มู่ชิงซานกวาดตามองไปรอบๆ ตัว เขามั่นใจว่าสตรีอัปลักษณ์คงอยู่ไม่ห่างจากที่นี่ นางเหมือนภูตผีซึ่งหลบซ่อนคอยกัดกินซากสัตว์เน่าตาย
ร่างสูงใหญ่ก้าวไปเบื้องหน้าโดยไม่เกรงกลัวใคร กระทั่งหูแว่วได้ยินเสียงน้ำตก ด้วยความที่เมื่อยล้าและอยากล้างเนื้อตัว จึงเปลื้องผ้าหวังชำระร่างกาย
เมื่อเขาลงสู่ผืนน้ำใส ความสดชื่นทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าหายเครียด แต่พอเงยหน้าขึ้นเขารู้สึกวูบเล็กน้อย อีกทั้งปวดศีรษะอย่างรุนแรงยามนั้นชายหนุ่มคิดถึงความผิดพลาดที่ตนไม่ทันเฉลียวใจแต่แรก ด้วยประมาทว่าแคว้นหมิงอ่อนด้อยหลายอย่าง แต่สุดท้ายเขากลับเดินเข้าสู่กับดัก มู่ชิงซานนึกย้อนถึงป้ายหยกของน้องชายและกล่องไม้ที่มีนิ้วมือมนุษย์ หรือเป็นไปได้ว่าของสองสิ่งนี้ล้วนแอบแฝงด้วยพิษร้ายและตอนนี้มันกำลังเล่นงานเขาหลังจากที่ใช้พลังภายในเพื่อป้องกันตนเอง
มู่ชิงซานปวดศีรษะรุนแรงกว่าเดิมและมีเลือดไหลออกจากจมูกกับรูหูทั้งสองข้าง อาการหน้ามืดเล่นงานเขาอย่างฉับพลัน แต่เขาพยายามทรงตัวเอาไว้ด้วยได้ยินเสียงฝีเท้าคน แม้ว่าแผ่วเบาแต่มีจำนวนไม่น้อย
“ใครมันบังอาจรบกวนข้า” มู่ชิงซานตวาด ก่อนกระโดดตัวลอยเหนือผิวน้ำ เมื่อมีมีดสั้นซึ่งเป็นอาวุธลับพุ่งตรงมายังร่างเขา
“บัดซบ! ลอบกัดเช่นนี้คงมีแต่พวกคนเขลาแคว้นหมิง” เขาเอ่ย และมองหาคนที่ซุ่มอยู่หลังแนวป่าไผ่
การเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็ว ดูท่าแล้วคงเป็นกลุ่มคนที่มีฝีมือมากกว่าชายชุดดำเมื่อครู่
มู่ชิงซานคว้าเสื้อคลุมมาพันกายเอาไว้เพื่อไม่ให้อุจาดตา แล้วลอยตัวไปคว้าดาบใหญ่ จากนั้นก็พุ่งเข้าฟันร่างซึ่งหลบอยู่ตามโขดหิน ร่างเหล่านั้นได้รับบาดเจ็บต่างกันไป แต่พวกมันมีฝีมือมิได้ต่ำทราม เขาจึงต้องออกแรงมากสักหน่อย
การต่อสู้ยืดเยื้อ ร่างกายของมู่ชิงซานเกิดอาการแปลกประหลาด เขาสะบัดร้อนสะบัดหนาว ศีรษะหนักข้างเดียว อีกทั้งมีอาการหอบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“พิษ!...พวกหมาลอบกัด”
