เมื่อไปถึงหมู่บ้านจั๋วมู่ ซูเจินจูพาหัวหน้าหมู่บ้านจั๋วมู่กับชาวบ้านอีกสามคนขึ้นไปดูต้นไม้ที่นางต้องการ
“กลิ่นดอกไม้ที่เราได้กลิ่นกันมาจากต้นไม้พวกนี้หรือ” หลังจากที่มาถึงที่ กลิ่นหอมอบอวนทำให้ชาวบ้านแปลกใจ ใจนึงก็คิดว่าหากเป็นกลิ่นดอกไม้พวกนี้แล้วนางขุดไป ต่อไปจะไม่มีคนมาชมดอกไม้ที่หมู่บ้านอีกเป็นแน่
“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะท่านลุง กลิ่นพวกนี้เป็นกลิ่นจากดอกเหมยด้านล่างรวมกับกลิ่นความชื้นของป่าที่สมบูรณ์แห่งนี้เจ้าค่ะ แต่หากว่ามีคนขึ้นมาบนนี้บ่อยๆ ต้นไม้และเถาวัลย์ถูกเหยียบย่ำก็จะทำให้กลิ่นของดอกเหมยลอยออกไป ไม่ติดค้างอยู่ที่ที่เจ้าค่ะ ท่านลุงลองดมกลิ่นหญ้าพวกนี้สิเจ้าคะ หญ้าพวกนี้ก็มีกลิ่นเช่นเดียวกัน” ซุเจินจูไม่สามารถพูดความจริง หากนางบอกความจริงคนพวกนี้ไม่มีทางให้นางขุดต้นไม้พวกนี้แน่ นางทำได้พียงหาข้ออ้างที่แม้แต่นางก็ยังรู้สึกไม่น่าเชื่อ ก็ได้แต่ภาวนาในใจว่า หวังว่าท่านลุงทั้งหลายจะเชื่อข้านะเจ้าคะ
“เป็นอย่างที่เจ้าว่า เห็นทีว่าไม่ว่าอะไรที่อยู่ตรงนี้ก็คงเป็นกลิ่นแบบนี้จริงๆ” เมื่อทุกคนดมหญ้า ดมใบไม้ในละแวกนั้นแล้วก็พบว่าทุกอย่างมีกลิ่นหอมจริงๆ จึงเชื่อตามที่ซูเจินจูบอกและยังกลับไปกำชับคนในหมู่บ้านไม่ให้เข้ามาที่นี่จนทำให้กลิ่นดอกไม้หายไป
ซูเจินจูต้องการตันกุ้ย จินกุ้ย และอิ๋นกุ้ย ต้นสูงสองถึงสามเมตร อย่างละสิบต้น นางให้ค่าแรงการขนย้ายต้นละหนึ่งตำลึง ชาวบ้านต่างตกใจกับเงินจำนวนมากจึงตกลงจะย้ายทั้งสามสิบต้นให้เสร็จภายในเจ็ดวัน
ซูเจินจูฝากกุญแจบ้านและเงินค่าต้นไม้สามสิบตำลึงไว้กับลุงหวังผู้ที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านซาน เขาแปลกใจที่บ้านสร้างเสร็จแล้วแต่ซูเจินจูก็ยังไม่ย้ายเข้ามาอยู่ เมื่อคิดดูแล้วเห็นว่าไม่ได้มีอะไรเสียหายต่อคนในหมู่บ้านเขาก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียง เพียงถือกุญแจไว้คอยเปิดให้คนส่งต้นไม้เท่านั้น
เช้าวันต่อมาขณะที่นางกำลังจะออกไปที่ร้าน ก็พบบ่าวรับใช้ของจวนนายอำเภอนำของมาให้ เป็นปิ่นทองลายดอกเหมย พร้อมจดหมายจากหลินเฮงฉวนมีข้อความว่า “มีเพียงจอกสุราไม่หรรษา ดวงเทียนอาลัยยังอำลา รินหลั่งน้ำตาให้เราจนรุ่งราง” ซูเจินจูอ่านซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ คราแรกนึกว่าหลินเฮงฉวนนัดตนไปดื่มสุรา แต่พลิกจดหมายไปๆมาๆหลายรอบก็ไม่เห็นมีเวลานัด ดูแล้วดูอีกแต่ก็ยังไม่เข้าใจ จึงให้สี่เสวี่ยนำไปเก็บไว้ในหีบ
