเงินค่าเข้าคนละหนึ่งพันตำลึง และหากมีของที่ต้องการนำเข้าประมูลก็นำของไปประเมิณได้เช่นกันเจ้าค่ะ”“เจ้าทำงานได้ดีมาก พักสักหน่อยแล้วออกเดินทางไปรอข้าที่เมืองหลวง สืบข่าวเรื่องการประมูลให้ข้า และจองโรงเตี๊ยมที่ปลอดภัยที่สุดเอาไว้ให้เพียงพอกับคนของเรา ข้าจะพาสี่เสวี่ย เฟยหลัน เฟยหรง เฟยเมี่ยว หลิวหยาง จางหมิ่นไป”“บ่าวรับคำสั่งคุณหนูเจ้าค่ะ” เฟยอวี่รับตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงจากซูเจินจูก่อนจะออกจากห้องไป คล้อยหลังเฟยอวี่ออกไปไม่ถึงหนึ่งเค่อซูเจินจูก็ตรง
“เฟยอวี่ การเข้าเมืองหลวงต้องใช้ป้ายผ่านเข้าเมืองด้วยหรือ”“จริงๆแล้วไม่ต้องใช้เจ้าค่ะคุณหนู แต่ชาวบ้านทั่วไปหากต้องการผ่านเข้าเมืองหลวงจะต้องเสียอีแปะเป็นค่าผ่านทางให้กับทหารเฝ้าประตู เสียเยอะหรือเสียน้อยแล้วแต่ว่าผู้เฝ้าประตูเป็นใคร ส่วนป้ายผ่านเข้าเมืองเป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้นเจ้าค่ะ ในความเป็นจริงแล้วป้ายพวกนี้มีขึ้นเพื่อให้คนมีเส้นสายสามารถผ่านเข้าออกเมืองโดยไม่ต้องเสียอีแปะ ไม่ต้องต่อแถว ไม่ต้องตรวจค้นสัมภาระอย่างละเอียดและได้รับความเคารพจากทหารเฝ้าประตู รวมถึงป้องกันไม่ให้พวกทหารสร้างปัญหากับพวกคนรวยและขุนนางด้วยเจ้าค่ะ”“อ่อ แค่ยื่นป้ายออกไปก็ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วยแล้วสินะ ช่างดีจริงๆ”“นายน้อยหงคงเหลือเส้นสายอยู่ไม่น้อยถึงขนาดใจกว้างทำป้ายให้คุณหนูได้ง่ายๆ”“เขาเห็นข้าเป็นโอกาสที่จะช่วยร้านผ้าฟู่หงเทียนกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้งต่างหาก เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ ออกไปสืบข่าวดูสักหน่อยก็ได้ ไปเมืองหลวงครั้งนี้ข้าจะพาเจ้า สี่เสวี่ย หลิวหยาง จางหมิ่น เฟยหรง เฟยเมี่ยว และเฟยหลันไปด้วย บอกเพ่ยเพ่ยกับเยว่ชิงเสียแต่เนิ่นๆให้นางได้เตรียมตัวจัดการงานและดูแลเรื่องต่างๆทั้งหมดที่นี่ตอนที่พวกเรา
“พ่อหนุ่มเจิ้งผู้นี้ดูมีลับลมคมในเหลือเกินนะเจ้าคะ จะว่าไปพ่อหนุ่มเจิ้งเองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องของตน แม่แต่แซ่ก็ไม่บอก ชื่อเจิ้งก็ไม่รู้ว่าใช่ชื่อจริงหรือไม่”“นั่นสิเจ้าคะคุณหนู คุณหนูเองก็แปลกนัก แค่พ่อหนุ่มเจิ้งบอกจะมาด้วยก็ปล่อยให้มา บอกจะไปก็ไม่ถามไถ่สิ่งใดสักคำ”“ช่างเขาเถอะ เพียงแค่ไม่มีพิษภัยกับพวกเราก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆรู้มากไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี”“เจ้าค่ะคุณหนู”ซูเจินจูพาเจียงไป๋ไปยังห้องที่เจียงชิงนอนอยู่และให้ซินเซียงยกที่นอนอีกหนึ่งอันมาวางข้างเตียงเพื่อให้พี่น้องได้นอนห้องด้วยกัน“เจ้านอนห้องเดียวกันไปก่อน ช่วงนี้ก็คอยดูแลนาง ข้างๆห้องเจ้าคือห้องของชิงหยุน มีอะไรก็ไปหานางได้ สี่เสวี่ยเจ้าไปบอกให้ซินเซียงหาอะไรให้เด็กนี่กินเสียหน่อยเถอะ”“เจ้าค่ะคุณหนู”เจียงไป๋มองคนทั้งหมดทยอยออกจากห้องไปก่อนจะหันกลับมานั่งข้างเตียงของเจียงชิง“พี่สาว ท่านรีบตื่นขึ้นมานะ…”... เช้าวันต่อมาซูเจินจูเดินทางเข้าร้านหว่างลี่เซียงพร้อมเฟยหลันตั้งแต่ยามเฉิน กิจการของร้านหว่านลี่เซียงเป็นไปด้วยดี คนที่ดูเหมือนจะทะเลาะกับผู้อื่นได้ง่ายๆอย่างเพ่ยเพ่ยกลับทำงานได้อย่างสงบเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นก