ชายหนุ่มขบกรามแน่น พิษประหลาดคงซ่อนอยู่ในหยกและกล่องไม้ที่เขาได้รับ เมื่อออกแรงหนักมันก็กำเริบหนัก กระนั้นเขาก็ฝืนตนเข้าไปสังหารคนที่พุ่งเข้ามา ดาบใหญ่ฟันไปข้างหน้าก่อนหมุนตัวกลับอย่างเร็วเมื่อมีคนโจมตีจากด้านหลัง ชายหนุ่มจึงถีบศัตรูเหล่านั้นตามด้วยใช้ฝ่ามือซัดอีกร่างซึ่งพุ่งมาทางขวามือ
ยามนั้นเขาไอแห้งๆ ความกลัวพลันเกิดท่วมใจ เขาไม่เคยพ่ายแพ้ต่อสิ่งใด มู่ชิงซานคือหมาป่ารัตติกาล เป็นอ๋องปีศาจที่ใครได้ยินชื่อก็ต่างนึกขยาด ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกเข้าปอด พยายามบ่ายหน้าเพื่อฉวยเอาเสื้อผ้าของตนมาสวมใส่ ทว่าไม่ทันได้หยิบจับอะไร เขากลับลื่นล้ม ก่อนที่ร่างจะถูกกระแสน้ำพัดพา
สองมือของเขาหาที่ยึดเหนี่ยว แต่แรงของน้ำซึ่งซัดใส่ร่างสูงใหญ่มีกำลังมหาศาล อีกทั้งบางส่วนไหลเข้าสู่ปากและหู ยามนั้นชายหนุ่มดิ้นรนสุดกำลังทว่าแรงที่เคยมีเหมือนจะหดหายไป
“ข้าจะตายไม่ได้ หากยังไม่ได้สะสางความแค้นกับนางผู้นั้น!!” เขาเอ่ยแต่เสียงของอ๋องจากต้าหลางเบาจนน่าวิตก
ฟ่านรั่วเจี๋ยต้อนฝูงเป็ดของนางเข้าโรงเรือน และร้องเพลงพื้นบ้านที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กด้วยความสบายใจ ขณะที่พยายามตามจับลูกหมูแคระที่ซุกซน ดวงตาของนางต้องเบิกค้างเมื่อมีท่อนขาแกร่งขาวซีดโผล่ให้เห็นตรงหน้า พิศแล้วหัวใจพลันหล่นหายไปอยู่ตรงปลายเท้า
กระทั่งสติฟ่านรั่วเจี๋ยกลับคืน นางจึงชะโงกหน้าไปมองร่างที่นอนอยู่บนพื้น ก่อนเผลอหลุดร้องเสียงดัง เสียงนั้นทำให้เจ้าหมูแคระวิ่งออกมาจากที่ซ่อน
หมูตัวนั้นชื่อตือเมี่ยว มันใช้จมูกโตๆ ดมปลายเท้าร่างที่นอนสลบไม่ได้สติ พอเห็นว่าไม่เคลื่อนไหว มันก็ดมไปทั่วเรือนกายสูงใหญ่ กระทั่งเริ่มใช้ปากเล็กๆ ขบต้นขายาวซึ่งมีแพขนสวยงามเปียกลู่นาบไปกับผิวของเขาซึ่งชวนให้หวามใจอย่างยิ่ง ทว่าเจ้าหมูแคระคงไม่ทันหายมันเขี้ยว ตือเมี่ยวจึงเปลี่ยนเป้าหมายใหม่
“อาเมี่ยว หยุด นั่นไม่ใช่ไส้เดือน!!”
หญิงสาวกลั้นหายใจลึก ก่อนรีบเข้าไปอุ้มตือเมี่ยวลูกหมูแคระขึ้นมากอด
ยามนั้นสายตานางจดจ้องร่างกายของบุรุษซึ่งนอนไร้สติ โดยเฉพาะตรงกึ่งกลางลำตัว ซึ่งนางไม่แน่ใจว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เมื่อได้เห็นแท่งหยกของบุรุษแห่งอาณาจักรต้าหลางเต็มสองตา!