(แต่เดิมกวีบทนี้เป็นของตู้มู้ เขียนไว้ว่า “รักมากเปรียบเสมือนดั่งไร้รัก มีเพียงจอกสุราไม่หรรษา ดวงเทียนอาลัยยังอำลา รินหลั่งน้ำตาให้เราจนรุ่งราง” กวีบทนี้ เขียนบรรยายถึงความรักของหนุ่มสาว ที่มีต่อกันอย่างท่วมท้น เมื่อถึงเวลาต้องลาจาก ทั้งที่ความรักล้นแน่นอก แม้มีจอกสุราอยู่เบื้องหน้า ก็ไม่อาจช่วยให้ยิ้มแย้มออก หลี่เฮงฉวนจงใจละทิ้งประโยคแรกด้วยกลัวว่าจะสื่อความในมากเกินไป อีกใจนึงก็คิดว่าซูเจินจูจะต้องมาพบตนเพื่อขอบคุณเรื่องปิ่นทองและถกกวีด้วยกัน จึงจงใจเขียนเช่นนั้น
ซูเจินจูเข้ามาที่ร้าน สั่งให้หลงจู๊นำผ้าไหมที่มีตำหนิมาให้นางสิบพับ นางต้องการนำไปให้ลูกค้าดูว่าจะรับซื้อผ้ามีตำหนิเหล่านี้หรือไม่ หลงจู๊จึงเลือกพับที่มีตำหนิน้อยที่สุดมาให้นาง
“ผ้าไหมพวกนี้นายท่านซื้อมาด้วยราคาสิบตำลึงขายหน้าร้านราคาสิบห้าตำลึง หากคุณหนูขายราคาสิบตำลึงได้ เราก็จะไม่ขาดทุนขอรับ”
“ท่านลุงฝูเจ้าคะ ราคาสิบตำลึงคือราคาผ้าไหมที่ไม่มีตำหนินะเจ้าคะ หากต้องจ่ายเงินสิบตำลึง ไม่สู้ไปซื้อผ้าที่ไม่มีตำหนิไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ”
“แต่ราคาสิบตำลึงเป็นราคาที่ต้องทำสัญญาการค้านะขอรับ ต่อให้ไปซื้อถึงหน้าโรงทอผ้า อย่างไรก็ต้องซื้อสิบห้าตำลึง”
“แต่หากไม่ขายพวกเขา เท่ากับเราขาดทุนสิบตำลึงนะเจ้าคะ หากขายราคาถูกลงหน่อย ก็เท่ากับเราขาดทุนน้อยลง”
“อย่างไรเสีย คุณหนูลองแจ้งราคาสิบตำลึงก่อนเถอะขอรับ หากผู้ซื้อจะต่อรองข้าคิดว่าแปดตำลึงก็เป็นราคาที่น่าสนใจ”
“ได้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะนำผ้าพวกนี้ไปให้พวกเขาดูก่อน แต่เท่าที่ข้าเห็นผ้าเหล่านี้ล้วนมีตำหนิน้อย หากเราทำการขายจำนวนมาก ก็ต้องมีผ้าที่มีตำหนิมากปะปนไปด้วย เรื่องนี้จะมีปัญหาหรือไม่”
“คุณหนูหมายถึง พวกเขาต้องการซื้อเยอะหรือขอรับ” เมื่อได้ยินว่าจะสามารถขายผ้ามีตำหนิพวกนั้นได้จำนวนมาก หลงจู๊ก็สนใจมากขึ้นทันที
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ข้าคิดว่าหากขายให้พวกเขาได้ ข้าก็อยากทำสัญญาขายระยะยาว ต่อไปเมื่อผ้ามีตำหนิก็จะไม่ทำให้ขาดทุนจนเกินไป”
“เป็นเช่นนั้น หากสามารถขายผ้าที่มีตำหนิมากด้วยได้ ก็สามารถลดราคาได้อีกเล็กน้อย”
“เอาเถอะ ท่านลุงฝู ไว้ข้าจะลองเจรจากับพวกเขาก่อน หากตกลงกันไม่ได้ข้าจะกลับมาปรึกษาท่านอีกครั้งเจ้าค่ะ”
