ในการแข่งขันรอบที่ห้า อุปกรณ์เขียนอักษรของผู้เข้าแข่งขันล้วนถูกยกออกไปทั้งหมด คงเหลือเพียงโต๊ะและม้านั่งสูงเพื่อให้โฉมสะคราญทั้งหลายได้บรรเลงเจิงเท่านั้น
ในรอบนี้นักพนันหลายคนต่างลงพนันเอาไว้ว่าคุณหนูใหญ่จวนเฉินกั๋วกง เฉินชิวเยว่ ที่เป็นโฉมงามผู้เป็นยอดฝีมือในการบรรเลงเจิงจะต้องคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันมาได้อย่างแน่นอน แม้แต่ตัวเฉินชิวเยว่เองก็เชื่อเช่นนั้นโดยสนิทใจ
กระทั่งถึงคราวที่เฉินเซียงหรงต้องแสดงฝีมือ เพียงเสียงดนตรีจากเจิงของนางดังขึ้นท่อนเดียวเท่านั้น บรรยากาศในสวนชิงหลิงอันกว้างใหญ่ราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ กระทั่งผู้ที่ไม่ได้รู้ถึงสำเนียงดนตรีลึกซึ้งสักเท่าใด ยังถูกท่วงทำนองอันมีเอกลักษณ์ดึงดูดให้ต้องนิ่งฟัง
“นี่มัน...” อาจารย์สอนเจิงผมขาวโพลน ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งกาลเวลาผู้หนึ่งเบิกตาโพลง ริมฝีปากอ้าค้างด้วยความตื่นตะลึง “ลำนำเฉียนฉิน!”
“ท่านอย่าได้พร่ำเพ้อถึงเพียงนี้เลย” คนอื่นๆ ที่ได้ยินหัวเราะเบาๆ “ลำนำเฉียนฉินหรือ ผู้ใดจะกล้าบรรเลงเพลงนี้ ทั้งความยากของการดีด ทั้งการตีความที่ต้องลุ่มลึก ทั้งยังต้องถ่ายทอดอารมณ์ในบทเพลงให้สมบูรณ์ หากเพียงแต่บรรเลงไปพอผ่านๆ แม้จะกล้อมแกล้มฟังได้ แต่ก็ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ”
สตรีอีกคนหนึ่งพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิ ลำนำเฉียนฉินไม่มีผู้ใดนำมาบรรเลงเป็นเพลงแข่งหรอก ยากเกินไป หากฝีมือไม่ถึงก็จะกลายเป็นการเปิดจุดอ่อนของตนเอง แทนที่จะได้แต้ม แต่กลับจะเสียแต้มเสียด้วยซ้ำ”
ทว่ายิ่งฟัง บรรดาผู้เชี่ยวชาญทางดนตรีก็ยิ่งเบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ เมื่อบทเพลงที่พวกเขาได้ยินพร้อมๆ กันอยู่ตอนนี้คือ ลำนำเฉียนฉิน จริงๆ
เสียงเจิงในมือเซียงหรงยังคงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด ดนตรีที่ไพเราะลึกล้ำกังวานผ่านไปทั่วทั้งสวนชิงหลิงเหมือนกับสายน้ำที่ไหลรินผ่านภูเขากว้างไกล ดุจดั่งวิหคที่เคยถูกกักขังทำร้ายหลุดพ้นจากพันธนาการและความเจ็บแค้นบอบช้ำจากการถูกกระทำมานานปี ลำนำเฉียนฉินที่เงียบงันมานานกลับมาดังก้องอีกครั้งท่ามกลางเสียงลมที่พัดผ่านปลายกิ่งไม้โปรยปรายกลีบบุปผาไปทั่วในงานเทศกาลชมบุปผาครานี้
‘ลำนำเฉียนฉิน’ จากปลายนิ้วคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง ช่างให้ความรู้สึกที่แตกต่าง...
