แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอแต่การที่คีตกานต์ใช้ให้เธอมาช่วยคนงานผู้ชายยกแบกหามโต๊ะแบบนี้ก็ทำเอาฉัตรตะวันน้ำตาเกือบเล็ดได้เหมือนกัน โต๊ะไม้และขาเหล็กทั้งหนักและใหญ่ พอแบกมาแบกไปไม่กี่รอบก็เริ่มล้า จนอรรถกรเห็นเข้าก็ได้แต่สงสารที่แขนเธอไม่หักไปก็บุญเท่าไหร่แล้ว
"ซันไหวหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวพี่จะลองช่วยไปคุยกับพี่คีย์เอง"
"อย่าเลยค่ะพี่อรรถ ซันได้อยู่ค่ะ"ฉัตรตะวันที่กำลังช่วยอรรถกรยกโต๊ะออกไปเรียงตั้งทีละตัวได้แต่เหลือบหันไปมองคนที่คอยยืนสั่งการอย่างน่าหมั่นไส้ ไม่ใช่แค่เธอหรอกที่มองไปทางเขา สายตาคมดุจพญาเยี่ยวของเขาก็กำลังมองพุ่งตรงจิกกัดมาที่เธอเช่นกัน
"สองคนนั้นถ้ายังไม่เลิกคุยกันแล้วรีบตั้งใจทำงานให้เสร็จ ฉันจะจับแยก"
"แต่ฉันเคยได้ยินมาว่า เจ้านายที่ดีควรที่จะช่วยลูกน้องลงมือทำงานด้วยกันมากกว่าที่จะยืนสั่งงานแต่ปากแบบนั้นนะคะ ดูแล้วรู้สึกว่ามันไม่ค่อยน่าจะเคารพสักเท่าไหร่" เพราะในที่สุดฉัตรตะวันก็ทนต่อท่าทีที่คีตกานต์คอยกระแนะกระแหนมาอีกต่อไปไม่ไหว จึงอดที่จะปากไวพูดตอบสวนกลับอย่างไม่ต้องยั้งคิด
ราวกับว่าเอาน้ำมันราดลงไปบนกองไฟ ทันทีที่ฉัตรตะวันสวนกลับ ทุกสรรพสิ่งรอบๆบริเวณนั้นต่างก็พากันหยุดหมุน นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ฉัตรตะวันตอกกลับเขาต่อหน้าลูกน้องมากมายแบบนี้ สันกรามแกร่งถูกขบเข้าหากันจนขึ้นเป็นสันนูน ยิ่งเมื่อสังเกตเห็นว่าได้ถูกสายตาคมนั้นฟาดกลับมา ก็ทำเอาขนคอของฉัตรตะวันนั้นเริ่มตั้งตรงและต่างก็พากันลุกเกลียวในบัดดล
"เธอตามฉันมานี่"
น้ำเสียงเย็นเฉียบที่ถูกปล่อยออกมา ทำให้เหล่าบรรดาคนงานที่ยังหยุดยืนนิ่งเพื่อคอยฟังเหตุการณ์ ต่างเริ่มพากันกระซิบกระซาบ เพราะทุกๆคนต่างก็รู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่คีตการณ์โกรธนั้นมันน่ากลัวมากแค่ไหน
"พี่คีย์ครับ" อรรถกรพยายามเอ่ยเรียกเสียงเบาราวกับต้องการอยากจะห้ามและขอร้อง แต่ก็ถูกคีตกานต์ใช้อำนาจในการเป็นเจ้านายหยุดความต้องการของเขาเสียก่อน
"มึงหยุดไอ้อรรถ ทำงานของมึงต่อไป"
แม้ว่าจะกล้าๆกลัวๆแต่ขาเรียวงามก็ค่อยๆขยับก้าวตามร่างสูงใหญ่ไป พอมาถึงฉัตรตะวันก็พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะก้าวเดินตามหลังของคีตกานต์ตรงเข้าไปในออฟฟิศ
