로그인จางลี่อิงได้ยินเสียงไอ้โขลกดังมาตั้งแต่เช้ามืด เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ มากพอที่จะทำให้คนหลับลึกเช่นนางสะดุ้งตื่นขึ้นมาได้ นางลืมตาตื่นขึ้นจากเสียงรบกวนที่น่าตกใจรีบลุกไปเคาะประตูห้องจิ่นฟานอวี้ ร่างผอมสูงยันกายลุกขึ้นประคองตัวเดินเซมาถึงหน้าประตูก็เหนื่อยหอบจากอาการไอถี่ๆ มาตั้งแต่เช้า พอประตูเปิดออกจางลี่อิงก็ต้องตกใจกับใบหน้าซีดขาวดวงตาคู่งามดูอิดโรยในมือมีผ้าเช็ดหน้าปิดปากเอาไว้
"ไม่สบายมากหรือ มียาหรือไม่" นางไม่เคยสนใจหรือใส่ใจเขามาก่อนจึงไม่รู้ว่ามียาตัวใดติดตัวอยู่ตอนนี้ เขาส่ายหัวไปมาช้าๆ ไร้คำพูดจะเอ่ยเพราะตอนนี้ทั้งเจ็บคอทั้งเหนื่อยเกินไป จางลี่อิงนึกเจ็บใจร่างนี้ที่ไม่เคยรับรู้ความเป็นความตายของผู้อื่นเอาเสียเลย ด้วยความเป็นจิตอาสาในตัวนางจึงวิ่งเข้าไปในครัวก่อไฟต้มน้ำอย่างรวดเร็ว "น้ำอุ่นแล้ว" นางเดินถือน้ำมาให้เขาที่นั่งไอรุนแรงขึ้น เขารับมาดื่มรวดเดียวหมดนางก็รินใส่จอกให้อีก "ข้าจะพาเจ้าไปหาหมอ" นางใจคอไม่ดีที่เห็นอาการของเขาในตอนนี้ แต่ก่อนเคยเห็นคนไข้หลากหลายอาการช่วงไปดูงานตอนเรียนแต่ก็ไม่รู้สึกชินเมื่อมาเจอกะทันหันอย่างนี้ก็รู้สึกสงสารไม่อยากเห็นเขาตายไปต่อหน้าต่อตา เขายังหนุ่มยังแน่นมีอนาคตไกลถึงไม่เกี่ยวข้องกันอย่างไรเขาและนางก็อยู่บ้านเดียวกัน เขาเป็นคนขี้โรคป่วยกระเสาะกระแสมาตลอดครั้งนี้ดูเหมือนอาการจะหนักขึ้น "ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวก็ดีขึ้น ค่ารักษาช่างแพงนัก" เขายกมือห้ามน้ำเสียงแหบแห้ง อาจเป็นเพราะอากาศเย็นลงอาการป่วยจึงกำเริบหนักขึ้นมา จางลี่อิงพยายามตั้งสติตรงเข้าประคองจิ่นฟานอวี้ไปนั่งบนเตียง "ถ้าอย่างนั้นเจ้านอนพักก่อนข้าจะไปเอาเตาฟืนมาให้ วันนี้อากาศเย็นลงอีกแล้วคงพอช่วยได้บ้าง" นางกางผ้าห่มออกห่มให้จนถึงต้นคอ ทันทีที่มือผอมบางได้สัมผัสกับเนื้อผ้า ถึงมันจะสะอาดแต่ก็หยาบกระด้างไม่นุ่มนวลชวนให้อบอุ่นอีกทั้งยังบางเบาขาดวิ่นหลายจุด นางจึงเดินไปเอาผ้าห่มตัวเองที่ซักจนสะอาดแล้วมาห่มให้อีกชั้น จากนั้นก็วิ่งเข้าไปนำเตาฟืนมาเพิ่มความอบอุ่นอีกที "ข้าไปต้มข้าวต้มมาให้นะ" ว่าแล้วนางก็วิ่งออกไปจัดการอย่างรวดเร็ว เมื่ออากาศอุ่นขึ้นและได้ซดข้าวต้มร้อนๆ อาการของเขาก็ดีขึ้นตามลำดับ เริ่มไอน้อยลงนางจึงเติมน้ำอุ่นให้จิบเรื่อยๆ และให้นอนพักผ่อน ผ่านไปหนึ่งชั่วยามเขาก็เงียบเสียงลงไม่มีอาการไออีก จางลี่อิงโล่งใจที่เขาไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้ อากาศเย็นอาจทำให้โรคของเขากำเริบและแอบหนักใจที่ไม่มีเงินพาเขาไปหาหมอทำให้ต้องทุกข์ทรมานในสภาพอนาถาเช่นนี้ นางคอยเติมไฟให้เขาเรื่อยๆ ไม่ยอมให้มอดดับ จิ่นฟานอวี้พอจะลุกขึ้นไหวก็มานั่งขะมักเขม้นอ่านหนังสือต่อแม้ว่าร่างกายเขามีความพร้อมอยู่น้อยนิดแต่ยังพอฝืนได้ เมื่อรอดูอาการจนวางใจแล้วนางจึงออกไปผ่าฟืนหาบน้ำจนเสร็จก็มุ่งหน้าขึ้นเขา นางขึ้นไปหาของป่ากว่าจะกลับเข้าหมู่บ้านก็เย็นมากเกือบจะมืดค่ำ วันนี้ไม่ได้ไปตลาด ทั้งเป็นห่วงคนป่วยทั้งกลับจากเขาตลาดก็วายไปตั้งนานแล้ว นางหามาเก็บเอาไว้วางแผนว่าวันพรุ่งนี้จะขนไปทีเดียว นางมาจัดการทำความสะอาดบ้านและซักผ้าเสร็จจึงได้เริ่มทำอาหารเอาตอนหัวค่ำนำไปกินกับเขาห้องไม่อยากให้เดินตากลมออกมาเกรงว่าจะไม่สบายขึ้นมาอีก "คืนนี้ข้าจะมานอนเป็นเพื่อนเจ้า" นางพูดโดยไม่ได้คิดอะไรเห็นเขาป่วยเกิดอาการกำเริบจะได้ไหวตัวทัน จิ่นฟานอวี้นิ่งอึ้งไปแต่ไม่ได้ห้ามปราม "ก็ได้" เขาเห็นว่าจริงตามที่นางบอกจึงยินยอมให้มานอนเฝ้าได้ จางลี่อิงเอาฟูกเก่าๆ มาปูทับเสื่อที่พื้นเฝ้าจิ่นฟานอวี้ ที่ห้องมีเตาฟืนไม่นับว่าหนาวเย็นมากนัก ห้องนี้อบอุ่นขึ้นมามากถึงไม่ต้องมีผ้านวมหนาหลายชั้นก็พออยู่ได้ จิ่นฟานอวี้ไม่เอ่ยเอื้อนสิ่งใดเขาเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้วและไม่ใช่คนเรื่องมากการที่นางมานอนเฝ้าไม่ถือว่าแปลกเพราะทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน หากจะแปลกก็ตรงที่นางรู้จักเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นคอยดูแลเอาใจใส่ในทุกเรื่องต่างจากเมื่อก่อนที่เคยสนใจแต่ตัวเอง เขาก็ยังสงสัยว่าดวงหน้าลายพร้อยเต็มไปด้วยจุดด่างดำตอนนี้แม้มันไม่เกลี้ยงเกลาแต่ก็สะอาดขึ้นรวมถึงเสื้อผ้าของใช้ภายในบ้านถูกเก็บเป็นระเบียบเรียบร้อยชนิดที่คาดไม่ถึงว่านางสามารถทำได้ หากไม่ติดจุดลายบนใบหน้าของนางก็นับว่าเป็นหญิงสาวหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่ง บุคลิกที่เปลี่ยนไปก็ทำให้นางดูมีสง่าราศีขึ้นมากโข มีความคล่องตัวสูงหากแช่มช้อยกว่านี้ก็ไม่ต่างจากคุณหนูตระกูลใหญ่ แต่นั่นคงไม่เหมาะกับนางผู้มีท่วงท่าการเคลื่อนไหวทะมัดทะแมงไม่ทำตัวเงอะงะซื่อบื้อหรือเดินเหินเลื่อนลอยดั่งเช่นคนเก่า ที่สำคัญนางทำกับข้าวอร่อยรู้จักหาของป่ามาผสมเป็นอาหาร ไปค้าขายเป็นไม่สร้างเรื่องให้ปวดหัวตามล้างตามเช็ดเหมือนเมื่อก่อน นางดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิงราวกับว่าวิญญาณที่อยู่ในตัวของนางไม่ใช่จางลี่อิง แววตาแสดงความรู้สึกต่างๆ ทำให้นางดูมีชีวิตเหมือนคนปกติอีกทั้งยังร่าเริงและอ่อนโยนมากขึ้น จิ่นฟานอวี้เผลอยิ้มบางออกมาโดยไม่รู้ตัวแต่พอตั้งสติได้เขาก็รีบหุบยิ้มแล้วหลับตาลงก่อนอีกฝ่ายจะมองเห็น นางไม่ได้สนใจเขามากนักปูผ้าเสร็จก็ล้มตัวลงนอน ความอ่อนล้าเริ่มเล่นงานเพียงไม่นานก็ลืมตาไม่ขึ้นแล้วหลับลึกไปง่ายดาย นางตื่นตั้งแต่เช้ามืดไปตักน้ำมาต้มเอาไว้ให้เขาอาบ จากนั้นทำข้าวต้มปลาที่เหลือกินได้ถึงกลางวันเป็นมื้อสุดท้าย นางรีบเร่งคว้าตะกร้าสานใบเก่าออกเดินทางขึ้นเขาไปหาของป่าโดยไม่ลืมใส่ของที่หาได้เมื่อวานติดไปด้วย บนภูเขามีพืชมากมายให้เลือกหากเดินเข้าไปด้านในสักหน่อยจะพบว่ามีความอุดมสมบูรณ์เป็นอันมาก เป็นแหล่งอาหารชั้นดีช่วยต่อชีวิตคนในหมู่บ้านได้ ถึงแม้จะมีคนมาหาของป่าทุกวันแต่ก็ไม่มีวันหมดไป พืชพรรณต่างๆ ยังผุดขึ้นมาใหม่ให้เก็บได้เรื่อยๆ เห็ดหลากหลายชนิดเป็นหนึ่งในนั้นที่ยังคงหาได้ นางเดินอ้อมไปมาก็พบเห็ดที่คุ้นเคยมีทั้งเห็ดหูหนูและเห็ดหลินจือกระจายทั่วบริเวณ คนที่นี่เป็นชาวชนบทยากจนไม่มีการศึกษา พวกเขาไม่กล้าเก็บของป่าที่ไม่รู้จักจึงมีเหลือมากมาย คาดว่าเห็ดหูหนูดำก็คงไม่รู้จักเช่นเดียวกัน นางได้เห็ดสองชนิดกับมันเทศและผักป่าอีกสองสามอย่างก็เต็มตะกร้า ไม่รอช้ารีบออกจากป่ามุ่งหน้าสู่ตลาดก่อนจะวายในตอนสายกว่านี้เกวียนมาถึงสำนักศึกษาโดยจิ่นฟานอวี้ลงเพียงคนเดียวคนที่เหลือออกเดินทางไปที่อื่นต่อ จางลี่อิงโบกมือร่ำลาทำเอาคนบนเกวียนอมยิ้มไม่หุบเพราะเห็นสีหน้าตกตะลึงของบัณฑิตหนุ่มเมื่อรถเทียมเกวียนจากไปแล้วเขาจึงเดินเข้าสำนักศึกษา ได้ยินเสียงบางอย่างจึงล้วงในย่ามพบหมั่นโถวกับเงินหนึ่งถุงที่จางลี่อิงใส่เอาไว้ให้ติดตัว เขาหยุดเดินยืนนิ่งงันอยู่ครู่เดียวก็เดินเข้าสำนักศึกษาไปจางลี่อิงเอาของป่าตากแห้งมาขายเช่นเคยนางเริ่มมีลูกค้าประจำที่มารอซื้อสามสี่คน นอกจากนั้นพวกเขายังชวนเพื่อนมาอุดหนุนหรือซื้อไปฝากญาติๆ ของป่าของนางขายดีกว่าเจ้าอื่นเพราะความอัธยาศัยดียิ้มแย้มและขายไม่แพง บางครั้งก็แถมให้หากคนใดซื้อเยอะ เมื่อขายหมดภายในเวลาอันรวดเร็วนางก็สะพายตะกร้าเดินออกจากตลาดอย่างเร่งรีบจิ่นฟานอวี้เลิกเรียนในตอนบ่ายเขาเดินออกมาที่ด้านหน้าพบหญิงสาวคนหนึ่งยืนกอดอกก้มหน้าเขี่ยเท้าเล่นไปมา บุคลิกของนางกลับดูน่ามองไม่เบื่อในตอนนี้แยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าเคยเป็นหญิงสติไม่ดีมาก่อน"เจ้ามาที่นี่ทำไม"เขาถามขึ้นด้วยความสงสัย"ข้ามารอรับเจ้ากลับบ้านพร้อมกัน"จางลี่อิงยิ้มออกมารอยยิ้มของนางดูสดใสกว่าทุกวัน นางไม่เคยยิ้มให้เข
"ขอโทษที่ข้ามาช้า นั่นเจ้าทำอะไรหรือ"นางวางตะกร้าลงได้กลิ่นอาหารลอยมาตั้งแต่หน้าบ้านรีบวิ่งปรู้ดเข้าไปดูในครัวเขายืนมือไพล่หลังอยู่ใกล้ๆ บอกนางจะได้ไม่ต้องรีบร้อนเพราะเขา"ไม่เป็นไรเจ้ากลับมาเหนื่อยๆ จะได้กินเลย ข้าตุ๋นเห็ดตากแห้งกับทำหมั่นโถวเอาไว้"เขายิ้มน้อยๆ ให้นางรอยยิ้มดูเป็นมิตรดีแต่ก็ยังแฝงไว้ซึ่งความเย็นชาเหมือนเดิม จบคำพูดเขาก็ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก"เสร็จหรือยัง มาข้าช่วย"นางกุลีกุจอช่วยตักออกจากหม้อสำหรับสองที่ ยกชามเห็ดตุ๋นร้อนๆ กับหมั่นโถวมาวางบนโต๊ะ เขาทำเอาไว้ทั้งหมดหกลูกสำหรับกินหลายวัน"หมั่นโถวนี่กินได้กี่วัน"นางสงสัยเพราะมีอาหารหลายอย่างให้เลือกวัตถุดิบในบ้านก็ไม่ขาดแคลนแล้ว"ข้ากินมื้อละหนึ่งลูก นอกนั้นเอาไว้ให้เจ้าพกติดตัวยามหิวตอนขึ้นเขาและไปตลาด"เขาทำเผื่อนางไว้กินแก้หิวกลางทาง จางลี่อิงกล่าวขอบคุณเขา พลันใบหน้าซีดเซียวก็แดงเรื่อขึ้นมาไม่มีสาเหตุ กินข้าวเสร็จเก็บครัวเรียบร้อยนางก็เอาของไปเก็บทำความงานบ้านเสร็จหมดทุกอย่างนางนึกขึ้นได้ไปหยิบถุงเงินมาไว้กับตัว ช่วงค่ำนางเข้าไปในห้องของจิ่นฟานอวี้ขอรบกวนเวลาเขาสักครู่ มือผอมบางล้วงถุงเงินออกมานับยื่นให้เขาห้าสิบตำ
"ใช่แล้วข้าจะเอาไว้กินแล้วก็เอาไว้ขายด้วย"นางยิ้มร่าเริงมือผอมบางเขี่ยเมล็ดผักที่แช่น้ำในกระป๋องไปมา จิ่นฟานอวี้เห็นดังนั้นก็ขอมาหนึ่งกระป๋องถกแขนเสื้อเตรียมลงมือ"ข้าช่วยปลูก"เขาบอกกับนางพลางเดินไปอีกแปลง"แต่ว่าเจ้าต้องอ่านหนังสือ"นางเกรงใจเขาอยากให้ใช้เวลานี้ตักตวงความรู้ให้เต็มที่เตรียมความพร้อมสำหรับการสอบส่วนงานสวนนี้นางจะจัดการเอง"ไม่เป็นไรข้าอยากช่วย"เขาเอ่ยขึ้นสีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดแล้วลงมือปลูกผัก