เซียงหรงไล่สายตาตรวจดูสีหน้าอาการและหยาดเลือดบนผ้าเช็ดหน้า หลังใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจพลางพยักหน้า "เช่นนั้นข้าจะเตรียมตัวทันที"
แม้จะไม่ได้ร่ำเรียนวิชาการแพทย์จากท่านอาจารย์ แต่ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าของนางก็นับว่ามีความรู้ด้านการแพทย์ไม่น้อย จึงเคยกล่าวถึงลักษณะอาการของโรคต่างๆ ให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง
อาการอย่างแม่รองของนางในยามนี้ หากไม่ใช่ว่าต้องพิษ ก็คืออาการของโรคปอด...โรคเช่นนี้ เมื่อเป็นหนัก หากไร้กำลังใจย่อมไม่อาจรักษาเยียวยา
หากแม่รอง...อนุหาน ถึงกับยอมกลืนยาพิษเพื่อหลอกลวงนาง เช่นนั้นก็ยอมให้นางหลอกลวงสักครั้งเถอะ
จะอย่างไรนางก็ยังมีองครักษ์คอยคุ้มภัย อีกทั้งครั้งนี้ยังออกเดินทางร่วมกันกับพี่ชายรอง เฉินจื้อเฉิง
แต่ไหนแต่ไรพี่ชายรองที่สุภาพสำรวมปฏิบัติต่อนางด้วยดีเสมอมา เพิ่งจะมาห่างๆ กันก็เพียงไม่กี่ปีมานี้เพราะพี่ชายรองผิดหวังจากการสอบซิ่วไฉ่จนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน...ไม่แน่ว่าออกเดินทางไปวัดถานฝอครั้งนี้ พี่ชายรองของนางอาจได้พบความสงบและคิดตก ยอมละเลิกสุราก็เป็นได้
เอาเถอะ ต่อให้สุดท้ายเรื่องอื่นอาจนับว่าเสียเปล่า อย่างน้อยๆ ก็ยังได้หลบหนีความวุ่นวายในจวนไปไหว้พระขอพรให้ท่านพ่อ พี่ชายใหญ่ และน้องสาม และได้ปรึกษาเรื่องการออกบวชกับวัดดีๆ ที่อยู่ห่างไกล...หากให้พี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อผู้นั้นไปด้วย คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องออกบวช แค่เรื่องที่ต้องคอยห้ามใจไม่ให้ทำร้ายเขาสักครั้งก็ยากแล้ว
ข่าวการออกเดินทางไปวัดถานฝอของเซียงหรงถึงหูคุณชายรองในเวลาเพียงไม่นาน เฉินจื้อเฉิงฟังแล้วคลี่ยิ้มเมื่อได้ยินว่าหานชิงเยว่อยากให้เขาคุ้มครองเซียงหรงไปไหว้พระ
หรงเอ๋อร์กำลังจะเดินทางขึ้นเขา…ไปด้วยกัน...
นั่นเป็นโอกาสดีที่จะได้อยู่ใกล้นางไม่ใช่หรือ?
รุ่งเช้าวันถัดมาเฉินจื้อเฉิงอารักขาเซียงหรงออกเดินทางโดยมีคนรับใช้และองครักษ์ติดตามเพียงไม่กี่คนเพื่อความคล่องตัว
ทางขึ้นเขาเต็มไปด้วยป่าไม้เขียวขจีและอากาศสดชื่น แต่เส้นทางกลับคดเคี้ยวและลาดชัน ตลอดทางเฉินจื้อเฉิงคอยจับตาดูเซียงหรงอย่างใกล้ชิด เขาแอบพอใจที่ได้อยู่กับนางเพียงสองคน แม้จะมีเหล่าคนรับใช้และองครักษ์ติดตามมา
สำหรับเขาแล้ว จะมีใครติดตามมามากกว่านี้ก็ไม่นับว่าน่าอึดอัด ขอเพียง...ไม่มีเจ้าคู่หมั้นน่ารำคาญคนนั้นของนางก็พอแล้ว
รถม้าของเซียงหรงหยุดพักเป็นครั้งคราว แต่ก็ยังคงค่อยๆ ไต่ขึ้นไปยังยอดเขา โดยที่ทั้งสองไม่รู้เลย ว่าแผนการของอนุหาน ไม่ได้มีเพียงการขอให้เซียงหรงเดินทางไปนำยันต์ศักดิ์สิทธิ์มาให้เท่านั้น...
