“ฮ่าๆ ภรรยารัก เจ้าไม่เดินไปหาท่านพ่อตาของข้าเล่า ไยคลานเหมือนสุนัขเช่นนี้ มันไม่สมศักดิ์ศรีของบุตรสาวแม่ทัพใหญ่สองสกุลเลยนะ”
อ๋องจิ้งหยวน ก้าวมาหยุดยืนข้างใบหน้าบวมช้ำของภรรยา โดยมีร่างอ้อนแอ่นของนางอันเป็นที่รัก ยืนแนบชิดมิห่างกายอยู่ พร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก ราวกับความตายของคนสกุลลั่ว เป็นเสมือนเรื่องบันเทิงใจของสตรีผู้นี้ก็มิปาน
ลั่วคังอันกัดฟันแน่น นางยังคงพยายามตะเกียกตะกายไปหาบิดา โดยไม่แม้แต่จะสนใจคนที่ยืนอยู่ข้างๆ สายตา แค่ชายเสื้อของเขาที่ขยับไหวมาให้เห็น นางก็รู้สึกอยากที่จะอาเจียนออกมาแล้ว
“ท่านอ๋อง ช่วยสงเคราะห์นางหน่อยสิเจ้าคะ พาหัวของบิดานางมาตรงนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ นางจะได้ไม่ต้องเสียเวลาคลานไป อิอิ!”
คำพูดของหญิงสาวอันเป็นที่รักของสามี ทำให้ตลอดร่างที่เจ็บร้าว สั่นเทาไปทั้งกาย ดวงตาคู่งามที่นองไปด้วยน้ำตา จ้องมองไปที่บิดาด้วยความห่วงใย
“ไม่!!! อ๊าก!!! ท่านพ่อ!!”
หญิงสาวคำรามลั่นราวสัตว์บาดเจ็บ เมื่อบัดนี้ศีรษะของบิดา ถูกบั่นขาดออกจากร่าง หญิงสาวดวงตาเหลือกค้าง ด้วยความตะลึงงัน ตุบ! ศีรษะของชายชรา ถูกนำมาโยนลงต่อหน้าของหญิงสาว
มืออันสั่นเทาค่อยๆ เอื้อมไปประคองใบหน้า ของบิดาเอาไว้ด้วยความรัก สองข้างแก้มอาบไปด้วยน้ำตา ชายที่ไม่เคยทำร้ายนางสักครั้ง บัดนี้ต้องมาตายเพราะความโง่งมของนาง
“อ๊ากกก!!! ท่านพ่อ!! ข้าขอโทษ ฮือๆๆ เพราะข้าคนเดียว ข้ามันโง่ที่หลงเชื่อคนชั่ว ข้าทำลายพวกท่านทุกคน ท่านพ่อ!!”
หญิงสาวที่นอนอยู่บนพื้นหินอันเย็นเยียบ กอดศีรษะบิดาเอาไว้แนบอก ร่างที่เคยสง่าบัดนี้คดคู้อยู่อย่างน่าเวทนายิ่งนัก แสงไฟที่ค่อยๆ ลุกลามเลียจวนแม่ทัพอันหญิงใหญ่ ค่อยๆ ที่จะโหมกระหน่ำขึ้นเรื่อย ๆ
“กรี๊ด!!! ปล่อยข้านะ!”
ลั่วคังอันลืมตาโพลงในทันที เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของน้องสาว นางพลิกกายมองไปตามที่มาของเสียง ภาพที่ทำให้หญิงสาวด้านชาไปทั้งกายและใจ มือที่สั่นเทาจากความเจ็บปวด
เอื้อมลงไปยังลูกธนูที่เสียบอยู่ที่ขา ก่อนจะดึงมันออกมาสุดกำลัง และนั่นเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ สำหรับคู่รักที่ยืนมองทุกอย่างอยู่ ลั่วคังอันเอาแรงมาจากไหนกัน
ไม่มีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ทว่าหญิงสาวกลับตะเกียกตะกายลุกขึ้น ด้วยขาอันสั่นเทา ก่อนจะใช้ทุกความคลั่งแค้นพาตัวเอง พุ่งไปหาน้องสาว
ทหารหลายคนที่กำลังช่วยกัน กระชากเสื้อผ้าของลั่วอันผิงออก เพื่อจะได้เชยชมนางให้สมอยาก ทำให้ลั่วคังอันอยากที่จะบั่นคอพวกมันทุกคนเสีย เสียงหัวเราะอันน่าขยะแขยงของพวกมัน นางจะจดจำไว้ จะกี่ชาติภพนางก็จะตามล่าพวกมันทุกคน
ลั่วคังอันทิ้งลูกธนูในมือ ก่อนจะจับโซ่ที่ล่ามคอนางซึ่งลากยาวตามพื้นมาถือไว้ มืออีกข้างยังคงกอดศีรษะของเอาไว้แน่น หญิงสาวใช้โซ่ในมือ ฟาดลงไปบนกายทหารเหล่านั้น
ซึ่งมันทำให้พวกเขา ผงะถอยออกไปเล็กน้อย และจังหวะนั้นหญิงสาวโถมกายเข้าทับร่างน้องสาวเอาไว้ นางรู้ดีว่าไร้หนทางหนีไปไหนได้ เพราะพลังกำลังเฮือกสุดท้าย มันสิ้นสุดลงแล้ว
“พี่จะปกป้องเจ้าผิงเอ๋อร์ หลับตาซะ...อย่าได้กลัว พี่จะไม่อยู่ห่างจากเจ้า”
หญิงสาวกล่าวปลอบโยนน้องสาว ด้วยน้ำตาที่แดงเป็นสีเลือด ลั่วอันผิงสะเอื้อนไหอย่างเจ็บปวด นางช่างโง่เขลาทั้งที่บิดา ซ่อนนางไว้อย่างดี แต่เพราะนางเห็นการตายของบิดา ทำให้เผลอส่งเสียง สุดท้ายนางก็กลายมาเป็นความว้าวุ่นใจของพี่สาวอีกครั้ง
หญิงสาวยกแขนขึ้นโอบกระชับร่างพี่สาวเอาไว้แน่น อย่างน้อยนางก็รู้ว่ามีบิดาและพี่สาว ที่เคียงข้างนางในการเดินทางไกลครั้งนี้
“อย่าได้กลัว...”