จังหวะแรกเริ่มของบทเพลงราวสายน้ำลื่นไหล ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นมังกรวารีโลดแล่น...นี่ก็คือเอกลักษณ์ของลำนำเฉียนฉินอันลือลั่น ในส่วนนี้คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงบรรเลงออกมาได้ดียิ่ง การเคลื่อนไหวที่ละเอียดลออของนางแสดงออกถึงความเชี่ยวชาญและการฝึกฝนอย่างหนักจนได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้
ที่เหนือชั้นยิ่งกว่าคือความเลิศล้ำในการบรรเลงเพลงเก่าแก่โบราณให้ฟังดูทันสมัย ซ้ำยังไม่ให้ความรู้สึกก้าวร้าวรุนแรงและคุกคามจนชวนให้อึดอัดดังเช่นบทเพลงต้นฉบับ
ลำนำเฉียนฉินจากปลายนิ้วคุณหนูสามสกุลเฉินไม่ใช่การลอกลาย แต่เป็นการนำเพลงเก่ามาตีความใหม่ กลายเป็นลำนำเฉียนฉินในแบบฉบับของตัวนางเอง
อัจฉิริยะ! อาจารย์สอนเจิงชราอดสรรเสริญในใจไม่ได้ เหตุใดที่ผ่านมาจวนเฉินกั๋วกงต้องเก็บงำอัจฉริยะผู้หนึ่งไว้เนิ่นนานถึงเพียงนี้!
ทุกสายตาจับจ้องไปที่มือของนาง การเคลื่อนไหวของเฉินเซียงหรงดูสงบเงียบ แต่ทุกครั้งที่สายเสียงเจิงดังกังวาน เสียงนั้นก็ราวกับทะลุออกไปถึงหัวใจผู้ฟัง เสียงดนตรีที่งดงามทรงพลังค่อย ๆ ทำให้ผู้คนตกอยู่ในภวังค์ ทั่วทั้งสวนงดงามยามนี้ไม่มีใครกล้าพูดอะไร แม้แต่ผู้ที่มีความมั่นใจในฝีมือดนตรีเองยังอดทึ่งในความสามารถของคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงไม่ได้
เฉินชิวเยว่ที่ยืนอยู่ด้านข้างกัดริมฝีปากแน่น ความรู้สึกเจ็บปวดทวีขึ้นในใจ นางไม่สามารถซ่อนความริษยาที่มีต่อเฉินเซียงหรงได้ นางเพียรพยายามอย่างหนักหน่วง ใช้เวลาหลายปีฝึกซ้อมจนมีชื่อเสียงเลื่องลือว่าเป็นอัจฉริยะหญิงทางดนตรี แต่ยังไม่สามารถบรรเลงเพลงนี้ให้ได้เช่นกัน ความเกลียดชังและความรู้สึกที่ตนเป็นรอง พลันปรากฏขึ้นในดวงตาของเฉินชิวเยว่ที่เฝ้ามองเซียงหรงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น ยิ่งเห็นว่าทุกคนกำลังจับจ้องน้องสาวต่างมารดาของตนอย่างชื่นชมเพียงใด ดวงตาที่หม่นครึ้มก็ยิ่งฉายแววอาฆาตมาดร้าย
ยิ่งการเคลื่อนไหวของเซียงหรงยามนี้ดูสงบราวผืนน้ำงามสง่าเท่าใด และบรรเลงบทเพลงได้ดีเพียงใด เฉินชิวเยว่ก็ยิ่งรู้สึกถึงความเจ็บแค้นที่กัดกินใจ แม้ความสามารถของนางจะเคยโดดเด่นในหลายครั้ง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเพลงนี้ที่เฉินเซียงหรงบรรเลงในครั้งนี้ ความรู้สึกด้อยกว่ากลับถาโถมเข้ามาราวพายุฝนโหมกระหน่ำ เงาร่างบอบบางสั่นระริกด้วยความเจ็บใจจนไร้วาจาจะเอื้อนเอ่ย
กระทั่งเซียงหรงบรรเลงจนจบ ทั่วทั้งลานกว้างก็ยังคงตกอยู่ในความเงียบงัน กระทั่งเสียงปรบมือและคำชมเชยดังขึ้นจากทุกทิศทาง เหมือนกระแสคลื่นที่ซัดเข้าสู่ฝั่งอย่างไม่อาจหยุดยั้ง ใครหลายคนที่ถูกบทเพลงสะกดจนสติหลุดลอย จึงค่อยหาเสียงตนเองเจออีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่เสียงโห่ร้องสรรเสริญยังคงกังวาน มีเสียงกระซิบเบา ๆ อยู่ในกลุ่มผู้ชม ณ มุมหนึ่งของสวนกว้าง
“ได้ยินไหม? ข่าวลือเรื่องคุณหนูสาม…ตอนนี้มีคนบอกว่ามันไม่เป็นความจริงแล้ว...”