บานประตูถูกผลักให้เปิดออกและปิดลง ก่อนที่ขายาวๆนั่นจะเดินไปหยุดลงที่หน้าโต๊ะทำงานก่อนจะพิงสะโพกแกร่งเอาไว้ที่หน้าโต๊ะ ภายในห้องนั้นเย็นเฉียบไปด้วยเครื่องปรับอากาศที่ทั้งเงียบและเย็น พอบวกกับสายตาคมกริบของคนตรงหน้าที่กำลังเพ่งมองมาด้วยแล้ว ก็ทำเอาฉัตรตะวันเริ่มน้ำลายเหนียวหนืดติดคอขึ้นมาทันที
"กล้ามากนะ ที่พูดแบบนั้นกับฉันต่อหน้าคนงาน"
"ก็ในเมื่อฉันพูดเรื่องจริง ทำไมต้องใช้ความกล้าด้วยล่ะคะ" แม้ว่าน้ำเสียงที่ตอบออกไปจะติดตะกุกตะกัก แต่ฉัตรตะวันก็ยังทำเป็นใจดีสู้เสือไว้
"ก็ดี กล้าๆไว้ เเล้วเธอจะได้เห็นว่าความปากดีของเธอมันทำให้เกิดอะไรขึ้นได้บ้าง ลองมาดูกัน"
ว่าแล้วคีตกานต์ก็ยกหูโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นก่อนจะไล่กดเลขหมายเบอร์โทรๆหนึ่งตามโน๊ตกระดาษแผ่นเล็กๆที่ถูกแปะติดเอาไว้ใกล้ๆ พอกดโทรออก เพียงไม่นานบทสนทนาก็เริ่มขึ้นในทันที โดยมีสายตาโกรธเกลียดอย่างแรงกล้าปักหมุดเอาไว้ที่บนใบหน้าของฉัตรตะวันอย่างไม่ยอมลดละสายตา
"เสี่ยมนัสหรอครับ นี่ผมคีตกานต์นะ"
ฉัตรตะวันหูกระตุกทันทีที่ได้ยินว่าชื่อที่คีตกานต์เอ่ยออกมานั้นคือชื่อของผู้ที่เป็นบิดาของตนเอง เขาโทรหาป๊าของเธอทำไมกันนะ แต่ดูจากสายตาของเขาแล้วมันดูช่างไม่น่าไว้วางใจ
"คือผมอยากจะโทรมาบอกเสี่ยว่า ตั้งแต่ต้นเดือนหน้านี้เป็นต้นไป ผมขอเพิ่มดอกเบี้ยของเงินกู้ทั้งหมดขึ้นอีกสิบเปอร์เซ็นครับ" ยิ่งพอได้ยินแบบนี้ไป ฉัตตะวันก็อยากรีบตรงไปกระชากทั้งหูโทรศัพท์รวมไปถึงตัวคนตรงหน้าให้หยุดการสนทนาลงเสียก่อนที่เขาจะพูดอะไรต่อ แต่ก็ยังจำเป็นต้องกลั้นใจไว้
"ครับเสี่ย ตอนแรกมันก็ไม่ใช่แบบนี้อย่างที่เสี่ยว่านั่นแหละ แต่ถ้าเสี่ยอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆผมถึงได้เปลี่ยนข้อตกลงปุบปับแบบนี้ ผมว่าเสี่ยน่าจะลองคุยกับลูกสาวเสี่ยเองดีกว่านะครับ เพราะว่า 'เธอ' เป็นสาเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ทั้งหมด"
ว่าแล้วหูของโทรศัพท์ก็ถูกยื่นตรงมาให้เธอ ริมฝีปากที่กำลังยิ้มเยาะนั้นสร้างทั้งความเคืองแค้นและปวดแปลบให้ฉัตรตะวันเป็นอย่างมาก ข้อมือน้อยยื่นออกไปหยิบหูโทรศัพท์เข้ามาไว้ในมืออย่างช้าๆ ในขณะที่ฟันซี่เล็กๆนั้นกัดลงมาบนริมฝีปากบางอย่างไม่รู้สึกเจ็บปวด
