คุณชายสามจวนเฉินกั๋วกงกลับสำนักศึกษาได้เพียงไม่กี่วัน ที่สำนักศึกษาก็มีการจัดการสอบขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยมีเค้าลางมาก่อน การสอบในครั้งนี้ อาจารย์ในสำนักศึกษาชี้แจงว่าเป็นการสอบจำลองการสอบเคอจวี่ ดังนั้นจึงต้องมีการ ‘เตรียมตัว’ ด้วยการให้เหล่าบัณฑิตเข้าพักในสำนักศึกษาทั้งหมด ไม่ให้ออกไปนอกหอนอนโดยเด็ดขาด
เฉินจิ้งเสียนร้อนใจดั่งไฟจี้ ทว่าเซียงหรงกลับส่งซู่ซินไปมอบอาหารและเครื่องนุ่งห่มให้น้องคนเล็ก ปลอบประโลมเขาให้อยู่ทำข้อสอบอย่างสบายใจ ยืนยันว่าวันสองวันนี้นางจะเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน นอกจากไปวัดถานเจ้อเพื่อชิงธูปประธานขอพรให้เขาสอบได้ลำดับดีๆ และขอพรให้ท่านพ่อและพี่ชายใหญ่กลับมาอย่างปลอดภัย จะไม่ก้าวขาไปไหนเลยสักก้าว
“แม่เห็นด้วยที่เจ้าจะไปไหว้พระขอพรให้น้องชายสามของเจ้า...” อนุหานไอแห้งๆ ขณะเอ่ย สีหน้าซีดเซียว “หากหรงเอ๋อร์มีใจ ก็ช่วย...ขอยันต์จากวัดถานฝอที่อยู่นอกเมืองมาให้แม่ด้วยได้หรือไม่...” อนุหานนั่งพิงหมอนอิงอย่างอ่อนระโหย ท่าทางบอบบางของนางดูเหมือนคนที่กำลังเจ็บป่วยจริงๆ ดวงหน้าที่เคยสดใสกลับซีดเซียว ริมฝีปากไร้สีเลือด นางมองเซียงหรงด้วยแววตาอ่อนโยน
"แม่ไม่สบายมาหลายวัน..." นางบอกเสียงแผ่วเบา "ท่านหมอกล่าวว่าอาการเช่นนี้เห็นทีต้องหวังพึ่งบุญบารมีเท่านั้น...แม่จึงคิดว่าวัดถานฝอชื่อดังที่อยู่บนเขาคงเหมาะสมที่สุด หากได้ยันต์ศักดิ์สิทธิ์มา อาจช่วยให้แม่หายดีก็เป็นได้..."
เซียงหรงที่นั่งอยู่ข้างเตียงยกถ้วยชาในมือขึ้นจิบเล็กน้อย พลางไตร่ตรองด้วยความกังวล เดิมทีนางเพียงตั้งใจมาบอกกล่าวเรื่องจะออกจากจวนชั่วครู่ คาดไม่ถึงว่ากลับได้มารับรู้ว่าแม่รอง หานชิงเยว่ ป่วยหนักเช่นนี้
แม้จะมีความรู้สึกไม่ไว้ใจอยู่ลึกๆ แต่ความอ่อนโยนในน้ำเสียงและท่าทีของหานชิงเยว่ก็ทำให้นางใจอ่อน
เมื่อคำนึงถึงเรื่องที่ตนเองมีองครักษ์ฝีมือดีจากตำหนักจวิ้นหวังคอยคุ้มครอง เซียงหรงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ถ้าหากแม่รองต้องการ ข้ายินดีไปวัดถานฝอที่อยู่นอกเมืองแทนวัดถานเจ้อ ถือโอกาสทั้งขอพรให้ท่านพ่อ พี่ชายใหญ่ น้องสาม และนำยันต์ศักดิ์สิทธิ์มาให้แม่รองเจ้าค่ะ...เช่นนี้แม่รองเองก็จะได้หายป่วยเสียที เป็นยืดเยื้อมาหลายวันแล้วเช่นนี้ นับว่าอันตรายนัก”
อนุหานเผยรอยยิ้มบางๆ เปี่ยมเมตตา "ขอบใจเจ้ามาก...หรงเอ๋อร์ช่างเป็นเด็กดีเหลือเกิน ผิดกับพี่หญิงน้องหญิงของเจ้า...” อนุหานเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ตอนที่ข้าบอกเรื่องนี้กับพวกนาง พวกนางล้วนกล่าวกันว่ากลัวจะเป็นอย่างพี่หญิงรองของเจ้า จึงไม่อยากออกจากจวน...ข้าคลอดพวกนางออกมาเสียเปล่าแท้ๆ” นางลูบศีรษะเซียงหรงอย่างอ่อนโยน "วัดถานฝอไปมาลำบาก นอกจากจะอยู่นอกเมืองแล้วยังตั้งอยู่บนเขา หากไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเร่งร้อนเดินทางกลับ แม่กลัวว่าจะมืดค่ำกลางทาง ค้างคืนเสียก่อนแล้วค่อยกลับมาตอนรุ่งสางเพื่อความปลอดภัยเหมือนคนอื่นๆ เถิด” นางชั่งใจเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “นอกจากองครักษ์แล้ว...บอกล่าวให้คู่หมั้นเจ้านำทางไปดีหรือไม่"
เซียงหรงนึกถึงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของหลี่จือหลินแล้ว คิ้วกระตุกทันที
“ข้ายังจะอยากให้เขาไปปั่นป่วนอะไรอีกล่ะเจ้าคะ ลำพังทุกวันนี้ก็อยากหลบหน้าแทบตายแล้ว”
“เป็นเสียอย่างนั้นหรอกหรือ” อนุหานหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะไอออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้ผ้าเช็ดหน้าที่นางยกขึ้นป้องปากถึงกับมีหยาดเลือดติดมาด้วย
“แม่รอง!” เซียงหรงตกใจจนหน้าเผือดสี จะอย่างไรนางก็ไม่ชอบเห็นเลือดเลยจริงๆ
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร...รอหรงเอ๋อร์นำยันต์กลับมา อาการแม่รองย่อมดีขึ้นได้ในไม่ช้า” นางโบกไม้โบกมือก่อนไอโขลกๆ ออกมาอีกยกใหญ่ แต่ยังพยายามฝืนพูดต่อไป “เช่นนี้...ให้พี่รองของเจ้าตามไปคุ้มครองเจ้าเถิด ปล่อยให้ไปลำพังเช่นนั้นไม่ได้...แม่เป็นห่วงนัก”
ไม่ทันที่นางจะได้ขยับตัว ตงหยางที่รัดท่อนแขนตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนาก็ก้มลงดูดที่แผลของตนเอง ดูดแล้วก็พ่นเลือดสีคล้ำเข้มออกมา ดูด แล้วก็พ่นเลือดสีคล้ำเข้มออกมา ทำวนซ้ำอยู่อย่างนี้จนเลือดที่ดูดออกมาจากปากแผลเป็นสีแดงสด ถึงยอมหยุดมือเขาปล่อยให้สายรัดเอวที่รัดท่อนแขนอยู่ค่อยๆ คลายออกเอง กระถดเข้าไปนั่งชิดผนัง ก่อนถอนหายใจออกมาตงหยางเหลียวมองซากงูตัวนั้นอีกครั้ง ก่อนจะตวัดสายตามองเฉินเซียงหรง เอ่ยอย่างหัวเสีย“ดีเหลือเกิน ข้าบอกให้อยู่นิ่งๆ เจ้าก็รีบขยับตัวทันที!”“ก็ข้านึกว่า...” นางละอายเกินกว่าจะกล้าพูดต่อเขาช่วยชีวิตนาง...อีกเป็นครั้งที่สอง นางกลับคิดว่าเขาจะฉวยโอกาสใช้กำลังข่มเหงรังแก ทำเรื่องที่นาง...ไม่ยินยอม...“คุณหนูเฉิน ข้าบอกเจ้าแล้ว ข้าไม่มีความจำเป็นต้องบังคับข่มเหงสตรีที่ไม่เต็มใจ” เขาแค่นหัวเราะ ก่อนกล่าวต่อไป “ทว่าเป็นเช่นนี้จะดีหรือ หากร่วมทางกันไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งข้าเกิดดื่มสุราเมามายจนขาดสติเล่า เจ้าจะทำอย่างไร เจ้าจะยังกล้าติดตาม ‘รับใช้’ ข้าอีกหรือ ข้าว่าเจ้ายอมกลั
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนเซียงหรงเองยังอดตกใจไม่ได้คืนหนึ่ง ขณะหลบฝนอยู่ในถ้ำเล็กๆ ตงหยางจุดไฟให้แสงสว่าง อากาศในถ้ำเย็นชื้น และเสื้อผ้าของพวกเขาเปียกชื้นจนต้องพาดไว้ใกล้กองไฟ เซียงหรงนั่งกอดเข่าห่างออกไปเล็กน้อย ดวงตาของนางมองเปลวไฟนิ่งราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์กระทั่งตงหยางมองนางด้วยสายตาขบขัน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าเคยคิดบ้างไหม ว่าแม้จะหนีการแต่งงาน แต่ในที่สุดเจ้าก็ต้องหาสามีอยู่ดี” เขาเอ่ยเสียงเบาเช่นเดิม “คุณหนูเฉิน เจ้ากล่าวว่าต้องการแน่ใจว่าจะสามารถส่งจดหมายถึงมือบิดาและพี่ชายที่อยู่ต่างเมือง จะทำเพียงส่งจดหมายบอกล่าวเล่าความ ไม่พบพวกเขา เจ้ามีพ่อและพี่ชายกลับคิดหนีหน้า เจ้าบอกว่ามีคู่หมั้น แต่ก็ไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานกับคู่หมั้นผู้นั้น กลับมุ่งหมายออกบวชละกิเลสเสียมากกว่า ช่างไม่รู้เสียเลยว่าต่อให้เจ้าจะโกนผมโกนคิ้ว บุรุษที่ได้พบเห็นเจ้า พูดคุยกับเจ้า พวกเขาไหนเลยจะลืมเลือนเจ้าได้ลง เจ้าคิดว่าหากได้ออกบวช จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบได้จริงหรือ” เซียงหรงเงยหน้าขึ้นมองเขา สีหน้าของนางเย็นชา “ก็ยังดีกว่ามีสามี&rdquo
ยามบ่ายคล้อย แดดร่ม ลมตก เป็นช่วงเวลาที่เซียงหรงรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวที่สุดในช่วงวัน พื้นอารมณ์จึงค่อนข้างดีทว่าอารมณ์ดีๆ ของนาง กลับถูกทำลายลงด้วยเสียงเฉยชาที่ดังขึ้นทำลายความเงียบ“เป็นเช่นไรล่ะ คุณหนูเฉิน ใช้ชีวิตแบบนี้สนุกดีหรือไม่ ไม่ต้องมีคนคอยรับใช้ ไม่ต้องมีที่นอนอุ่นๆ ไม่ต้องกินอาหารดีๆ ใช้สองขาเดินทาง ร่อนเร่พเนจร ค่ำไหนนอนนั่น” นั่นประไร! นางรู้ว่าเขาคงอดทนไม่ว่านางได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามหรอก ยิ่งในตอนที่นางกำลังมี ‘ช่วงเวลาดีๆ’ รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเช่นนี้ยิ่งแล้วใหญ่!เดินทางร่วมกันมาจนถึงตอนนี้ นางแทบจะนับเวลาที่เขาจะเอ่ยปากเหน็บแนมนางได้แม่นยำแล้ว!นางชำเลืองมองเขาด้วยสายตาขุ่นมัว “ไม่เห็นจะลำบากอะไร” นางตอบเสียงเรียบพลางรวบชายเสื้อที่ปลิวเพราะลมเย็นตงหยางหันมามองนาง หัวคิ้วของเขายกขึ้นเล็กน้อย “อ้อ เช่นนี้ไม่ลำบาก” เขาหัวเราะในลำคอ “เจ้านี่ช่างเป็นสตรีที่ดื้อดึงยิ่งนัก เจ้าอยากมีชีวิตแบบนี้ไปจนตายเช่นนั้นหรือ”นางหยุดเดิน หันไปสบตาเข
“ข้าขอร้อง...” เซียงหรงเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาที่เริ่มแดงก่ำ “ข้าไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ ที่บ้านของข้าในยามนี้ไม่มีใครที่ข้าจะไว้ใจได้อีก อีกทั้ง... อีกทั้งในเมืองหลวงยังมีสิ่งที่น่ากลัวมากๆ รอข้าอยู่ที่นั่น...” นางพยายามยื่นข้อเสนอ “ท่านช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ขอเพียงท่านช่วยสะสางเรื่องที่ยังค้างคาใจและพาข้าหลบหนีจากฝันร้ายเหล่านั้น ข้ายินดีติดตามรับใช้ท่านในฐานะบ่าวคนหนึ่ง จะไม่สร้างความลำบากใดใดให้ท่านจอมยุทธสักนิด”“บ่าวคนหนึ่ง...” ชายสวมหน้ากากนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ ก่อนถอนหายใจยาว “เอาเถิด หากเจ้าไม่สร้างปัญหาจริงดังปากว่า ข้าจะให้เจ้าเดินทางไปด้วย ระหว่างนั้นสบโอกาสค่อยหาทางส่งจดหมายไปถึงบิดาและพี่น้อง เรื่องคนของเจ้า สหายของข้าช่วยนางเอาไว้แล้ว”“จริงหรือ!”ได้ยินเช่นนี้ เซียงหรงโล่งใจเป็นอย่างยิ่งเขายังคงกล่าวต่อไป “ตงหลินผู้นี้เป็นสุภาพชน เชื่อถือได้ คนของเจ้าจะปลอดภัยอย่างแน่นอน หากเจ้าไม่มีความคิดอยากกลับบ้านก็ไม่ควรติดต่อ ‘คนของเจ้า’ ผู้นั้นอีก”แม้แว
