LOGINเฉินเซียงหรงหลุบตาลงมองกลีบเกสรดอกบัวที่บังเอิญพลัดจากกามาอยู่ในถ้วยชาของตน สีหน้าหม่นลงเล็กน้อย “ก็ไม่ได้มีอะไรน่ารังเกียจเช่นนั้นหรอก...แม้บางครั้งจะน่าโมโหอยู่บ้าง ทว่าแท้จริงแล้วคนผู้นั้นเป็นบุรุษที่ดีผู้หนึ่ง ข้าจึงไม่อยากให้เขาต้องมาเสียเวลากับข้า”
“เพราะพี่หญิงไม่อยากแต่งงานออกเรือนน่ะหรือ” เฉินจิ้งเสียนทอดถอนใจ “แต่ว่าพี่หญิง แต่ไหนแต่ไร บุรุษต้องออกรบ สตรีต้องออกเรือน พี่หญิงจะปฏิเสธธรรมชาติของตนเองได้อย่างไรกัน”
“บุรุษออกรบเสียเลือดเนื้อ สตรีออกเรือน ต่อให้ไม่นับว่ายามตั้งครรภ์คลอดบุตรเจ็บปวดทรมานก็ล้วนมีเรื่องให้ทุกข์ใจและเจ็บปวดอย่างน้อยๆ ก็คนละอย่างสองอย่าง แม้จะกล่าวว่าเป็นเรื่องธรรมชาติหรือเป็นเรื่องธรรมดา หากเป็นธรรมชาติที่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องทำตามก็ได้ไม่ใช่หรือ”
แววตาเฉินจิ้งเสียนพลันหม่นแสงลงทันที
ที่แท้ก็เป็นเพราะเหตุนี้...
ใช่ว่าเฉินจิ้งเสียนไม่เข้าใจความคิดของพี่สาวร่วมครรภ์มารดา
เรื่องที่มารดาแท้ๆ ของตนและพี่หญิงต้องมาด่วนจากไปเพราะการคลอดบุตร ก็เป็นบาดแผลในใจบุตรชายที่เกิดมาก็ทำให้มารดาต้องสิ้นลมเช่นเขาเช่นกัน ทว่าตัวเขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ว่าสิ่งที่เกิดกับมารดานั้น หาได้เกิดขึ้นง่ายดายและบ่อยครั้ง อีกทั้งสิ่งที่เกิดกับมารดานั้นก็ไม่ใช่เรื่อง ‘ธรรมดา’
น่าอึดอัดที่กระทั่งยามนี้เขาและพี่ใหญ่ก็ยังคงหาพยานหลักฐานไม่ได้ จึงยังไม่อาจพูดเรื่องนี้ออกมา ทั้งยังไม่มั่นใจว่าเมื่อพูดความจริงออกมาแล้ว พี่หญิงที่รู้สึกต่อต้านการแต่งงานอยู่เป็นทุนเดิม จะยิ่งนึกขยาดหวาดกลัวการแต่งงานออกเรือนหรือไม่
เฉินจิ้งเสียนมองพี่หญิงของตนอย่างเป็นห่วง “หากพี่หญิงไม่แต่งงาน แล้วผู้ใดจะคอยปกป้องคุ้มครองท่าน ผู้ใดจะคอยดูแลยามแก่ตัวลงเล่า”
“ข้ามีน้องสามอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ยังมีพี่ใหญ่ด้วยอีกคน หรือว่าเจ้ากับพี่ใหญ่จะทอดทิ้งละเลยข้าได้ลง” เซียงหรงยิ้มละไม “เจ้ากับพี่ใหญ่จะต้องดูแลข้าไปตลอดชีวิตสิ...หรือเจ้าจะปล่อยให้ข้าบวชชีไปเสียจริงๆ”
เฉินจิ้งเสียนชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ พูดจาหน้าทะเล้น “ใช่ ข้าจะปล่อยให้พี่หญิงบวชชีตลอดชีวิต!”
“น้องสาม!”
เฉินจิ้งเสียนหัวเราะหึๆ ในลำคอ ก่อนเอ่ยอย่างจริงจัง “พี่หญิง จริงๆ แล้ววันนี้ข้ามาเพื่อจะบอกว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ข้าต้องกลับไปที่สำนักศึกษาแล้ว”
เซียงหรงทำเสียงล้อเลียน “อ้อ กลับไปเรียนเสียที หลังจากที่อู้มานาน”
“พี่หญิงนี่นะ!” เฉินจิ้งเสียนกลอกตามองเพดาน
พี่หญิงนี่ก็เหลือเกินจริงๆ ช่างไม่รู้เสียบ้าง ว่าน้องชายเช่นเขาถึงกับยอมงดเว้นเข้าเรียนอยู่หลายวันจนได้รับหมายแจ้งเตือน ก็เพราะเป็นห่วงผู้ใด!