“มองอะไร พวกเจ้ามองอะไร ไอ้พวกไม่รู้เรื่องรู้ราว เด็กมันมีวาสนาได้ช่วยเหลือสกุล เลี้ยงมันต่อไปก็ไม่ใช่ว่ามันจะหาเงินให้ข้าได้ถึงยี่สิบตำลึงเสียเมื่อไหร่ ต้องมากินข้าวบ้านข้านอนบ้านข้าไม่สู้ไปกินบ้านอื่นนอนบ้านอื่นแล้วยังได้เงินรึ แล้วเงินที่มันถืออยู่ไม่ใช่ว่าขโมยของข้าไม่หรือไงเด็กอย่างพวกมันจะเอาปัญญาหาเงินมากมายขนาดนี้ได้ที่ไหน เอาเงินข้าคืนมานะไอ้พวกเด็กตัวเหม็น”“ท่านย่านี่เป็นเงินที่พี่สาวหามาได้ ไม่ได้ขโมยเงินของท่าน”“นั่นมันเงินโชคดีที่แม่หนูเจินจูแจกไม่ใช่หรือ บ้านข้าก็ได้มาสองพวง ไหมถักแบบนั้นรูปทรงแบบนั้น ข้าจำไม่ผิดหรอก” ชาวบ้านที่มุงดูอยู่พูดขึ้น“ใช่ ข้าเองก็จำได้ นั่นมันพวงเงินที่แม่หนูเจินจูแจกเมื่อวันเกิด” หัวหน้าหมู่บ้านหวังสำทับขึ้น ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างเคยได้รับพวงเงินโชคนี้ทุกคนล้วนเป็นพยายานให้เด็กน้อยว่าเขาไม่ได้ขโมยเงินของแม่เฒ่าเจียง“เหอะ เอาเข้าบ้านข้าก็ต้องเป็นของข้านั่นแหละ อาไป๋ เข้าบ้าน เหม่ยเหมย เสี่ยวเจี๋ยลากนังเด็กชิงเข้าบ้าน”“แม่เฒ่าเจียง รอเดี๋ยวก่อนเถอะ ข้าขอเจรจาเรื่องเด็กสองคนนี้สักประโยคหนึ่งได้หรือไม่” ซูเจินจูพูดยังไม่ทันจบ เฟยหลันก็เอาตัว
การค้าของร้านหว่านลี่เซียงเต็มไปด้วยความราบลื่น ที่ควรขายได้ขาย ที่ควรสงบก็สงบ กว่าลูกค้าคนสุดท้ายจะออกจากร้านก็เป็นยามโหย่ว หลังจากปิดร้าน เหล่าคนงานที่หมดแรงมานั่งรวมกันอยู่ที่กลางร้าน ซูเจินจูลากเก้าอี้มานั่งก่อนจะขอบคุณทุกคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการเปิดร้านวันแรกจนทุกอย่างผ่านไปด้วยดี วันนี้ถุงหอมขายได้หกร้อยหกใบ เป็นเงินหนึ่งหมื่นสองพันหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง การขายได้จำนวนมากตั้งแต่วันแรกนับเป็นเรื่องดีแต่ซูเจินจูกังวลว่าหากขายดีเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆคงไม่สามารถผลิตมาขายได้ทันสี่เสวี่ยรับหน้าที่สอนเยว่ชิงวาดลายผ้าและผสมสีผ้าไหมหอมหมื่นลี้ เมื่อเชี่ยวชาญแล้วเยว่ชิงจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลผ้าไหมหอมหมื่นลี้พวกนี้แทนสี่เสวี่ย อีกทั้งสี่เสวี่ยยังต้องคุมคนงานเย็บปัก และติดป้ายรับสมัครหญิงสาวที่เชี่ยวชาญงานเย็บปักมาปักถุงหอมหมื่นลี้ที่ร้านหว่านลี่เซี่ยงด้วยเฟยหรงและเฟยเมี่ยวที่เพิ่งได้ข่าวพรรคพวกอีกหนึ่งคนด้วยเห็นว่าพรรคพวกที่เจอนั้นถูกซื้อตัวไปด้วยชายชราที่อยู่กับหลานชายหนึ่งคนบนกระท่อมบนเขา นางไม่ได้ลำบากหรือโดนทำร้ายจึงพักการติดต่อแล้วหันมาช่วยซูเจินจูดูแลร้านหว่านลี่เซียงไปก่อน“เอาล