"เดี๋ยวซันโทรกลับนะคะป๊า ขอซันเคลียร์กับเขาก่อนแป๊บหนึ่ง"
ฉัตรตะวันวางสายใส่บิดาแทบจะทันทีแม้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะด่าทอเธอออกมาเสียแทบจะไม่เป็นประโยค แต่แล้วทุกๆประโยคเหล่านั้นมันก็กลับได้ทะลุเลยผ่านเข้า ไม่ยอมเข้าไปในรูหูเธอเลยสักนิด เพราะทั้งอารมณ์โกรธเเค้นของเธอก็กำลังพลุ่งพล่านเสียเต็มประดา
"คุณมันทุเรศ ถ้าอยากจะแกล้งอะไร ก็ให้มาลงที่ฉันนี่ ไปยุ่งกับป๊าฉันทำไม"
"ฉันจะลงกับใครก็ได้ถ้าฉันอยากจะลง ทีนี้เธอก็ได้รู้แล้วสินะว่าทีหน้าทีหลังอย่ามาทำปากเก่งกับฉัน แล้วถ้าเธอยังไม่เข็ด พูดจาไม่ระวังปาก ทำตัวไม่ให้ความเคารพฉันอีกล่ะก็ ป๊าเธอจะได้เจอเรื่องที่มันน่าปวดหัวกว่านี้อีกแน่ฉัตรตะวัน"
ฉัตรตะวันจ้องมองใบหน้าที่ถึงแม้ว่าจะหล่อเหลาราวกับเทพบุตรนั่น แต่มันกลับมีรอยยิ้มร้ายที่ผุดออกมาจากริมฝีปากนั่นราวกับว่าเขาคือซาตาน สองปีที่ได้รู้จัก คีตกานต์เรียกว่าแทบจะทำทุกอย่างที่มันจะสามารถสร้างความเจ็บปวดทั้งทางกายและทางใจให้กับเธอได้ ไม่สนว่าเธอจะเป็นเพศอะไร หากมีเรื่องที่คิดว่าจะสามารถทำลายเธอได้ เขาก็จะทำ
"ทีนี้เธอตามฉันมานี่"
ว่าแล้วขายาวๆนั่นก็ก้าวเดินออกจากห้องนี้ไป ในใจของเธอนึกอยากจะเอาหยิกเอาเล็บยาวๆไปข่วนหน้ากวนๆนั่นเสียเหลือเกิน ให้เลือดได้ไหลออกมาซิบๆ ให้มันได้สาสมกับความเลวทรามที่เขาทำไว้ แต่แล้วก็ยังไม่มีโอกาส
พอเดินตามเขาไปสักพัก ฉัตรตะวันก็รู้แล้วว่าหน้าที่ต่อไปของเธอนั้นคืออะไร เรือนร่างสูงใหญ่เดินนำเธอมายังคอกของเจ้าลักกี้ ม้าสายพันธุ์เทนเนสซีตัวโปรดสีน้ำตาลเข้มของเขา
"ทำงานกับคนดีๆไม่ชอบ งั้นก็ไปล้างคอกม้า"
"ในวันหยุดแบบนี้เนี่ยนะคะ? ไม่ค่ะ"
"งั้นฉันจะจ่ายโอทีให้ก็ได้ ถ้าหากเธอคิดว่ามันไม่ยุติธรรม"
"แต่ฉันไม่ได้ต้องการทำงาน ฉันต้องการพักผ่อนในวันหยุดค่ะคุณคีย์" ฉัตรตะวันพูดกระแทกออกไปอย่างเสียงดังเพื่อหวังว่าอย่างน้อยเสียงของเธอนั้นน่าจะปลุกให้เขาตื่นหรือได้สติมากกว่านี้
"แต่ฉันต้องการให้เธอทำงาน และเธอก็ต้องทำด้วย เข้าใจไหมฉัตรตะวัน หรือว่าจะให้ฉันโทรกลับไปหาเสี่ยมนัสแล้วเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีกสักสิบยี่สิบเปอร์เซ็นดี"