“ข้าไปไม่นานนัก เดี๋ยวเดียวจะรีบกลับมา พี่หญิงก็ระวังตัวด้วยเล่า”
“จากจวิ้นหวังจ๋างจื่อน่ะหรือ”
เฉินจิ้งเสียนพลันกลอกตาอีกหน “จากอนุหานต่างหาก สตรีอย่างหานชิงเยว่หากไม่ฉวยจังหวะนี้หาเรื่องพวกเรา แล้วจะยังมีตอนไหนที่นางจะลงมือได้อีก พี่หญิงคอยระมัดระวังให้ดี อย่าไปไหนมาไหนโดยไม่มีองครักษ์”
เซียงหรงมองสีหน้าจริงจังของน้องชายสามแล้ว สีหน้าก็อ่อนลง
“น้องสาม...ไม่ใช่ว่าเจ้าอคติกับนางไปเองหรอกหรือ”
“ช่างกล้าพูดว่าข้าอคติ” เฉินจิ้งเสียนเหล่มองพี่หญิงตนเองอย่างอ่อนใจ “พี่หญิงมองนางในแง่ดี หยิบยื่นไมตรีให้นางครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่านางกลับลงมือต่อท่าน ท่านนี่ช่าง—“
เซียงหรงพลันทอดถอนใจ “ยังไม่แน่ว่าจะเป็นท่านแม่รองไม่ใช่หรือ”
“ก็ยังกล่าวไม่ได้ว่าไม่เกี่ยวข้องไม่ใช่หรือ”
“ข้าเชื่อนะ น้องสาม แม้ว่าสุดท้ายแล้วนางอาจไม่ได้ดีต่อข้าอย่างจริงใจ แต่ไม่ว่าอย่างไร แม้ไม่ได้เลี้ยงดูด้วยตนเอง นางก็เอาใจใส่คอยไถ่ถาม เรียกข้าเป็นลูกทุกคำมาหลายปี แม้ไม่รักก็คงมีความผูกพันกันอยู่บ้าง จะอย่างไรนางก็คงไม่คิดลงมือกับข้าอย่างถึงที่สุด... นอกจากนี้ หากเกิดเรื่องร้ายแรงใดขึ้นกับข้าเพราะนาง แม่สามและแม่สี่ที่ไหนจะยอมพลาดโอกาสแย่งชิงอำนาจปกครองจวน พวกนางย่อมต้องอาศัยเรื่องของข้าเป็นข้ออ้างในการลงโทษและขับไล่แม่รอง...อย่างน้อยๆ ก็คงอาศัยโอกาสนี้กำจัดผู้ภักดีรอบๆ ตัวแม่รองออกไปจนหมด ตัดแขนตัดขาในจวนของแม่รองจนไม่เหลือแม้สักนิด...ท่านแม่ทั้งสามของข้า พวกนางล้วนไม่ใช่คนเขลาที่จะยอมเสียสละลงมือเพื่อให้ผู้อื่นได้ประโยชน์ เจ้าอย่าเป็นห่วงกังวลนักเลย”
เฉินจิ้งเสียนมองใบหน้าอ่อนโยนและดวงตากระจ่างใสของพี่สาวแล้วได้แต่ถอนหายใจยาว
ก็เพราะเช่นนี้อย่างไรเล่า ใครๆ ถึงเป็นห่วงพี่หญิงกันหมด!
ใช่ว่าคนเราล้วนปากตรงกับใจไปทุกคนเสียเมื่อไหร่...
เรียกขานกันเป็นแม่เป็นลูกมานานปีแล้วอย่างไร? หากความผูกพันสามารถเกิดขึ้นได้จริง แล้วใยจึงมีเรื่องแย่งชิงฆ่าฟันในตระกูลน้อยใหญ่ให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ใช่ว่าเหล่าคนที่แย่งชิงฆ่าฟันกันก็ล้วนผูกพัน อาศัยอยู่ร่วมชายคา ร่วมขอบรั้ว ล้วนแล้วแต่เป็น ‘ครอบครัวเดียวกัน’ ทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?
ไม่ได้การแล้ว...เห็นทีครั้งนี้คงต้องพึ่งพาคนผู้นั้น...
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