นางเห็นเขาอยากช่วยก็ไม่อยากพูดพร่ำเพรื่อลงมือปลูกอีกแปลงแปลงผักสิบแปลงมีผักอยู่หกชนิด จางลี่อิงและจิ่นฟานอวี้ปลูกผักเสร็จเขาก็ล้างมือกลับเข้าห้องอ่านหนังสือต่อ ส่วนนางก็รดน้ำจนเสร็จเอาหญ้าแห้งที่เก็บมาด้วยคลุมแล้วปิดรั้วเอาไว้จางลี่อิงเตรียมตัวเอาเห็ดตากแห้งไปขายที่ตลาด เช้าวันรุ่งขึ้นนางรีบไปแต่เช้าก่อนตลาดจะวาย เส้นทางลัดหากอยากไปให้ถึงเร็วขึ้นจะมีซอกซอยเล็กแคบอยู่เส้นหนึ่งแต่ผู้คนไม่สัญจรเพราะค่อนข้างเสี่ยงอันตราย มักมีขอทานหรือโจรและพวกอันธพาลหนีการจับกุมของมือปราบมาซ่อนตัวดักปล้นคนผ่านไปผ่านมาบ่อยๆแต่ก็เป็นเส้นทางเดียวที่ช่วยย่นระยะเวลาไปถึงตลาดได้เร็วขึ้น นางเดินไปถ
"ท่านเลี้ยงข้ามาอย่างไรก็รู้อยู่แก่ใจ ตอนแต่งงานก็ไม่ได้มีเงินขวัญถุงมาให้ตั้งตัว สามีที่ท่านยัดเยียดให้ข้า บีบบังคับจิตใจเขามาแล้วไล่เราออกจากตระกูลแยกบ้านให้ ก็รู้ๆ อยู่ว่าเขาป่วยกำพร้าพ่อแม่ไม่มีเงินให้ แต่พวกท่านก็ยอมรับแล้วนี่ว่าเขายากจนแล้วจะรีดไถกันได้ ไม่เรียกว่าอำมหิตจะให้เรียกว่าอย่างไร"นางร่ายยาวเท้าความหลังเวลานี้ย่าเหลียวไม่อายนางก็ไม่อายเช่นกัน ผู้คนที่มุงดูต่างส่งเสียงฮือฮา ถึงบางคนจะรู้เรื่องของนางแต่เรื่องแต่งงานพวกเขาเพิ่งรู้ความจริงว่านางถูกบีบออกจากตระกูลโดยการแต่งงาน"บ้านกับที่ดินข้าก็ยกให้แล้วเจ้ายังเนรคุณด่าข้าอีก น่าน้อยใจนัก" ย่าเหลียวเล่นบทบาทตัดพ้อเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำ ตีสีหน้าเศร้าสร้อยป้าสะใภ้รองกระตุกแขนของย่าเหลียวมองดูสายตาคนในหมู่บ้านนางก็รู้สึกหวาดหวั่นแต่ย่าเหลียวไม่สนใจยังหมายมั่นเอาชนะต่อไป"มันคือส่วนของพ่อแม่ข้าต่างหากที่จริงท่านควรแบ่งให้มากกว่านี้ แต่ตระกูลจางก็เจียดมาให้ข้าเท่านี้คิดบ้างหรือไม่ หากท่านตายไปจะบอกท่านปู่ว่าอย่างไรทำเช่นนี้ไม่ถือว่าลำเอียงกับข้าหรอกรึ เทียบกับลูกหลานคนอื่นนับว่าท่านใจดำกับข้าที่สุด"จางลี่อิงไม่ยอมแพ้วันนี้ขาด