และแล้วฉัตรตะวันก็ต้องเป็นอันว่าเดินคอตกกลับเข้าไปอยู่ในคอกของลักกี้อย่างรู้หน้าที่ หลายต่อหลายครั้งแล้วที่เขาให้เธอมาดูแลมันแบบนี้เวลาที่หาเรื่องแกล้งเธอไม่ได้
แม้ว่าอากาศจะไม่ได้ร้อนเพราะว่าเป็นช่วงเริ่มเข้าฤดูหนาว แต่การที่คีตกานต์ให้เธอกวาดล้างทำความสะอาดคอกเจ้าลัคกี้ อาบน้ำแปรงขนให้มัน แบกขนมัดหญ้าแห้งที่เป็นอาหารของเจ้าลัคกี้มาให้นั้นรวมๆก็ปาเข้าไปจนเกือบเย็น
ซึ่งในขณะที่เธอก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่งกๆนั้น เขากลับนอนหลับตาสบายใจอยู่บนกองหญ้าแห้งที่ถูกตั้งกองเอาไว้เป็นมัดๆอย่างไม่รู้หนาวรู้ร้อน นึกแล้วก็อดอยากจะสนองบุญคุณให้ด้วยการราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผาให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย
"ยืนมองฉันตาขวางแบบนั้น เธอคิดจะทำอะไรฉันอย่างงั้นหรอ" ว่าแล้วคนที่เธอคิดว่ากำลังหลับอยู่ก็หยัดตัวลุกขึ้นแล้วกระโดดลงจากกองมัดหญ้าที่ตั้งอยู่ใต้บริเวณต้นไม้นั้นลงมาประจันหน้า
"ฉันแค่กำลังคิดว่า น่าจะเอาน้ำมันราดแล้วจุดไฟเผากองหญ้านั่นซะ คุณจะได้นอนหลับอบอุ่นฝันดี" ว่าแล้วก็รีบเดินออกมาจากตรงนั้นตรงกลับไปยังบ้านพักของตัวเองทันที โดยที่มีคนยืนมองง
"เธอนี่มันไม่เข็ดจริงๆสินะ"
"ช่วยอธิบายให้ซันฟังหน่อยได้ไหมคะว่าระหว่างที่ซันหลับไป คุณกับป๊าซันไปแอบทำสัญญาพักรบกันตอนไหน จำได้ว่าที่ซันเป็นล้มไปก็เพราะว่าคุณกับป๊านั้นเถียงกันไม่หยุด" ฉัตรตะวันถามซักไซ้ไล่เรียงทันทีที่คีตกานต์เดินกลับเข้ามา"สงสัยว่าป๊าซันคงกลัวว่ามันจะไปกระทบกระเทือนถึงหลานละมั้ง ก็เลยยอมอ่อนข้อลงให้""หลาน? ที่ไหนคะ""ก็หลานในท้องซันไง""คุณคีย์ซันไม่ตลกด้วยนะคะ นี่คุณกำลังหมายความว่าอะไร คุณบอกอะไรกับป๊าซันไปคะ ป๊าถึงได้ยอมถอยกลับไปได้ง่ายๆแบบนั้น" ฉัตรตะวันรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ แถมสีหน้าท่าทางยังดูระแวงระวังอย่างไม่ไว้วางใจ"ผมบอกกับป๊าว่าซันกำลังท้องลูกของเราอยู่ แล้วก็จะยกหนี้สินทั้งหมดที่ป๊าคุณกู้ไปให้ ป๊าคุณคงเห็นแก่หลานและความจริงใจของผมละมั้ง ก็เลยยอม""ท้อง? ใครกันที่ท้อง ซันยังไม่ได้ท้องนะคะ นี่คุณโกหกป๊าซันทำไม""ผมไม่ได้โกหกป๊าคุณนะซัน