เป็นไปดังคาด เมื่อคณะของเซียงหรงมาถึงวัดถานฝอก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว
เซียงหรงไหว้พระ สวดมนต์ภาวนา แต่ไม่ว่านางจะพยายามทำใจให้สงบเท่าใด กลับรู้สึกร้อนรุ่มกลุ้มใจอย่างประหลาด
ซู่ซินเห็นคุณหนูของตนคล้ายมีเรื่องในใจ ตัดสินใจเอ่ยเรื่องสำคัญออกมาอย่างแผ่วเบา “คุณหนู...ในเมื่อวันนี้ท่านเองก็ไม่มีสมาธิ ยังไม่ต้องถามถึงเรื่องบวชดีไหมเจ้าคะ รอให้จิตใจปลอดโปร่งคิดตกเสียก่อน ค่อยว่ากันอีกที”
ถูกแล้ว...ที่จริงแล้ว มาจนถึงขั้นนี้ นางกลับยังคิดไม่ตก
นางเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร
“แต่พี่ซู่ซิน...ข้าไม่อยากปล่อยให้อะไรๆ ยืดเยื้อไปมากกว่านี้แล้ว” นางไม่อาจบอกพี่ซู่ซินของนางได้เลยว่าหากนางไม่รีบออกบวชแล้วจะเป็นอย่างไร
นางไม่อยากแต่งงาน ไม่อยากแต่งไม่ว่ากับใครที่ไหนทั้งนั้น แม้ว่า หลี่จือหลิน พี่ชายคนนั้นจะเป็นคนดี หรือแม้ว่าเขาจะเป็นคู่หมายของนางมาตั้งแต่ยังเล็ก ซ้ำตอนนี้ยังกลายมาเป็นคู่หมั้นอย่างเป็นทางการของนางอีก แต่นางก็ไม่อยากแต่ง
ทายาทสืบทอดตำหนักจวิ้นหวัง ว่าที่จวิ้นหวังที่สูงส่ง ไหนเลยจะมีสตรีในชีวิตเพียงผู้เดียวได้
นางไม่อยากเป็นเหมือนสตรีในเรือนหลังของท่านพ่อ จวนกั๋วกงแม้จะดูเรียบร้อยในสายตาผู้อื่น แท้จริงแล้วกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย สตรีที่อยู่ด้วยกันก็มีแต่จะคอยเดือดร้อนรำคาญอยู่ร่ำไป
นางไม่ชอบ
ทั้งไม่ชอบ และจะไม่เอาตนเองไปอยู่ในสถานะเช่นนั้นด้วย
ไม่ทันที่นางจะได้ขยับตัว ตงหยางที่รัดท่อนแขนตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนาก็ก้มลงดูดที่แผลของตนเอง ดูดแล้วก็พ่นเลือดสีคล้ำเข้มออกมา ดูด แล้วก็พ่นเลือดสีคล้ำเข้มออกมา ทำวนซ้ำอยู่อย่างนี้จนเลือดที่ดูดออกมาจากปากแผลเป็นสีแดงสด ถึงยอมหยุดมือเขาปล่อยให้สายรัดเอวที่รัดท่อนแขนอยู่ค่อยๆ คลายออกเอง กระถดเข้าไปนั่งชิดผนัง ก่อนถอนหายใจออกมาตงหยางเหลียวมองซากงูตัวนั้นอีกครั้ง ก่อนจะตวัดสายตามองเฉินเซียงหรง เอ่ยอย่างหัวเสีย“ดีเหลือเกิน ข้าบอกให้อยู่นิ่งๆ เจ้าก็รีบขยับตัวทันที!”“ก็ข้านึกว่า...” นางละอายเกินกว่าจะกล้าพูดต่อเขาช่วยชีวิตนาง...อีกเป็นครั้งที่สอง นางกลับคิดว่าเขาจะฉวยโอกาสใช้กำลังข่มเหงรังแก ทำเรื่องที่นาง...ไม่ยินยอม...“คุณหนูเฉิน ข้าบอกเจ้าแล้ว ข้าไม่มีความจำเป็นต้องบังคับข่มเหงสตรีที่ไม่เต็มใจ” เขาแค่นหัวเราะ ก่อนกล่าวต่อไป “ทว่าเป็นเช่นนี้จะดีหรือ หากร่วมทางกันไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งข้าเกิดดื่มสุราเมามายจนขาดสติเล่า เจ้าจะทำอย่างไร เจ้าจะยังกล้าติดตาม ‘รับใช้’ ข้าอีกหรือ ข้าว่าเจ้ายอมกลั
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนเซียงหรงเองยังอดตกใจไม่ได้คืนหนึ่ง ขณะหลบฝนอยู่ในถ้ำเล็กๆ ตงหยางจุดไฟให้แสงสว่าง อากาศในถ้ำเย็นชื้น และเสื้อผ้าของพวกเขาเปียกชื้นจนต้องพาดไว้ใกล้กองไฟ เซียงหรงนั่งกอดเข่าห่างออกไปเล็กน้อย ดวงตาของนางมองเปลวไฟนิ่งราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์กระทั่งตงหยางมองนางด้วยสายตาขบขัน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าเคยคิดบ้างไหม ว่าแม้จะหนีการแต่งงาน แต่ในที่สุดเจ้าก็ต้องหาสามีอยู่ดี” เขาเอ่ยเสียงเบาเช่นเดิม “คุณหนูเฉิน เจ้ากล่าวว่าต้องการแน่ใจว่าจะสามารถส่งจดหมายถึงมือบิดาและพี่ชายที่อยู่ต่างเมือง จะทำเพียงส่งจดหมายบอกล่าวเล่าความ ไม่พบพวกเขา เจ้ามีพ่อและพี่ชายกลับคิดหนีหน้า เจ้าบอกว่ามีคู่หมั้น แต่ก็ไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานกับคู่หมั้นผู้นั้น กลับมุ่งหมายออกบวชละกิเลสเสียมากกว่า ช่างไม่รู้เสียเลยว่าต่อให้เจ้าจะโกนผมโกนคิ้ว บุรุษที่ได้พบเห็นเจ้า พูดคุยกับเจ้า พวกเขาไหนเลยจะลืมเลือนเจ้าได้ลง เจ้าคิดว่าหากได้ออกบวช จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบได้จริงหรือ” เซียงหรงเงยหน้าขึ้นมองเขา สีหน้าของนางเย็นชา “ก็ยังดีกว่ามีสามี&rdquo
ยามบ่ายคล้อย แดดร่ม ลมตก เป็นช่วงเวลาที่เซียงหรงรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวที่สุดในช่วงวัน พื้นอารมณ์จึงค่อนข้างดีทว่าอารมณ์ดีๆ ของนาง กลับถูกทำลายลงด้วยเสียงเฉยชาที่ดังขึ้นทำลายความเงียบ“เป็นเช่นไรล่ะ คุณหนูเฉิน ใช้ชีวิตแบบนี้สนุกดีหรือไม่ ไม่ต้องมีคนคอยรับใช้ ไม่ต้องมีที่นอนอุ่นๆ ไม่ต้องกินอาหารดีๆ ใช้สองขาเดินทาง ร่อนเร่พเนจร ค่ำไหนนอนนั่น” นั่นประไร! นางรู้ว่าเขาคงอดทนไม่ว่านางได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามหรอก ยิ่งในตอนที่นางกำลังมี ‘ช่วงเวลาดีๆ’ รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเช่นนี้ยิ่งแล้วใหญ่!เดินทางร่วมกันมาจนถึงตอนนี้ นางแทบจะนับเวลาที่เขาจะเอ่ยปากเหน็บแนมนางได้แม่นยำแล้ว!นางชำเลืองมองเขาด้วยสายตาขุ่นมัว “ไม่เห็นจะลำบากอะไร” นางตอบเสียงเรียบพลางรวบชายเสื้อที่ปลิวเพราะลมเย็นตงหยางหันมามองนาง หัวคิ้วของเขายกขึ้นเล็กน้อย “อ้อ เช่นนี้ไม่ลำบาก” เขาหัวเราะในลำคอ “เจ้านี่ช่างเป็นสตรีที่ดื้อดึงยิ่งนัก เจ้าอยากมีชีวิตแบบนี้ไปจนตายเช่นนั้นหรือ”นางหยุดเดิน หันไปสบตาเข
“ข้าขอร้อง...” เซียงหรงเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาที่เริ่มแดงก่ำ “ข้าไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ ที่บ้านของข้าในยามนี้ไม่มีใครที่ข้าจะไว้ใจได้อีก อีกทั้ง... อีกทั้งในเมืองหลวงยังมีสิ่งที่น่ากลัวมากๆ รอข้าอยู่ที่นั่น...” นางพยายามยื่นข้อเสนอ “ท่านช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ขอเพียงท่านช่วยสะสางเรื่องที่ยังค้างคาใจและพาข้าหลบหนีจากฝันร้ายเหล่านั้น ข้ายินดีติดตามรับใช้ท่านในฐานะบ่าวคนหนึ่ง จะไม่สร้างความลำบากใดใดให้ท่านจอมยุทธสักนิด”“บ่าวคนหนึ่ง...” ชายสวมหน้ากากนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ ก่อนถอนหายใจยาว “เอาเถิด หากเจ้าไม่สร้างปัญหาจริงดังปากว่า ข้าจะให้เจ้าเดินทางไปด้วย ระหว่างนั้นสบโอกาสค่อยหาทางส่งจดหมายไปถึงบิดาและพี่น้อง เรื่องคนของเจ้า สหายของข้าช่วยนางเอาไว้แล้ว”“จริงหรือ!”ได้ยินเช่นนี้ เซียงหรงโล่งใจเป็นอย่างยิ่งเขายังคงกล่าวต่อไป “ตงหลินผู้นี้เป็นสุภาพชน เชื่อถือได้ คนของเจ้าจะปลอดภัยอย่างแน่นอน หากเจ้าไม่มีความคิดอยากกลับบ้านก็ไม่ควรติดต่อ ‘คนของเจ้า’ ผู้นั้นอีก”แม้แว