เจ้าสิ่งนั้นนอนหลับใหลอยู่ในฝักสวย ขนาดมันไม่ได้เล็กสักนิด ฟ่าน-รั่วเจี๋ยยอมรับว่ายามนี้นางกระวนกระวายใจอย่างที่สุด
“เป็นเขาจริงๆ หรือ”
นางรำพึงรำพันกับตนเองพลางสำรวจเรือนกายนั้นอย่างละเอียดแน่นอนว่าร่างสูงใหญ่ซึ่งนอนสลบไร้อาภรณ์ห่มกายคือหมาป่ารัตติกาล หรืออ๋องปีศาจซึ่งใครๆ ต่างขยาดกลัว ทว่ายามนี้เขากลับมาอยู่ตรงหน้านางในสภาพเปล่าเปลือย อีกทั้งนอนสลบและหายใจแผ่วเบาราวกับคนหมดแรงนับว่าเป็นโอกาสที่เหมาะสมเสียจริง
“คนชั่วช้าเช่นท่านตกอยู่ในเงื้อมมือข้า สวรรค์ยังมีความยุติธรรม หึๆอย่าคิดว่าจะได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกอีกเลย” นางว่าอย่างลำพองใจ ยิ่งเห็นร่างกายเขาไม่ไหวติง ฟ่านรั่วเจี๋ยยิ่งสาแก่ใจนัก
“กำจัดคนพาลอภิบาลคนดีเช่นนี้นับว่าประเสริฐ!” นางประกาศกร้าวสายตาฉายโชนความมุ่งมั่นทำตามที่ใจคิด
มือเรียวสวยดึงปิ่นปักผมที่เป็นเข็มเงินเล่มใหญ่ พอเลื่อนสลักเล็กก็กลายเป็นมีดสั้นคมกริบ ฟ่านรั่วเจี๋ยค่อยๆ ทรุดลงไปอยู่ใกล้ๆ ร่างกายสูงใหญ่
มู่ชิงซานผู้นี้เป็นชายผิวขาวอยู่สักหน่อย บางส่วนไหม้แดดจึงดูสมชายชาตรี ทว่าทั่วทั้งเรือนกายกำยำนั้นชวนให้ดวงตานางพร่างพราย
“อ๋องปีศาจ ท่านตั้งใจล่อลวงข้า ฮึ...ไม่มีวัน ท่านมิอาจทำเรื่องนี้สำเร็จ”
มีดสั้นจี้ตรงลำคอของมู่ชิงซาน เส้นเลือดเขาเต้นตุบๆ ลูกกระเดือกสวยเคลื่อนไหวช้าๆ ฟ่านรั่วเจี๋ยตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ นางกำลังหวั่นไหว!
หญิงสาวเปลี่ยนจุดหมายใหม่ นางคิดจะแทงมีดสั้นเข้าที่หัวใจเขาเพียงครั้งเดียวร่างนี้ก็จะสิ้นใจ!
“ไม่ได้สิ คนอย่างท่านสมควรถูกทรมาน จะให้ตายง่ายๆ คงไม่สาสมกับความเลวแสนต่ำช้าที่เคยกระทำไว้”
ฟ่านรั่วเจี๋ยก้าวจบจึงเตรียมจะขึ้นนั่งคร่อมตัวเขา ทว่าเป็นตอนนั้นที่กายสาวร้อนผ่าวอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ด้วยมือเรียวสวยของนางสัมผัสแผงหน้าอกแน่นๆ ของชายหนุ่ม ก่อนที่จะเผลอไผลบีบยอดหน้าอกซึ่งกำลังแข็งชูชัน!
ความรู้สึกตอนนั้นไม่เหมือนกับยามที่เย้าหยอกเกาเจียวหั่ว และแต่ไหนแต่ไรนางนึกว่าตนชอบอีกฝ่าย ทว่าเหตุใดเพียงแค่ใกล้ชิดอ๋องปีศาจไม่ถึงหนึ่งอึดใจ นางกลับเผลอทำเรื่องน่าละอายเช่นนี้ คิดแล้วฟ่านรั่วเจี๋ยก็สะท้านไปทั้งร่าง!!