เมื่อเกริ่นเรื่องการซื้อผ้าจบซูเจินจูก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วเหลือก็เพียงแต่ลงมือทำผ้าออกมาแล้วนำกลับมาขายในร้านผ้าซูเตี้ยนเท่านั้น
เย็นวันนั้นซูเจินจูและสี่เสวี่ยแวะไปซื้อรังผึ้งที่ร้านชำบ้านไฉพอใกล้ถึงหน้าร้าน กลับเจอคนที่ไม่น่าจะเจอมากที่สุดอย่างซูเม่ย ซูเม่ยยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของร้านชำบ้านไฉ นางจิตใจจดจ่อไปภายในร้านจนไม่เห็นซูเจินจูด้วยซ้ำ ซูเจินจูเองก็ลังเลที่จะเข้าไปในร้านตอนนี้ นางไม่สามารถให้ใครรู้ได้ว่านางกำลังจะทำอะไร ไม่เช่นนั้นรายได้ทั้งหมดต้องกลายเปนของตระกูลซู เพียงครู่เดียวซูเจินจูก็เห็นเหลียนฮัวสาวใช้คนสนิทของซูเม่ยก็เดินออกมาจากในร้าน ทั้งสองพูดคุยกันสองสามคำซูเม่ยก็เดินออกไปด้วยสีหน้าผิดหวัง เห็นว่าซูเม่ยเดินออกไปไกลแล้ว ซูเจินจูจึงเดินเข้ามาซื้อรังผึ้ง
“คุณหนูแซ่ซู ท่านกลับไปเถอะ นายน้อยไฉไม่ว่างพบท่านจริงๆ ท่านมาทุกวันแบบนี้ข้าเองก็ลำบากใจ”
“เพ้ย เจ้าผายลมหรือ ปากเจ้าเหม็นยิ่งนัก กล้าดียังไงมาดูหมิ่นคูณหนูของข้า ใครมาพบนายน้อยของเจ้ากัน คุณหนูของข้าจะมาซื้อรังผึ้ง”
“ขออภัยขอรับ ขออภัยแม่นาง ขออภัยคุณหนู เป็นข้าปากพร่อยไม่ดูให้ดีว่าท่านเป็นใคร หากต้องการซื้อรังผึ้งตามข้าน้อยมาทางนี้เลยขอรับ”
“ไม่ต้อง รังผึ้งของเจ้าข้าเคยเห็นแล้ว ข้าซื้อรังขนาดใหญ่สิบอัน เจ้าไปหยิบให้ข้าเถอะ” ซูเจินจูพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย เห็นท่าทีเด็กในร้านกับท่าทีของซูเม่ยเมื่อครู่ นางก็พอเดาอะไรได้บางอย่าง เรื่องนี้นางไม่อยากยุ่ง ดูท่าต้องให้สี่เสวี่ยไปดูที่ร้านอื่นเสียแล้วว่าที่ใดมีรังผึ้งขายอีกบ้าง
“ได้ขอรับ คุณหนูรอที่นี่สักครู่”
แต่ดูท่าสวรรค์คงเกลียดนาง คนที่นำรังผึ้งออกมากลับเป็นไฉตงชุน
ไฉตงชุนเป็นชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา กริยามารยาทไม่สุภาพเท่าเหล่าขุนนางแต่ก็ไม่ได้กระโชกโฮกฮาก บุคลิกดูเหมือนเจ้าสัวตัวน้อย ใครเห็นก็ต้องให้ความเคารพอยู่หลายส่วน