เซียงหรงมองชายแปลกหน้าเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง แม้จะรู้สึกหวาดระแวงอยู่ลึกๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชายร่างใหญ่ชุดดำสวมหน้ากากปกปิดใบหน้าผู้นี้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ ช่วยนาง...ทั้งในตอนที่นางเสี่ยงชีวิตกระโดดลงมาจากหน้าผาสูงชัน และตอนนี้สายตาของเฉินเซียงหรงกวาดมองไปรอบๆ อีกครั้งกระท่อมหลังนี้ดูเหมือนจะถูกปล่อยทิ้งร้างมานานแล้ว โต๊ะไม้ที่วางตะเกียงอยู่มีรอยถลอกลึก มุมหนึ่งของผนังมีช่องโหว่ที่ลมพัดผ่านเข้ามาได้ ดังนั้น นอกจากกลิ่นสาบภายในกระท่อมแล้ว ยามนี้นางได้กลิ่นสนเขาอ่อนๆ ลอยมากับสายลมนางเริ่มรู้สึกถึงความเย็นของกระแสลมที่กัดกินเนื้อหนัง“ข้าจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ไว้จนวันตาย...ข้าจำได้ว่าคล้ายจะเห็นท่านพลิ้วตัวมารับร่างข้าไว้ก่อนจะตกลงไปในแม่น้ำ ท่านเป็นจอมยุทธ์ใช่หรือไม่ จึงสามารถช่วยข้าไว้ได้เช่นนี้” นางถาม น้ำเสียงเจือความขอบคุณเขาไม่ตอบไม่เพียงไม่ตอบ ยังเบนสายตาไปทางอื่นด้วยซ้ำดวงตาที่มองลอดหน้ากากนั้นยังคงนิ่งลึกท่าทางเช่นนี้...ดูๆ ไปแล้ว ก็คล้ายองครักษ์ที่รับหน้าที่ติดตามคุ้มกันนางเช่นกันหรือว่า...นางอดถามไม่ได้ “ท่านคือองครักษ์จากตำหนักจวิ้นหวังที่คอยติดตามคุ้มกันข้าหรือ?”“ไม่ใช
ยามเมื่อเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา นางรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แทรกซึมผ่านผิวกาย แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันเล็กๆ บนโต๊ะไม้ส่องประกายริบหรี่สะท้อนเงามืดบนผนังไม้ที่แตกร้าวราวกับภาพเขียนที่น่าขนลุกภาพหนึ่ง รอบตัวนางในยามนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านช่องว่างของกระท่อมเก่าคร่ำคร่า“ท่านแม่...” นางยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดมารดาด้วยซ้ำทว่า... เพียงฝันไปหรอกหรือ?“ที่นี่ที่ไหน...” นางพึมพำแผ่วเบา รู้สึกร้าวระบมไปทั่วทั้งตัว เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเสื่อเก่าขาด มีหมอนสีดำสนิทที่คล้ายจะทำขึ้นมาด้วยการเอาเสื้อคลุมเปียกๆ ตัวหนึ่งมาหุ้มฟางรองศีรษะ กลิ่นอับของไม้ผุและฝุ่นทำให้นางแสบจมูกจนแทบทนไม่ไหวดวงตาของนางเลื่อนไปหยุดที่ร่างของชายคนหนึ่ง เขาสวมชุดสีดำทั้งตัว ใบหน้าครึ่งบนกว่าแปดส่วน[1]ถูกปกปิดด้วยหน้ากากโลหะรูปพยัคฆ์ เผยให้เห็นเพียงดวงตาคมดุสะท้อนแสงไฟสลัวเหมือนตาของสัตว์ร้ายเซียงหรงสะดุ้งเล็กน้อย ความหวาดกลัวไหลย้อนกลับมาบีบรัดหัวใจของนางไว้แน่นเสื้อคลุมที่ใช้ทำเป็นหมอนยังคงเปียกชุ่ม เสื้อผ้าผมเพ้าของคนผู้นี้เองก็ไม่ต่างกัน...สังเกตได้เท่านี้เฉินเซียงหรงก็ห