“ใช่! ข้าเองก็ได้ยินมาว่ามีการแก้ไขข่าวลือแล้ว บอกว่าคุณหนูสามไม่ได้ถูกทำลายความบริสุทธิ์อย่างที่เล่าลือกัน…”
“เพราะนางถูกปรักปรำ...ได้รับความอยุติธรรมตั้งแต่ยังเยาว์กระมัง...จึงสามารถบรรเลงลำนำเฉียนฉินที่สื่อถึงเรื่องราวคับแค้นใจออกมาได้ดีถึงเพียงนี้...”
“ทว่าสำเนียงดนตรีช่างให้ความรู้สึกที่ดีนัก...ว่ากันว่าดนตรีสามารถสื่อถึงน้ำใสใจคอของผู้บรรเลง...”
“แม้ถูกกระทำก็ไม่แค้นเคือง...คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงช่างเป็นสตรีที่ดีนัก...”
ในการแข่งขันรอบที่ห้า อุปกรณ์เขียนอักษรของผู้เข้าแข่งขันล้วนถูกยกออกไปทั้งหมด คงเหลือเพียงโต๊ะและม้านั่งสูงเพื่อให้โฉมสะคราญทั้งหลายได้บรรเลงเจิงเท่านั้นในรอบนี้นักพนันหลายคนต่างลงพนันเอาไว้ว่าคุณหนูใหญ่จวนเฉินกั๋วกง เฉินชิวเยว่ ที่เป็นโฉมงามผู้เป็นยอดฝีมือในการบรรเลงเจิงจะต้องคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันมาได้อย่างแน่นอน แม้แต่ตัวเฉินชิวเยว่เองก็เชื่อเช่นนั้นโดยสนิทใจกระทั่งถึงคราวที่เฉินเซียงหรงต้องแสดงฝีมือ เพียงเสียงดนตรีจากเจิงของนางดังขึ้นท่อนเดียวเท่านั้น บรรยากาศในสวนชิงหลิงอันกว้างใหญ่ราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ กระทั่งผู้ที่ไม่ได้รู้ถึงสำเนียงดนตรีลึกซึ้งสักเท่าใด ยังถูกท่วงทำนองอันมีเอกลักษณ์ดึงดูดให้ต้องนิ่งฟัง“นี่มัน...” อาจารย์สอนเจิงผมขาวโพลน ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งกาลเวลาผู้หนึ่งเบิกตาโพลง ริมฝีปากอ้าค้างด้วยความตื่นตะลึง “ลำนำเฉียนฉิน!”“ท่านอย่าได้พร่ำเพ้อถึงเพียงนี้เลย” คนอื่นๆ ที่ได้ยินหัวเราะเบาๆ “ลำนำเฉียนฉินหรือ ผู้ใดจะกล้าบรรเลงเพลงนี้ ทั้งความยากของการดีด ทั้งการตีความที่ต้องลุ่มลึก ทั้งยังต้องถ่
“ท่านเป็นใครกัน” ฟูเหรินที่เริ่มเรื่องถามอย่างหวั่นๆนั่นสิ! ท่านเป็นใคร! เซียงหรงเองก็อยากรู้เช่นกันราวกับตอบคำถามของนาง ผู้อ้างตัวเป็นคู่หมั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด รอยยิ้มบนริมฝีปากเหี้ยมเกรียมขับให้ใบหน้าคมเข้มดูโหดเหี้ยมยิ่งกว่าใบหน้าโจรภูเขาที่ถูกปราบเมื่อเดือนก่อนด้วยซ้ำ“จวิ้นหวังจ๋างจื่อเพียงหนึ่งเดียวของเทียนจิน หลี่จือหลิน!”พี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อ! เซียงหรงเกือบจะตกใจจนทำพู่กันหลุดมือไปแล้ว ใช่เขาจริงๆ หรือ! ไม่...