หัวใจนางเต้นแรง เรือนกายร้อนวูบวาบ บริเวณท้องน้อยคล้ายมีผีเสื้อปีกบางบินว่อนนับร้อยนับพันตัว
“ขะ...ข้าเป็นอะไรไป ปีศาจร้าย อ๋องอำมหิต...ท่านไม่สมควรมีชีวิตรอด”นางว่าแล้วจึงลุกพรวดห่างจากร่างชายหนุ่ม ก่อนต้องหวีดเสียงร้องแหลมออกมาเมื่อไส้เดือนของเขาที่นางเห็นก่อนหน้านี้มันเริ่มพองขยายขึ้น และถึงแม้ไม่เต็มที่ แต่ก็ทำให้ฟ่านรั่วเจี๋ยหน้าแดง หูแดง และร้อนอบอ้าวจนเหงื่อผุดท่วมหน้าผาก
“ทะ...ท่าน คนชั่วช้า คิดล่อลวงข้าเยี่ยงนั้นรึ ก่อนที่จะฆ่าท่านให้ตายข้าขอเฉือนไส้เดือนทิ้งแล้วสับให้ละเอียดเอาไปผสมปลายข้าวให้อาเมี่ยวกินก็แล้วกัน หากกระทำเช่นนี้คงนับว่าเกิดประโยชน์!”
นางว่าอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น ก่อนกึ่งก้าวกึ่งวิ่งเข้าไปในครัว เมื่อออกมาก็เห็นว่าชายหนุ่มค่อยๆ ฟื้นคืนสติ ฟ่านรั่วเจี๋ยหยุดชะงัก นางมิอาจรับมือเขาได้แน่ บุรุษผู้นี้คือเทพสงครามกระหายเลือดเชียวนะ!
“อย่าเข้ามา ไม่งั้นข้าจะสับท่านเป็นหมื่นๆ ชิ้น” นางขู่เขา พลางยกมีดทำครัวเล่มใหญ่ในมือขึ้น ท่าทางเหมือนจะจัดการเขาให้ถึงแก่ชีวิต
ดวงตาเรียวคมกริบคู่นั้นมองฟ่านรั่วเจี๋ย และมองอยู่นาน นานจนนางผิดสังเกต
“จ้องข้าเยี่ยงนี้ ทะ...ท่านคิดย่ำยีข้าใช่หรือไม่ ฝันไปเถอะ สตรีเช่นข้ามิยอมให้ผู้ใดข่มเหงง่ายๆ และตำหนักเย็นแห่งนี้จะเป็นที่ฝังศพบุตรชายแห่งต้าหลาง” นางกล่าวและปั้นสีหน้าเป็นขึ้งโกรธ ทว่าทำได้เพียงอึดใจเดียว นางก็ต้องประหลาดใจเป็นล้นพ้น เมื่อสีหน้าของมู่ชิงซานกลับระบายยิ้มกว้างรอยยิ้มนั้นทำให้ใบหน้าแข็งกระด้างดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
“พิลึก ทะ...ท่านยิ้มให้ข้า!” นางเอ่ย แล้วเผลอยิ้มตอบเขา
“ยิ้ม” ชายหนุ่มว่าและหัวเราะขบขัน คราวนี้ฟ่านรั่วเจี๋ยถึงกับตะลึงงันยามนี้เหตุใดบุรุษสกุลมู่ถึงไม่เหมือนคนที่นางเคยพบหน้า อีกทั้งแววตาร้ายๆเต็มไปด้วยความอาฆาตซึ่งแผ่รังสีปีศาจหายไปอยู่แห่งหนใด
ฟ่านรั่วเจี๋ยมองเรือนทานตะวันแล้วคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นยามนี้นางมีทุกสิ่งที่ต้องการ ถึงแม้อดีตจะแก้ไขไม่ได้ แต่นางไม่ใช่สตรีอัปลักษณ์ที่อยู่ในตำหนักเย็นอย่างเดิมอีกต่อไป มารดานางคือองค์หญิงหรงจื่อแห่งแคว้นฉีเฟิงที่ล่มสลายลง ในบันทึกสำนึกความผิดที่นางได้อ่าน มารดาไม่ได้เขียนถึงความเจ็บแค้นต่อผู้ใด