“คุณหนูสี่ซู ข้าได้ยินว่าเจ้ามาซื้อรังผึ้ง จึงนำออกมาให้ ข้ายังนึกว่าเจ้าไม่ต้องการรังผึ้งพวกนี้เสียแล้ว” ไฉตงชุนรวบรวมความกล้าที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อเอ่ยทักซูเจินจู นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้คุยกับนาง หลังจากที่เขาให้แม่สื่อไปสู่ขอ นางก็ไม่ได้มาซื้อของที่ร้านเขาอีก ทำให้เขาร้อนใจแอบไปเจอหน้านางที่ร้านผ้าซูเตี้ยนครั้งหนึ่ง แต่ก็ถูกบ่าวที่แม่ของเขาส่งไปจับกลับมา พ่อและแม่ของเขาก็ไม่พอใจที่นางมีสัญญาติดพันกับลูกชายนายอำเภอ อย่างไรซะพวกเขาก็เป็นพ่อค้า ไม่สามารถมีเรื่องกับขุนนางได้ เรื่องนี้ทำให้เขากินไม่ได้ นอนไม่หลับ จะตัดใจจากนางก็ทำไม่ไหว จะไปพูดคุยกับจวนนายอำเภอเรื่องของนางยิ่งเป็นไปไม่ได้
“รังผึ้งที่ร้านของท่านเป็นของดี ข้ายังต้องการอยู่เรื่อยๆเจ้าค่ะ” ใบหน้าเฉยชายกยิ้มเพียงมุมปากของซูเจินจูก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาใจสั่นจนทำอะไรไม่ถูก
“เป็นเช่นนั้น ในเมื่อเจ้าต้องการข้าก็จะรับซื้อจากพวกชาวบ้านไว้เรื่อยๆ” ไฉตงชุนหน้าแดงไปจนถึงหู ตอนนี้เขานึกด่าตัวเองที่อายุขนาดนี้กลับไม่เคยใกล้ชิดสตรีจนทำให้ประหม่าต่อหน้าสตรีที่เค้าหลงรัก
“ขอบคุณนายน้อยไฉเจ้าค่ะ”
สี่เสวี่ยจ่ายเงินสี่ตำลึงสำหรับค่ารังผึ้งแก่หลงจู๊ในร้าน ก่อนจะพาซูเจินจูออกจากร้านมา
..
“เจ้าเรียกข้าว่าพี่ตงชุนได้หรือไม่...” ไฉตงชุนพึมพำกับตนเองเบาๆ หลังจากที่ซูเจินจูออกจากร้านไป สายตาทอดยาวออกไปตามทางที่นางเดินออกไปจนลับตา..
ซูเจินจูแจ้งฮูหยินซูว่าตนจะออกไปทำการค้าที่ตำบลเป็นเวลาสามวัน ฮูหยินซูไม่ได้ว่าอะไรและไม่ได้ให้เงินค่าเดินทางและค่าโรงเตี๊ยมแก่นางด้วย หลังจากออกจากห้องของฮูหยินซูก็เข้ามาลาฮูหยินรองมี่ซิ่น
“ท่านแม่ ข้าต้องออกไปทำการค้าที่ตำบลเจ้าค่ะ ข้าไปสามวัน ท่านดูแลตัวเองด้วย” เอาเถอะ อย่างไรก็เป็นแม่ของเจ้าของร่าง ทำดีกับนางเสียหน่อยนางจะได้ไม่สร้างเรื่องรำคาญใจ แล้วก็ถือว่าเป็นค่าตอบแทนร่างกายนี้ด้วย
“เหตุใดเจ้าต้องไปด้วยตนเอง เจ้าเป็นเพียงสตรีที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่นคนหนึ่งเท่านั้น ข้าว่าเจ้าอยู่บ้านเย็บปักถักร้อยรอคุณชายหลินมารับเข้าจวนเถอะ” มี่ซิ่นไม่เห็นด้วย หากระหว่างเกิดพลาดท่าเสียทีพวกอันธพาล ความฝันที่อยากมีลูกเขยเป็นขุนนางของนางคงจบสิ้น
“หากคุณชายหลินไม่มารับล่ะเจ้าคะ ไม่สู้ข้าออกไปเรียนรู้การค้า ต่อไปภายหน้ายังมีการค้าไว้เลี้ยงตัวเอง”
“ภายภาคหน้าของสตรีจะได้ดีก็ต่อเมื่อเจ้ารู้จักวิธีปรนิบัติเอาใจบุรุษ ข้าเห็นว่าคุณชายหลินมาหาเจ้าหลายครั้งแล้ว เป็นเจ้าที่แง่งอนไม่ยอมออกไปพบ” พอนึกถึงเรื่องนี้มี่ซิ่นก็ไม่พอใจทันที ทุกครั้งที่คุณชายหลินมา กลับมีเพียงคุณหนูใหญ่ออกไปต้องรับ ลูกสาวของนางกลับโง่งมหลีกเลี่ยงคุณชายหลินอยู่เสมอ