ที่คุณเป็นลมล้มตึงไปนั่นอาจจะเป็นเพราะว่าคุณกำลังท้องอยู่ก็ได้ หรือถ้าไม่ ยังไงเร็วๆนี้คุณก็ต้องท้องแน่ๆ เชื่อมือผมสิ"ฉัตรตะวันยังคงงงๆกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่มันเกิดขึ้น เพียงแค่ภายในสัปดาห์ คีตกานต์ก็ได้พาทั้งคุณยายประไพศรีและคุณพรประภาเข้าไปต
"ถุย! ไอ้คีตกานต์ น้องซันเกลียดมึงจะตายไป ยังจะมากล้าพูดได้ไม่อายปากว่าน้องซันเป็นเมียมึง ไม่กระดากปากบ้างหรือไงวะ" ธนากรทำท่าจะเดินเข้าไปหา แต่ก็ถูกฉัตรดนัยห้ามเอาไว้"ที่เขาพูดมันจริงหรือเปล่าพี่ซัน" ฉัตรดนัยเองก็อดสงสัยไม่ได้ที่อยู่ดีๆตนก็มีพี่เขยโผล่มา "ซี คือว่า.." เพราะฉัตรตะวันมัวแต่อึกๆอักๆไม่ยอมพูดไป จึงทำให้คนข้างๆเริ่มที่จะหมั่นไส้ตัดสินใจชูใบแผ่นกระดาษให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป"ผมกับฉัตรตะวันเราพึ่งไปจดทะเบียนสมรสกันมา และผมต้องขอโทษเสี่ยด้วยที่พาฉัตรตะวันไปจดโดยพละการโดยที่ไม่ได้บอกกล่าว แต่หลังจากนี้ผมจะพาคุณยายกับคุณแม่เข้าไปพูดคุยกับเสี่ยให้เร็วที่สุด ไม่ทราบว่าเสี่ยสะดวกวันไหนครับ""พูดบ้าอะไรของมึงวะไอ้คีตกานต์ จดทะบงทะเบียนอะไร น้องซันเป็นว่าที่คู่หมั้นของกู กูไม่ยอมให้มึงมาชุบมือเปิบไปหรอก ไอ้บ้านี่มันโกหก เรื่องที่มันพูดไม่เป็นความจริงใช่ไหมน้องซัน" พอเห็นคีตกานต์ชูแผ่นกระดาษที่มีกรอบเป็นรูปดอกกุหลาบล้อมรอบธนากรก็เริ่มร้อนใจ พยายามถามให้ฉัตรตะวันตอบหรือปฏิเสธอะไรก็ได้ ช่วยพูดออกมาทีว่าสิ่งที่คีตกานต์กำลังพูดนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง"จริงค่ะพี่ธนา ซันกับคุณคีย์พึ่งไ
หลังจากนั้นคีตกานต์ก็พาเธอมายังสถานที่ๆหนึ่งซึ่งดูสงบและร่มเย็น เขาจอดรถไว้ที่ด้านนอกก่อนจะพาเธอเดินเข้าไปด้านใน ใบไม้ต้นไม้พัดโบกปลิวไสว ฉัตรตะวันมองตามที่คีตกานต์ชี้นิ้วตรงไปใต้ร่มโคลนต้นไม้ใหญ่ ตรงนั้นมีใครคนหนึ่งนุ่งชุดขาวห่มขาวปิดเปลือกตาทำสมาธิอย่างสงบฝ่ามือเล็กยกขึ้นมาข้างหนึ่งเพื่อปิดปากไว้ หลังจากที่เพ่งมองจนเห็นชัดเจนว่าคนที่กำลังนั่งหลับตาอยู่ที่โคลนใต้ไม้ต้นนั้นคือใคร ไม่ว่าจะมองใกล้ไกลแค่ไหน ใบหน้านั้นก็ยังดูเด่นชัดคีตภัทรอยู่ในนุ่งห่มสีขาวและกำลังนั่งสวดภาวนาอย่างตั้งใจ คีตกานต์เล่าต่อให้เธอฟังว่า