หากเล่าถึงบ้านเมืองที่จากมารวมถึงการปลูกสมุนไพรต่างๆ ซึ่งล้วนสามารถใช้ในทางการแพทย์ได้“เจี๋ยเจี๋ยอยากให้สามีกระทำสิ่งใดเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของมารดาเจ้าหรือไม่”ฟ่านรั่วเจี๋ยยิ้มแล้วตอบเขาว่า“ข้าคิดว่าความตั้งใจของท่านแม่คือได้ใช้ชีวิตอย่างสงบและช่วยเหลือผู้คน ตำรับยาต่างๆ ที่ข้าได้เรียนรู้อาจไม่ใช่การปรุงยาชั้นเลิศ แต่มันกลับช่วยเหลือผู้คนได้มากมาย และสิ่งที่ต้องการของท่านแม่หาใช่การแก้แค้นหรือคิดกอบกู้ชาติที่ล่มสลายไปให้คืนกลับมาอย่างที่ข้าเคยเข้าใจ ในความจริงเมื่อวันเวลาเปลี่ยนผู้คนก็เปลี่ยน หลายชีวิตล้มหายตายจาก บ้างได้รับกรรมของตน บ้างสุขสบายมีตำแหน่งใหญ่โต แต่ผู้ใดก่อกรรมไว้อย่างไรคงหนีไม่พ้น เช่นนี้ข้าคงต้องปล่อยให้แต่ละคนรับผลการกระทำของตนเอง น่าจะเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแล้
ตอนพิเศษสองใจรวมเป็นหนึ่ง ผมขาวไม่ทอดทิ้งมู่ชิงซานใช้เวลาที่เมืองหลวงต้าหลางไม่นานนัก กระนั้นเด็กฝาแฝดทั้งสองคนก็ได้มีเวลาเที่ยวเล่นจนเป็นที่พอใจ แต่ดูเหมือนคนเป็นบิดาจะไม่ได้ทำหน้าที่แม่ทัพใหญ่เท่าที่ควร ทั้งที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาส่งเทียบเชิญมาให้เขาหลายฉบับ แต่ชายหนุ่มเมินเฉย และให้หยวนชางจัดการธุระต่างๆ แทนส่วนตัวเขาเอาแต่อยู่ในเรือนทานตะวัน และหาเรื่องกินฟ่านรั่วเจี๋ยไม่หยุด“เจี๋ยเจี๋ย...อีกนานกว่าข้ากับเจ้าจะได้กลับมาที่นี่ ฉะนั้นเราควรใช้เวลาอย่างเต็มที่ เมื่อจากไปจะได้ไม่คิดเสียดาย”ฟ่านรั่วเจี๋ยมองสามีตัวโต ผู้ชายอย่างเขาพอได้คืบก็จะเอาศอก ตอนแรกที่นางคลอดสองแฝดใหม่ๆ เขาไม่ยอมร่วมเตียงด้วย ทว่าเมื่อนางเปิดโอกาสให้กินปากกินเต้าหู้นาง เจ้าเป็ดน้อยก็กลายร่างเป็นหมาป่าจอมตะกละ“เยี่ยงนั้นอ๋องซานจงออกไปชื่นชมต้นไม้ สวนหิน และน้ำตกจำลองสิเหตุใดถึงเดี๋ยวกอดเดี๋ยวหอมภรรยาอยู่เช่นนี้”“มิได้ ข้าหมายถึงการอยู่ด้วยกันสองต่อสองในเรือนทานตะวันอันหอมหวานอย่างไรเล่า หาใช่ออกไปสูดอากาศข้างนอก”ฟ่านรั่วเจี๋ยอมยิ้มอย่างรู้ทันสามี คนอย่างเขาเมื่อตั้งใจจะกระทำสิ่งใดหากให้ล้มเลิกความคิดย่อมเป็นไปไม