นับตั้งแต่แต่งงานเข้ามาในตระกูลจางจิ่นฟานอวี้นอกจากต้องจ่ายเงินคนในตระกูลแล้วยังต้องตามแก้ปัญหาของจางลี่อิงจนแทบไม่มีสมาธิอ่านหนังสือคัดอักษร แต่เขาก็อดทนอดกลั้นไม่พูดไม่จานางทั้งเห็นแก่ตัวกับเขาทั้งออกไปมีเรื่องกับคนอื่นทุกวันทั้งโดนรังแกมา ทั้งไปรังแกผู้อื่นตามกลุ่มอันธพาล สุดท้ายก็ถูกกลั่นแกล้งมีบาดแผลบ่อยๆ กิริยาหยาบคายไม่สนใจครอบครัว ขี้เกียจอาบน้ำ ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง อย่างที่บอกว่าทำได้เพียงผ่าฝืนและหาบน้ำที่ไม่ค่อยสำเร็จนางไม่ได้ชอบเขามาตั้งแต่แรกเห็นแล้วเพราะเขาขี้โรคผอมแห้งดูเหมือนผีในสายตาของนาง ช่วงหลังได้เจอกับพ่อค้าขายผ้ากลับทำให้หลงใหลในความหน้าตาดี คอยวิ่งตามเกวียนขายผ้าทุกครั้งที่เข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านต้องคอยลากกลับบ้าน พอไม่ได้ดั่งใจก็โวยวายตีตัวเองหยิกเนื้อจนได้แผลบ่อยครั้ง เพื่อนบ้านต่างเอือมระอาแทนจิ่นฟานอวี้กับพฤติกรรมที่น่าอับอายของนางแต่เพราะจิ่นฟานอวี้ชอบช่วยเหลือเอื้อเฟื้อชาวบ้านพวกเขาจึงยังทำดีกับครอบครัวนางมาตลอด ครั้งนี้ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปราวพลิกฝ่ามือ นางดูสงบเสงี่ยมรู้จักทำมาหากินเอาใจใส่สามี คนในหมู่บ้านที่เคยซุบซิบนินทาต่างแปลกใจเมื่อเห็นนางยิ้มร่าเร
นางมาถึงตอนยังไม่สายมากนักตลาดยังไม่วายจึงวางของลงขาย มีคนเดินผ่านไปผ่านมาต่างมองดูตะกร้าของนาง บ้างก็อยากแวะชม บ้างก็เดินเข้ามาเลือกดู ของป่ามีคนต้องการซื้ออยู่แล้วเพียงแต่ไม่ค่อยมีคนนำมาขาย พวกเขาเข้ามามุงดูสินค้าของนางอยู่เรื่อยๆ ไม่ขาดระยะ"นั่นดอกอะไร"หญิงวัยกลางคนถามขึ้นเมื่อเห็นเห็ดหน้าตาแปลกประหลาด"เห็ดหูหนูดำจ๊ะ ใช้ทำอาหารทั้งแกงตุ๋นและผัดกินได้แต่ห้ามกินดิบนะ"นางอธิบายสรรพคุณให้ฟังหญิงคนนั้นขอซื้อสามกำมือ ครู่ต่อมาเมื่อมีคนเห็นก็ตามมาซื้ออีกพร้อมกับซื้อผักป่าที่นำมาด้วยจางลี่อิงเหลือไว้สามกำมือกับผักป่าอีกเล็กน้อยมุ่งหน้าไปทางร้านขายยาเพื่อให้เขาตีราคาเห็ดหลินจือให้ แม้ในยุคของนางยังเป็นของราคาแพงไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพวกเขาจะรู้จักหรือไม่"แม่นางจะรับยาแบบใดขอรับ"เถ้าแก่ถามนางด้วยความยิ้มแย้มบริการสุภาพแม้แม่นางน้อยคนนี้จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าซีดทว่าดูสะอาดตา"ข้ามีสิ่งนี้มาขายไม่ทราบว่าท่านจะรับหรือไม่"นางเอ่ยถามออกไปพร้อมหยิบเห็ดหลินจือขึ้นมาห้าดอกเถ้าแก่เบิกตาโตอย่างตื่นเต้นของหายากเช่นนี้นางไปหามาจากที่ใดกัน ดูๆ แล้วน่าจะเป็นเห็ดหลินจือเอาไว้ใช้ทำยา"รับสิ ข้ารับ