“ข้าไม่ได้แง่งอน เพียงแต่ไม่มีเรื่องให้พูดคุย อีกทั้งการค้าในมือข้าก็มากนัก จึงไม่สะดวกใช้เวลาคุยเล่นกับคุยชายหลินเจ้าค่ะ”
“เจ้าอย่าทำเช่นนี้อีก ข้ารู้ว่าสิ่งมากมายในมือเจ้าคือขนม ไม่ใช่การค้า ต่อไปหากคุณชายหลินมาหาเจ้า เจ้าก็ต้องออกมาพบ หากเขาต้องการอะไรเจ้าก็ต้องตามใจ ต่อให้เขาต้องการขึ้นเตียงกับเจ้า เจ้าก็ต้องพาเขาไปที่เรือนแล้วปรนิบัติอย่างดี ขึ้นชื่อว่าบุรุษ เจ้ายั่วยวนเสียหน่อยอย่างไรเขาก็ไม่มีทางปฏิเสธ หลังจากที่เจ้าเป็นเมียเขาแล้วก็มาบอกข้า ข้าจะเป็นคนพาเจ้าไปส่งที่จวนนายอำเภอด้วยตัวเอง เรื่องนี้เจ้าอย่าได้ชักช้า ไม่เช่นนั้นคุณหนูใหญ่คงขึ้นไปอยู่บนเตียงก่อนเจ้าเป็นแน่”
“ท่านแม่ อันที่จริงเรื่องนี้สิ่งที่ท่านพ่อต้องการที่สุดก็คือเส้นสายการค้า ดังนั้นบนเตียงของคุณชายหลินจะเป็นพี่ใหญ่หรือเป็นข้า ก็ไม่ได้ต่างกันเลยนะเจ้าคะ ข้าเองก็เห็นความรักที่พีใหญ่มีให้คุณชายหลิน ไม่สู้สนับสนุนให้พี่ใหญ่สมหวังจะดีกว่าบังคับข้าเข้าไปนะเจ้าคะ”
“เจ้ามันโง่ยิ่งนัก ผู้ชายดีๆกลับหยิบยื่นให้แก่ผู้อื่น สัญญาสาวใช้อุ่นเตียงของเจ้าอยู่กับข้า ไม่ว่าใครก็อย่าหวังจะทำลายสัญญาฉบับนี้เลย ข้าอยากจะจับเจ้าส่งไปที่เตียงคุณชายหลินนัก ยิ่งพูดก็ยิ่งชังพ่อเจ้า แทนที่จะรวบรัดกลับไปทำสัญญาสองปี คอยดูเถอะกว่าจะครบสองปี ลูกเขยของข้าก็คงตกไปเป็นลูกเขยของคนอื่นก่อนแล้ว”
ยิ่งคุยกับมี่ซิ่น ยิ่งทำให้ซูเจินจูเปิดโลก ให้ตายเถอะ ผู้หญิงคนนี้ในหัวมีแต่เรื่องแปลกๆ ความคิดเรื่องพวกนี้กว้างไกลเพียงไหนกันถึงได้พูดเรื่องยั่วยวนผู้ชายกับลูกสาววัยสิบสามปีอย่างไม่กระดากอายสักนิด
นายน้อยหงพาซูเจินจูเดินชมสินค้าภายในร้าน สินค้าหลากหลายแต่เต็มไปด้วยของชั้นดี สินค้ามากมายที่ได้มาจากต่างแคว้น สินค้าหลายอย่างเป็นของที่ได้มาจากชนเผ่าต่างๆ หนังสัตว์ที่ผ่านการฟอกหนังมาอย่างดี ขนสัตว์หายากอย่างพวกจิ้งจอกแดงหรือขนหมาป่าสีขาวก็สามารถหาซื้อได้ที่นี่ หนังเสือ หนังหมี หรือแม้แต่เขากวาง เขี้ยวเสื้อ ก็ถูกนำมาตั้งแสดงสินค้า ยิ่งเห็นว่าร้านฟู่หงเทียนมีสินค้าชั้นดีเท่าใดซูเจินจูก็ยิ่งตระหนักได้ถึงอิทธิพลของเจ้ากรมอาภรณ์ ร้านค้าขนาดสี่ห้องกว้างขวางเกินกว่าจะดูได้อย่างละเอียดทั้งหมด แม้ซูเจินจูจะพยายามเดินดูจนทั่ว