“ต่อแต่นี้ท่านจะทำเยี่ยงใด” ฟ่านรั่วเจี๋ยเอ่ยถามเขา“แผ่นดินกว้างใหญ่ คนอย่างข้าย่อมไม่อับจนหนทาง” มู่หรูซื่อยังกล่าวด้วยความหยิ่งทะนง จากนั้นจึงใช้ไม้เท้าพยุงตัวก้าวห่างฟ่านรั่วเจี๋ย“อย่างไรขอให้ท่านอย่าได้ใจร้ายต่อนาง” ฟ่านรั่วเจี๋ยเอ่ยตามหลังมู่หรูซื่อ แต่แรกนางอยากช่วยฟ่านเยี่ยฉีให้หายจากอาการคุ้มดีคุ้มร้าย แต่พอคิดว่าหากอีกฝ่ายได้สติกลับคืน นางคงต้องเจ็บปวดและทุกข์อย่างสาหัสกระนั้นนางก็มิอาจปล่อยให้พี่สาวต่างมารดาเผชิญชีวิตอย่างลำบาก จึงไหว้วานองครักษ์ผู้หนึ่งคอยติดตามความเป็นไปสองคนนี้อยู่ห่างๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือ“ฮ่าๆ นางปีศาจจิ้งจอกผู้นี้เป็นภรรยาของข้า เยี่ยงนั้นข้าย่อมปฏิบัติต่อนางอย่างให้เกียรติ”เมื่อมู่หรูซื่อกล่าวจบ ฟ่านเยี่ยฉีจึงเอ่ยเสียงราวกับเด็กน้อย“หนอน...นะ...นั่นหนอนกู่!”ฟ่านเยี่ยฉีมองผีเสื้อตัวโตซึ่งมันบินมาอยู่ใกล้ๆ นาง จึงตั้งท่าจะกระโดดจับเอาไว้ แต่มู่หรูซื่อส่งเสียงเข้มตวาดใส่ หญิงสาวเลยกลัวจนตัวสั่น“ในที่สุดนางก็ได้พบมัน แต่ทุกอย่างคงสายเกินไป” ฟ่านรั่วเจี๋ยเอ่ยและมองผีเสื้อที่นางเลี้ยงดูตั้งแต่เป็นนางพญาหนอนกู่จนวันนี้มันกางปีกสวยงาม พร้อมออกไปใช้ชีว
เนื้อแท้ของสตรีอัปลักษณ์เซี่ยเหยียนยืนอยู่ที่ลานวัด นางปลาบปลื้มใจเมื่อเห็นหลานฝาแฝดหญิงชาย จูหว่านต้านเทียนเป็นเด็กน่ารัก อีกทั้งใบหน้าและอากัปกิริยาเดินเหินล้วนทำให้ผู้มองมีความสุข“ซานเอ๋อ เจ้าเป็นเด็กใจร้ายต่อแม่ไม่เปลี่ยน” เซี่ยเหยียนเอ่ยจบแล้วต้องหัวเราะอีกคราเมื่อจูหว่านส่งยิ้มให้นาง พร้อมมอบขนมแป้งทอดไส้ไก่สับหน่อไม้ให้ด้วยชิ้นใหญ่ โดยไม่รู้ว่าตั้งแต่มาอยู่บนวัดแห่งนี้ คนเป็นย่ากินเจและถือศีลอย่างเคร่งครัด เซี่ยเหยียนตั้งใจมั่นว่าชีวิตที่เหลืออยู่จะอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในวังหลวงอีก ดังนั้นยามนี้เซี่ย-เหยียนจึงมีฐานะเป็นเพียงสามัญชน “หลานย่าช่างมีจิตใจดี” นางว่าแล้วจึงลูบผมเด็กหญิงซึ่งตัวโตกว่าน้องชาย ทั้งแข็งแรง เสียงพูดดังกังวาน ท่าทางแม่นางน้อยเฉลียวฉลาด ดูเป็นผู้นำเกินวัย ซึ่งกล่าวไปแล้วหากจูหว่านจะเอาดีทางด้านการทหาร มู่ชิง-ซานคงสนับสนุนนางอย่างไม่คัดค้าน “ท่านย่า ข้ามีของมาฝากเช่นกัน” เด็กชายว่าแล้วจึงส่งปิ่นไม้ปักผมให้เซี่ยเหยียน มันเป็นปิ่นที่เขาซื้อมาจากมู่หรูซื่อนั่นเอง“หลานชายช่างเอาใจสตรีเก่ง” เซี่ยเหยียนว่าและจับปิ่นไม้พลิ