ไม่ถูก ต่อให้ไม่ใช่เขา แต่เล่นประกาศเสียขนาดนี้ หากท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้คิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา แล้วนางจะเอาเหตุผลใดไปบ่ายเบี่ยงกันเล่า! เซียงหรงอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ได้แต่เขียนอักษรต่อไปด้วยใจหดหู่บรรดาผู้คนที่พูดนินทาต่างอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกหลี่จือหลินไม่ได้รอให้ใครกล่าวอะไรอีก เขาโบกมือสั่งให้องครักษ์ที่แต่งกายเรียบง่ายดุจเดียวกันอยู่จัดการเรื่องการพนันขันต่อแทนตน แล้วเดินไปยังที่นั่งข้างมารดา ท่าทางสนิทส
โฉมสะคราญต่างทำหน้าที่ของตนในการประชันฝีมือ แต่ผู้มาเฝ้าชมด้านข้างกลับเริ่มประชันคำพูดกันขึ้นมาแล้ว เสียงซุบซิบนินทาจากกลุ่มคนในมุมหนึ่งของสวนชิงหลิงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ“...ช่างน่าอดสูนัก...” ฟูเหรินผู้หนึ่งเอ่ยคล้ายพึมพำกับตนเอง “ไม่ใช่ว่าหลายปีก่อนในงานเทศกาลหยวนเซียว คุณหนูสามถูกคนแปลกหน้าลักพาตัวไป…ย่ำยี…” ราวกับลืมตัว ยิ่งพูดเสียงของฟูเหรินวัยกลางคนก็ยิ่งชัดถ้อยชัดคำขึ้นเรื่อยๆ จนฟังชัดถนัดหู ทำเอาคนอื่นๆ เริ่มหันมามองบุรุษอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลหัวเราะเบาๆ แล้วเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้น ข้าจำได้แม่น คุณหนูสามที่ยังเยาว์ถูกบุรุษอุ้มร่างไร้สติไปทิ้งไว้หน้าจวนเฉินกั๋วกง พวกเขาบอกว่านางถูกย่ำยีจนไร้ค่าตั้งแต่นั้นมา”“นางมาทำไมกัน? ข่าวลือของนาง... เป็นข้าคงอับอายจนไม่อาจเงยหน้าอวดใครได้อีก”“ดูเถิด ต่อให้นางจะงดงามหรือมีฝีมือเพียงใด ชื่อเสียงเช่นนั้นย่อมไม่มีตระกูลใดต้องการหรอก”คำพูดเหล่านั้นพร้อมเสียงหัวเราะเยาะแผ่วจางแว่วมาให้ได้ยิน เ
เสียงฆ้องเบาๆ ดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มการแข่งขัน หัวข้อในการประชันความสามารถรอบที่สี่ถูกประกาศโดยเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิที่นั่งอยู่ในศาลากลางลาน"สายลมฤดูใบไม้ผลิพลิ้วพัด บุปผานับพันผลิบาน"กลายเป็นว่าในรอบที่สี่ สาวงามทั้งหมดจะต้องแต่งบทกวีจากหัวข้อที่กำหนดให้นี้ให้ได้ก่อน จากนั้นจึงสามารถเริ่ม ‘คัดอักษร’ ตามคำสั่งที่จะได้รับในภายหลัง ทั้งหมดนี้กำหนดให้ใช้เวลาไม่เกินสองก้านธูปเท่านั้น ผู้เข้าแข่งขันจึงพยายามเพ่งสมาธิ ขยับพู่กันจรดลงบนกระดาษ เซียงหรงเองก็เป็นผู้หนึ่ง ที่เริ่มลงมือบรรจงเขียนด้วยท่วงท่าสง่างาม"บุปผาร่วงโรยใต้เงาจันทร์ น้ำค้างหล่นราวน้ำตาผู้คนเฉกเช่นสกุณารำพัน ถึงเมฆางดงามไร้ผู้ยลหยกงามอาจหักด้วยกำลัง สัตย์จริงถูกบิดเบือนด้วยเล่ห์กล"เห็นคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงแต่งบทกวีได้เร็วนัก เหล่าผู้ใคร่รู้ต่างอดใจไม่ไหว ลุกขึ้นยืน ชะเง้อมองมีบางคนเริ่มกระซิบกระซาบ“ถ้อยคำของนาง...ช่างลึกซึ้งและงดงาม”&