หลังจากที่ถูกธนากรทำร้ายจิตใจในวันนั้น คีตภัทรก็เริ่มเปลี่ยนไป จิตใจคิดฝักใฝ่ไปในทางธรรม เห็นทุกข์เห็นแจ้งว่าคงจะไม่มีใครรักเธออย่างจริงใจได้เท่าคนครอบครัว จากนั้นจึงได้ตัดสินใจที่จะละจากทางโลกมุ่งเข้าสู่ทางธรรม"เห็นแล้วนะว่าต่อไปนี้ครีมคงจะไม่มีทางที่จะเข้ามายุ่งเรื่องระหว่างเธอกับฉันได้""อันที่จริงขนาดน้องสาวคุณยังตัดสินใจละจากทางโลกเลย คนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างคุณก็น่าจะทำบ้างนะคะ""ไม่ล่ะ คนอย่างฉันมันกิเลสหนา ฉันยังตัดเรื่องอย่างว่าไม่ได้ นี่ขนาดว่าเธอยืนอยู่ตั้งไกลแบบ
กว่าครึ่งชั่วโมงที่คีตกานต์ยังคงนั่งเฉยอยู่ในรถและปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปอย่างนั้น ธนากรบอกว่าเสี่ยมนัสรู้สึกตัวและรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว นั่นหมายความว่าอีกไม่นานก็คงจะนำเงินทั้งหมดมาคืนให้ เป็นไปได้ว่าคงจะเป็นเงินจากธนากรที่เสนอให้ อาจแลกด้วยการหมั้นหมายหรืออะไรสักอย่าง ไม่เช่นนั้นฝ่ายนั้นคงจะไม่แสดงท่าทีที่สุดแสนจะมั่นอกมั่นใจและกล้าเรียกฉัตรตะวันได้เต็มปากว่า 'ว่าที่คู่หมั้น'เขายังไม่ได้อยากได้เงินคืน หรือไม่ก็ไม่ได้อยากที่จะได้เงินคืนเลย..ขอเพียงแค่ฉัตรตะวันยังอยู่ใกล้ๆ คีตกานต์พาตัวเองกลับมายังบ้านพักก่อนจะเปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นมาแล้วจัดการโหลดไฟล์วีดีโอใส่เข้าไปในมือถือ จากนั้นจึงกดส่งไปยังรายชื่อที่ถูกตั้งค่าไว้ในโหมดรายชื่อโปรดที่พักหลังๆมานี้มักจะแสดงอยู่ในหน้าจอประวัติการโทรเข้าออกของเขาบ่อยที่สุด พร้อมมีข้อความกำกับเขียนเอาไว้ด้วยความร้อนอกร้อนใจ เขาอยากให้เธอได้เห็นว่าเรื่องระหว่างเขาและเนตรดาววันนั้นมันไม่ได้มีอะไร เขาไม่เคยแม้แต่คิดนอกใจเธอ'ที่ผ่านมาฉันไม่เคยทำผิดต่อเธอเลย แล้วเธอกล้าที่จะทิ้งฉัน หนีฉันไปหมั้นกับผู้ชายคนอื่นได้ยังไง'หมดวันหยุดฉัตรตะวันยังคง