แต่ด้วยประกอบกับนายน้อยหงที่คอยอธิบายสิ่งต่างๆภายในร้านอย่างใส่ใจทำให้กินเวลายาวนานเกือบสามชั่วยาม“อีกสองวันถึงจะเป็นงานเปิดรับศิษย์ของสำนักต่อสู้ พรุ่งนี้คุณหนูซูอยากไปที่ใดหรือไม่ ข้าจะพาท่านไปเอง”“ไม่รบกวนนายน้อยเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะพาคนของข้าไปเดินเล่นในเมือง เพียงเดินเล่นไปเรื่อยๆมีจุดหมายใด”“เช่นนั้นข้าจะให้คนคุ้มกันของข้ามาดูแล”“ข้าคงต้องเสียมารยาทปฏิเสธเสียแล้ว หลิวหยาง จางหมิ่นของข้าคงเพียงพอจะปกป้องข้าได้ อย่าให้ข้าทำให้นายน้อยหงต้องเป็นกังวลเลยเจ้าค่ะ”“เช
วันถัดมาในยามเฉิน เฟยอวี่เข้ามาหาซูเจินจูเพื่อรายงาน“คุณหนู บ่าวสืบข่าวมาได้เล็กน้อยเจ้าค่ะ พ่อค้าต่างแคว้นหลายคนเร่งเดินทางเข้าเมืองหลวง ของมีค่าหลายอย่างถูกขนเข้าเมืองหลวงผ่านขบวนขนสินค้า จุดหมายคือตรอกถงยู่ ที่เป็นแหล่งจัดงานประมูลของตลาดมืด นี่เป็นของรายการของส่วนหนึ่งที่บ่าวได้มาจากบัญชีส่งสินค้าเจ้าค่ะ”“งานประมูลของตลาดมือหรือ น่าสนใจ เจ้ารู้เรื่องงานนี้ดีแค่ไหน”“บ่าวเคยได้ยินว่าเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อประมูลของหายาก มีทั้งโสมพันปี อาวุธต่างๆ หยกม่วง หินแร่ รวมถึงหัวของผู้ครองแคว้นก็เคยถูกนำมาประมูลเจ้าค่ะ การจะเข้าร่วมประมูลได้ต้องจ่ายเงินค่าเข้าคนละหนึ่งพันตำลึง และหากมีของที่ต้องการนำเข้าประมูลก็นำของไปประเมิณได้เช่นกันเจ้าค่ะ”“เจ้าทำงานได้ดีมาก พักสักหน่อยแล้วออกเดินทางไปรอข้าที่เมืองหลวง สืบข่าวเรื่องการประมูลให้ข้า และจองโรงเตี๊ยมที่ปลอดภัยที่สุดเอาไว้ให้เพียงพอกับคนของเรา ข้าจะพาสี่เสวี่ย เฟยหลัน เฟยหรง เฟยเมี่ยว หลิวหยาง จางหมิ่นไป”“บ่าวรับคำสั่งคุณหนูเจ้าค่ะ” เฟยอวี่รับตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงจากซูเจินจูก่อนจะออกจากห้องไป คล้อยหลังเฟยอวี่ออกไปไม่ถึงหนึ่งเค่อซูเจินจูก็ตรง
“เฟยอวี่ การเข้าเมืองหลวงต้องใช้ป้ายผ่านเข้าเมืองด้วยหรือ”“จริงๆแล้วไม่ต้องใช้เจ้าค่ะคุณหนู แต่ชาวบ้านทั่วไปหากต้องการผ่านเข้าเมืองหลวงจะต้องเสียอีแปะเป็นค่าผ่านทางให้กับทหารเฝ้าประตู เสียเยอะหรือเสียน้อยแล้วแต่ว่าผู้เฝ้าประตูเป็นใคร ส่วนป้ายผ่านเข้าเมืองเป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้นเจ้าค่ะ ในความเป็นจริงแล้วป้ายพวกนี้มีขึ้นเพื่อให้คนมีเส้นสายสามารถผ่านเข้าออกเมืองโดยไม่ต้องเสียอีแปะ ไม่ต้องต่อแถว