กระทั่งนางกัดเขาที่แก้มจนมู่หรูซื่อร้องโอดโอย ด้วยเลือดเขาไหลทะลักออกมา“นังบ้า!” มู่หรูซื่อเมื่อได้แผลเหวอะหวะจึงบันดาลโทสะ ทั้งตบทั้งถีบฟ่านเยี่ยฉีเท่าที่แรงเขาพอมี แต่มันไม่อาจทำให้นางได้รับอันตรายรุนแรงด้วยชายหนุ่มไร้วรยุทธ์ อีกทั้งแรงของเขายังน้อยกว่านาง“จะ...เจ้าจะทำอะไรลูกของเรา”ฟ่านเยี่ยฉีเอ่ยจบก็เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ นางมองมายังต้านเทียนเห็นเด็กชายมีใบหน้าคล้ายมู่หรูซื่อหลายส่วน อีกทั้งในแววตาเขาดูคล้ายบิดาของนางเหลือเกิน ซึ่งเต็มไปด้วยความสดใสและอบอุ่น“ลูกแม่...” นางเอ่ยจบจึงกวักมือเรียกต้านเทียนให้เข้าไปหา“ท่านจำคนผิดแล้ว” ต้านเทียนตอบ กระนั้นยังก้าวไปใกล้ๆ นางและพยายามปลอบใจฟ่านเยี่ยฉี“ช่างเป็นคนที่น่าสงสาร ท่านเจ็บปวดตรงไหนหรือไม่” เด็กชายถามฟ่านเยี่ยฉี“แม่ไม่เป็นอะไร” นางว่าจบก็จับที่ท้องของตน พลางย้อนคิดถึงภาพความหลังที่เหมือนกับฝันร้ายยาวนานหลังจากถูกอี๋เซียงจับตัวไป นางถูกตัดหู กรีดหน้าจนตาข้างหนึ่งถลนออกมา สุดท้ายมันเน่าจนต้องควักทิ้ง พอนางฟื้นได้สติอีกครั้งก็รู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ แต่ความยากลำบากที่ต้องหลบหนีศัตรูมากมายทำให้นางแท้งจากนั้นจึงกลายเป็นหญิงเสี
จางหมิ่นไม่คิดว่าเมื่อครู่ที่ออกตามหาหมูแคระให้จูหว่านจะทำให้ต้านเทียนหายตัวไป แต่เมื่อหาเด็กชายอยู่เกือบชั่วหนึ่งก้านธูปดับ ก็มั่นใจว่าเหตุการณ์นี้ไม่ชอบมาพากล อีกทั้งเหล่าองครักษ์ยังมารายงานว่า คุณชายน้อยอาจถูกใครบางคนลักพาตัวไปเมื่อมู่ชิงซานทราบข่าวเขาไม่ได้ตำหนิใคร เพียงแต่ให้กระจายกำลังตามหาลูกชาย ส่วนจูหว่านที่ก่อเรื่องนางเอาแต่นิ่งเงียบ ด้วยรู้ว่าบิดากับมารดากำลังร้อนใจเรื่องต้านเทียนฟ่านรั่วเจี๋ยสังหรณ์ใจไม่ดี กระทั่งนางเดินไปตามตรอกเล็กๆ ก็ได้ความว่ามีคนเห็นต้านเทียนถูกคนขายเครื่องประดับที่แต่งตัวเหมือนขอทานพาตัวไป“ท่านยายมั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาด”“แน่นอน ข้ากับหลานเห็นเต็มสองตา คนพวกนั้นเหมือนขอทานเร่ร่อนตอนแรกจะแจ้งเจ้าหน้าที่มาไล่แล้ว แต่เห็นว่าภรรยาของเขาน่าเวทนา ข้าเลยยอมให้นั่งขายของใกล้ๆ กัน”“พวกเขามีหน้าตาและแต่งตัวเช่นไร”หญิงชราเล่ารายละเอียดที่นางพบเห็นให้ฟ่านรั่วเจี๋ยฟัง และเมื่อรับรู้หญิงสาวก็ใจหาย“เป็นพวกเขาจริงๆ แต่เหตุใดถึงได้รับความทุกข์ทรมานเช่นนั้น”“เจี๋ยเจี๋ย...พวกเขาก่อกรรมมามิน้อย เจ้าสงสารได้แต่อย่าใจอ่อนให้อีก มิเช่นนั้นอาจเป็นเจ้าที่ต้องถูกพวกเขาทำร