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นคีตกานต์ก็ได้รับข่าวว่าฉัตรตะวันยกเลิกที่จะเช่าบ้านพักหลังนั้นแล้วย้ายออกไปเช่าหอพักอยู่ใหม่ในเมืองแทน พอคีตกานต์รู้ข่าวก็เกิดกระวนกระวายใจ พยายามแอบขับรถตามไปดูว่าฉัตรตะวันย้ายไปพักอยู่ที่ไหน และพอได้รู้ ใจก็อยากจะขอแอบตามขึ้นไปดูอีกว่าห้องหับความเป็นอยู่ของเธอนั้นเป็นอย่างไร สะดวกสบายปลอดภัยดีหรือเปล่า หากแต่แล้วก็ทำไม่ได้ มีคนไม่ยอมให้เขาขึ้นไปด้วยความที่ว่าหอพักแห่งนี้มีระบบความปลอดภัยที่ค่อนข้างสูง ทันทีที่บุคคลภายนอกอย่างเขาย่างกรายเข้าไป เจ้าหน้าที่ที่คอยรักษาความปลอดภัยก็ตรงดิ่งเข้ามาเชิญตัวเขาให้ออกไปโดยทันที "เมียผมพักอยู่ที่นี่จริงๆ เธอพึ่งย้ายมาเพราะว่าเราทะเลาะกัน ผมแค่อยากจะขอขึ้นไปดูความเป็นอยู่ของเธอหน่อยว่าห้องที่เธออยู่เรียบร้อยปลอดภัยดีไหม พี่ให้ผมขึ้นไปแค่แป๊บเดียวก็ได้แล้วผมจะรีบลงมา"หลังจากยืนอ้อนวอนพี่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่เสียนาน สุดท้ายแล้วคีตกานต์ก็ต้องหน้าจ๋อยกลับขึ้นรถมาอย่างเก่า สองวันมานี้ยอมรับว่าจิตใจของเขานั้นไม่เป็นสุขเลย มันค่อยๆดิ่งลงเพราะมัวแต่พะวงคิดมากเรื่องที่ฉัตรตะวันเข้ามาเห็นเขาและเนตรดาวอยู่ด้วยกันเขาไม่สบ
คีตกานต์ค่อยๆขยับลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อแสงแดดที่สาดเข้ามาจากด้านนอกนั้นโผล่ทะลุผ้าม่านห้องนอนเข้ามาได้ เมื่อวานเขาคงจะดื่มไปจนหนักมาก เช้านี้พอตื่นขึ้นมาถึงได้มีอาการปวดหัวจนแทบจะระเบิดแบบนี้ได้เรือนร่างสูงใหญ่พยามยามกระถดกายลุกขึ้นนั่ง เขาขยับอย่างช้าๆ สายตาเหลือบมองไปที่เข็มนาฬิกาซึ่งกำลังบอกว่าเป็นเวลาเกือบแปดโมง แต่ทันทีที่ได้ขยับ บริเวณหน้าอกของเขากลับมีการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่าง พอมันค่อยๆโผล่พ้นขอบผ้าห่มออกมา จึงได้เห็นว่าเป็นแขนของใครคนหนึ่งที่ยกพาดทับมากอดก่ายหน้าอกเขาเอาไว้คีตกานต์ถึงกับต้องทำการนึกคิดทบทวนอย่างละเอียด จำได้ว่าเมื่อคืนเขานั่งเครียดและดื่มอยู่เพียงคนเดียวในบ้าน แล้วเช้านี้ก็ตื่นขึ้นมาในบ้านของตัวเอง ไม่ได้ออกไปไหนหรือว่าพาใครที่ไหนเข้ามา แล้วแขนของคนที่นอนขยุกขยิกอยู่บนเตียงเดียวกันกับเขาใต้ผ้าห่มนี้คือใคร "ตื่นแล้วหรอคะคีย์"และทันทีที่ได้ยินเสียง คีตกานต์ก็จำได้ทันทีว่าเสียงที่พูดออกมานี้คือเสียงใคร ใช่เสียงของคนที่เขาคิดเอาไว้แน่ๆ แต่เพราะความที่อยากจะแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้จำผิด ผ้าห่มผืนใหญ่จึงได้ถูกดึงเปิดออกจนปรากฏเผยให้เห็นร่างที่เกือบจะนอนเปลือยเ