ไม่ต้องตรวจค้นสัมภาระอย่างละเอียดและได้รับความเคารพจากทหารเฝ้าประตู รวมถึงป้องกันไม่ให้พวกทหารสร้างปัญหากับพวกคนรวยและขุนนางด้วยเจ้าค่ะ”“อ่อ แค่ยื่นป้ายออกไปก็ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วยแล้วสินะ ช่างดีจริงๆ”“นายน้อยหงคงเหลือเส้นสายอยู่ไม่น้อยถึงขนาดใจกว้างทำป้ายให้คุณหนูได้ง่ายๆ”“เขาเห็นข้าเป็นโอกาสที่จะช่วยร้านผ้าฟู่หงเทียนกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้งต่างหาก เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ ออกไปสืบข่าวดูสักหน่อยก็ได้ ไปเมืองหลวงครั้งนี้ข้าจะพาเจ้า สี่เสวี่ย หลิวหยาง จางหมิ่น เฟยหรง เฟยเมี่ยว และเฟยหลันไปด้วย บอกเพ่ยเพ่ยกับเยว่ชิงเสียแต่เนิ่นๆให้นางได้เตรียมตัวจัดการงานและดูแลเรื่องต่างๆทั้งหมดที่นี่ตอนที่พวกเรา
“พ่อหนุ่มเจิ้งผู้นี้ดูมีลับลมคมในเหลือเกินนะเจ้าคะ จะว่าไปพ่อหนุ่มเจิ้งเองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องของตน แม่แต่แซ่ก็ไม่บอก ชื่อเจิ้งก็ไม่รู้ว่าใช่ชื่อจริงหรือไม่”“นั่นสิเจ้าคะคุณหนู คุณหนูเองก็แปลกนัก แค่พ่อหนุ่มเจิ้งบอกจะมาด้วยก็ปล่อยให้มา บอกจะไปก็ไม่ถามไถ่สิ่งใดสักคำ”“ช่างเขาเถอะ เพียงแค่ไม่มีพิษภัยกับพวกเราก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆรู้มากไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี”“เจ้าค่ะคุณหนู”ซูเจินจูพาเจียงไป๋ไปยังห้องที่เจียงชิงนอนอยู่และให้ซินเซียงยกที่นอนอีกหนึ่งอันมาวางข้างเตียงเพื่อให้พี่น้องได้นอนห้องด้วยกัน“เจ้านอนห้องเดียวกันไปก่อน ช่วงนี้ก็คอยดูแลนาง ข้างๆห้องเจ้าคือห้องของชิงหยุน มีอะไรก็ไปหานางได้ สี่เสวี่ยเจ้าไปบอกให้ซินเซียงหาอะไรให้เด็กนี่กินเสียหน่อยเถอะ”“เจ้าค่ะคุณหนู”เจียงไป๋มองคนทั้งหมดทยอยออกจากห้องไปก่อนจะหันกลับมานั่งข้างเตียงของเจียงชิง“พี่สาว ท่านรีบตื่นขึ้นมานะ…”... เช้าวันต่อมาซูเจินจูเดินทางเข้าร้านหว่างลี่เซียงพร้อมเฟยหลันตั้งแต่ยามเฉิน กิจการของร้านหว่านลี่เซียงเป็นไปด้วยดี คนที่ดูเหมือนจะทะเลาะกับผู้อื่นได้ง่ายๆอย่างเพ่ยเพ่ยกลับทำงานได้อย่างสงบเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นก