เซียงหรงมองชายแปลกหน้าเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง แม้จะรู้สึกหวาดระแวงอยู่ลึกๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชายร่างใหญ่ชุดดำสวมหน้ากากปกปิดใบหน้าผู้นี้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ ช่วยนาง...ทั้งในตอนที่นางเสี่ยงชีวิตกระโดดลงมาจากหน้าผาสูงชัน และตอนนี้สายตาของเฉินเซียงหรงกวาดมองไปรอบๆ อีกครั้งกระท่อมหลังนี้ดูเหมือนจะถูกปล่อยทิ้งร้างมานานแล้ว โต๊ะไม้ที่วางตะเกียงอยู่มีรอยถลอกลึก มุมหนึ่งของผนังมีช่องโหว่ที่ลมพัดผ่านเข้ามาได้ ดังนั้น นอกจากกลิ่นสาบภายในกระท่อมแล้ว ยามนี้นางได้กลิ่นสนเขาอ่อนๆ ลอยมากับสายลมนางเริ่มรู้สึกถึงความเย็นของกระแสลมที่กัดกินเนื้อหนัง“ข้าจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ไว้จนวันตาย...ข้าจำได้ว่าคล้ายจะเห็นท่านพลิ้วตัวมารับร่างข้าไว้ก่อนจะตกลงไปในแม่น้ำ ท่านเป็นจอมยุทธ์ใช่หรือไม่ จึงสามารถช่วยข้าไว้ได้เช่นนี้” นางถาม น้ำเสียงเจือความขอบคุณเขาไม่ตอบไม่เพียงไม่ตอบ ยังเบนสายตาไปทางอื่นด้วยซ้ำดวงตาที่มองลอดหน้ากากนั้นยังคงนิ่งลึกท่าทางเช่นนี้...ดูๆ ไปแล้ว ก็คล้ายองครักษ์ที่รับหน้าที่ติดตามคุ้มกันนางเช่นกันหรือว่า...นางอดถามไม่ได้ “ท่านคือองครักษ์จากตำหนักจวิ้นหวังที่คอยติดตามคุ้มกันข้าหรือ?”“ไม่ใช
ยามเมื่อเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา นางรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แทรกซึมผ่านผิวกาย แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันเล็กๆ บนโต๊ะไม้ส่องประกายริบหรี่สะท้อนเงามืดบนผนังไม้ที่แตกร้าวราวกับภาพเขียนที่น่าขนลุกภาพหนึ่ง รอบตัวนางในยามนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านช่องว่างของกระท่อมเก่าคร่ำคร่า“ท่านแม่...” นางยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดมารดาด้วยซ้ำทว่า... เพียงฝันไปหรอกหรือ?“ที่นี่ที่ไหน...” นางพึมพำแผ่วเบา รู้สึกร้าวระบมไปทั่วทั้งตัว เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเสื่อเก่าขาด มีหมอนสีดำสนิทที่คล้ายจะทำขึ้นมาด้วยการเอาเสื้อคลุมเปียกๆ ตัวหนึ่งมาหุ้มฟางรองศีรษะ กลิ่นอับของไม้ผุและฝุ่นทำให้นางแสบจมูกจนแทบทนไม่ไหวดวงตาของนางเลื่อนไปหยุดที่ร่างของชายคนหนึ่ง เขาสวมชุดสีดำทั้งตัว ใบหน้าครึ่งบนกว่าแปดส่วน[1]ถูกปกปิดด้วยหน้ากากโลหะรูปพยัคฆ์ เผยให้เห็นเพียงดวงตาคมดุสะท้อนแสงไฟสลัวเหมือนตาของสัตว์ร้ายเซียงหรงสะดุ้งเล็กน้อย ความหวาดกลัวไหลย้อนกลับมาบีบรัดหัวใจของนางไว้แน่นเสื้อคลุมที่ใช้ทำเป็นหมอนยังคงเปียกชุ่ม เสื้อผ้าผมเพ้าของคนผู้นี้เองก็ไม่ต่างกัน...สังเกตได้เท่านี้เฉินเซียงหรงก็ห