ไท่โฮ่วเดาความคิดสะใภ้ออก ทว่าทั้งนางและหวงโฮ่วก็ล้วนเป็นคนสกุลเดียวกัน เหตุใดนางจะไม่อยากสนับสนุนหวงโฮ่ว ช่วยอุ้มชูหลานชายที่มีสายเลือดเดียวกันกับตนเองถึงสองชั้นรอจนถึงคราวที่ภาพวาดของเฉินเซียงหรงเปิดเผยแก่สายตาทุกคน สวีไท่โฮ่วประเมินแล้วว่าภาพนั้นมิได้มีสิ่งใดเสียหายก็ปรบมือดังสนั่น แย้มรอยยิ้มงดงามยิ่งกว่าบุปผา เอ่ยเสียงนุ่ม ทว่าดังกังวาน“วาดได้ดี ดียิ่ง!” ไท่โฮ่วกล่าวชื่นชมคล้ายลืมตัว “ผู้อื่นวาดภาพสาวงามกับดอกไม้งาม บ้างวาดภาพโบตั๋นสีแดงสื่อความนัย คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงกลับวาดสิ่งที่ต่างออกไป ช่างกล้าหาญ ตรงไปตรงมา ทั้งยังมีฝีมือการวาดภาพเหนือชั้นยิ่งนัก หากบุปผาเปรียบได้กับสตรี ใต้หล้านี้จะมีสตรีใดเหมาะสมกับคำว่า ‘ยอดบุปผา’ ยิ่งกว่ามารดาของแผ่นดิน!”สวีหวงโฮ่วใจเต้นรัว คาดไม่ถึงว่าไท่โฮ่วจะกล่าวยกย่องพระนางต่อหน้าคนทั้งหมดชัดแจ้งถึงเพียงนี้โชคดีเหลือเกินที่ตนเกิดมาในสกุลสวี จึงนับได้ว่าอยู่ฝักฝ่ายเดียวกันกับไท่โฮ่วอย่างไม่ต้องสงสัย ตั้งแต่แรกเข้าวัง แม้จะมีที่ต้องเผชิญสถานการณ์ยากลำบากอยู่บ้าง แต่ลงท้ายแล้วทุกครั้งก็ล้วนผ่านมาได้ด้วยดี กล่าวได้ว่าชั่วชีวิตนี้ ต่อให้ไม่อาจปีน
จู่ๆ สวีหวงโฮ่วก็คล้ายจะมองเห็นภาพตนเองซ้อนทับคุณหนูสี่จากจวนสกุลอู๋ขึ้นมาปีนั้น...พระนางก็อาศัยการประชันขันแข่งในเทศกาลชมบุปผา ย้ำเตือนทุกคนถึงสายสัมพันธ์ของพระนางกับราชวงศ์สกุลหลี่เช่นนี้...ถูกแล้ว นี่ก็คือเจตนาที่แท้จริงของคุณหนูสี่สกุลอู๋ สกุลอู๋แม้ยามนี้ยังคงมีหน้ามีตา ทว่ากลับค่อยๆ สูญเสียความน่าเกรงขามลงไปทุกขณะ ด้วยหลายสิบปีมานี้ไม่มีผู้ใดในจวนไต่เต้าถึงตำแหน่งข้าราชการระดับสูง ไร้ความโปรดปรานจากฝ่าบาท ไร้ความสัมพันธ์เครือญาติกับราชวงศ์และขุนนางใหญ่สวีหวงโฮ่วจ้องมองแววตาอันสงบเยือกเย็นของคุณหนูสี่สกุลอู๋แล้วก็ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย สตรีเช่นนี้...สำหรับพระนางแล้วนับว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าแค่ความน่าสนใจยังนับว่าไม่พอ สิ่งที่ผู้เป็นชายาของบุตรชายพระนางพึงมี มิใช่เพียงสติปัญญา ความสามารถ แต่ยังต้องมีตระกูลที่สามารถสนับสนุนส่งเสริมบุตรชายซึ่งเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพระนางได้อีกด้วยเฟ้นหาสะใภ้ที่เหมาะสม...นี่ก็คือเจตนาที่แท้จริงของพระนางในการเข้าร่วมชมการประชันขันแข่งในครั้งนี้สวีหวงโฮ่วเบนสายตากลับไปมองยังคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง ก็พบว่าเด็กสาวผู้นั้นกำลังจ้องมองไปยังอู