“มองอะไร พวกเจ้ามองอะไร ไอ้พวกไม่รู้เรื่องรู้ราว เด็กมันมีวาสนาได้ช่วยเหลือสกุล เลี้ยงมันต่อไปก็ไม่ใช่ว่ามันจะหาเงินให้ข้าได้ถึงยี่สิบตำลึงเสียเมื่อไหร่ ต้องมากินข้าวบ้านข้านอนบ้านข้าไม่สู้ไปกินบ้านอื่นนอนบ้านอื่นแล้วยังได้เงินรึ แล้วเงินที่มันถืออยู่ไม่ใช่ว่าขโมยของข้าไม่หรือไงเด็กอย่างพวกมันจะเอาปัญญาหาเงินมากมายขนาดนี้ได้ที่ไหน เอาเงินข้าคืนมานะไอ้พวกเด็กตัวเหม็น”“ท่านย่านี่เป็นเงินที่พี่สาวหามาได้ ไม่ได้ขโมยเงินของท่าน”“นั่นมันเงินโชคดีที่แม่หนูเจินจูแจกไม่ใช่หรือ บ้านข้าก็ได้มาสองพวง ไหมถักแบบนั้นรูปทรงแบบนั้น ข้าจำไม่ผิดหรอก” ชาวบ้านที่มุงดูอยู่พูดขึ้น“ใช่ ข้าเองก็จำได้ นั่นมันพวงเงินที่แม่หนูเจินจูแจกเมื่อวันเกิด” หัวหน้าหมู่บ้านหวังสำทับขึ้น ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างเคยได้รับพวงเงินโชคนี้ทุกคนล้วนเป็นพยายานให้เด็กน้อยว่าเขาไม่ได้ขโมยเงินของแม่เฒ่าเจียง“เหอะ เอาเข้าบ้านข้าก็ต้องเป็นของข้านั่นแหละ อาไป๋ เข้าบ้าน เหม่ยเหมย เสี่ยวเจี๋ยลากนังเด็กชิงเข้าบ้าน”“แม่เฒ่าเจียง รอเดี๋ยวก่อนเถอะ ข้าขอเจรจาเรื่องเด็กสองคนนี้สักประโยคหนึ่งได้หรือไม่” ซูเจินจูพูดยังไม่ทันจบ เฟยหลันก็เอาตัว
การค้าของร้านหว่านลี่เซียงเต็มไปด้วยความราบลื่น ที่ควรขายได้ขาย ที่ควรสงบก็สงบ กว่าลูกค้าคนสุดท้ายจะออกจากร้านก็เป็นยามโหย่ว หลังจากปิดร้าน เหล่าคนงานที่หมดแรงมานั่งรวมกันอยู่ที่กลางร้าน ซูเจินจูลากเก้าอี้มานั่งก่อนจะขอบคุณทุกคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการเปิดร้านวันแรกจนทุกอย่างผ่านไปด้วยดี วันนี้ถุงหอมขายได้หกร้อยหกใบ เป็นเงินหนึ่งหมื่นสองพันหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง การขายได้จำนวนมากตั้งแต่วันแรกนับเป็นเรื่องดีแต่ซูเจินจูกังวลว่าหากขายดีเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆคงไม่สามารถผลิตมาขายได้ทันสี่เสวี่ยรับหน้าที่สอนเยว่ชิงวาดลายผ้าและผสมสีผ้าไหมหอมหมื่นลี้ เมื่อเชี่ยวชาญแล้วเยว่ชิงจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลผ้าไหมหอมหมื่นลี้พวกนี้แทนสี่เสวี่ย อีกทั้งสี่เสวี่ยยังต้องคุมคนงานเย็บปัก และติดป้ายรับสมัครหญิงสาวที่เชี่ยวชาญงานเย็บปักมาปักถุงหอมหมื่นลี้ที่ร้านหว่านลี่เซี่ยงด้วยเฟยหรงและเฟยเมี่ยวที่เพิ่งได้ข่าวพรรคพวกอีกหนึ่งคนด้วยเห็นว่าพรรคพวกที่เจอนั้นถูกซื้อตัวไปด้วยชายชราที่อยู่กับหลานชายหนึ่งคนบนกระท่อมบนเขา นางไม่ได้ลำบากหรือโดนทำร้ายจึงพักการติดต่อแล้วหันมาช่วยซูเจินจูดูแลร้านหว่านลี่เซียงไปก่อน“เอาล