คำพูดปลอบโยนแผ่วเบาดังอยู่ข้างหู นางรู้ดีว่าพี่สาวกำลังจะทำสิ่งใด นางเต็มใจต่อการกระทำของพี่สาว เพราะมันคือการปกป้องที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้
ฉึก! ปิ่นปักผมในมืออันสั่นเทา ยังคงปักอยู่ที่ลำคอของน้องสาว หนทางเดียวเท่านั้น ที่น้องสาวของนาง จะไม่ต้องอยู่อย่างอดสูหรือต้องตายอย่างเสื่อมเกียรติ การจากโลกนี้ไปพร้อมกันย่อมดีต่อนางทั้งคู่ ดวงตาที่อ่อนล้า ได้หลับลงด้วยความเจ็บปวดร้าวลึก
ลั่วอันผิงยังคงกระชับอ้อมแขนแน่นดังเดิม แม้จะเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่มีของนาง กำลังขาดห้วง แบบนี้ดีแล้ว นางจากไปอย่างมีเกียรติ ดีกว่าถูกย่ำยีจนไม่เหลือสิ่งใด
“เสียของหมด นังโง่!”
ฉึก! ฉึก! ฉึก! ทหารผู้นั้นใช้ดาบ แทงไปที่ร่างของชายาเอกในจิ้งอ๋อง ด้วยความเคียดแค้น ที่มาขัดความสำราญของพวกเขา โดยทุกการกระทำ ตกอยู่ในสายตาเย็นชาของอ๋องหนุ่มและคนรัก
เมื่อเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ของคนสกุลลั่วสิ้นสุดลง เปลวเพลิงสีแดงฉานก็โหมกระหน่ำขึ้นมาแทนที่ นับจากนี้คงหลงเหลือเพียงเถ่าถ่านจากพายุเพลิงเท่านั้น...
ห้าเดือนต่อมา ทุกอย่างได้สงบลงเป็นที่เรียบร้อย แม่ทัพสาวที่ตอนนี้ได้ยื่นขอ พาครอบครัวย้ายไปอยู่ชายแดน ก็ได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้แล้ว แม้ว่าการเดินทางกลับไปในครานี้ จะไม่ครบจำนวนสหายเช่นเดิม แต่ไม่ว่าจะอยู่ใกล้ไกล พวกเขาทั้งเจ็ดก็คือสหายรัก และพี่น้องร่วมสาบาน “อู๋เกอ เจ้าจะไม่กลับไปกับข้าจริงหรือ” “ข้าต้องไปแน่ แต่ข้าขอทำธุระบางอย่างก่อน” อู๋เกอ ไม่คิดที่จะบอกว่าเรื่องใด ที่ทำให้เขาต้องอยู่เมืองหลวงต่อ ไม่ใช่การช่วยวางแผนจัดการ เรื่องในวังช่วยองค์รัชทายาทอย่างแน่นอน แม้ว่าเหล่าสหายจะรู้ดี แต่พวกเขาเลือกที่จะเงียบ รอดูคนปากแข็ง ผ่านด่านหิน กับการเกี้ยวพาบุตรสาวคนเดียวของบ้าน “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ ข้าขอไปอยู่ด้วยนะเจ้าคะ ที่นี่มันจะน่าเบื่อมากเลย พี่รองก็ต้องเรียนรู้งานของบ้านเรา ท่านพ่อท่านแม่ ก็จะพากันกลับฉงอาน เพื่อทำหน้าที่ต่อ ข้าเหงาเจ้าค่ะ” “หากท่านพ่อท่านแม่ไม่ขัดข้อง พี่สะใภ้ต้องยินดีให้เจ้าติดตามไป” “นี่พวกเจ้าจะทิ้งคนแก่ไว้ลำพัง มิห่วงว่าข้าจะตรอมใจหรืออย่างไร” หยางไท้ฮูหยิน แสร้งทำเป็นน้อยใจหลานๆ ที่จะพากันเดิน
อ๋องหนุ่มไม่ได้สนใจ ว่าตอนนี้ชิงอวี่ถง จะยังอยู่หรือตาย เวลานี้เขาต้องหนีไปให้ได้ก่อนเท่านั้น รักษาชีวิตไว้ได้ เรื่องอื่นใดก็ค่อยว่ากันภายหลัง ลั่วคังอันที่มองทุกอย่างมาโดยตลอด เคลื่อนกายพุ่งผ่านหน้าของอ๋องหนุ่มไป หญิงสาวหยุดยืนขวางหน้าเขาเอาไว้ แววตาที่มองไปยังอดีตสามีในชาติที่แล้ว มันมีเพียงความเห็นแก่ตัวเท่านั้น ที่นางมองเห็นจากแววตาของเขา “ช่างเป็นสามีที่ดี” ลั่วคังอันยกยิ้มน้อยๆ นางต้องขอบคุณสวรรค์ ที่ให้นางกลับมามีชีวิตอีกครั้ง พร้อมความทรงจำทั้งหมด หาไม่แล้วนางคงวิ่งลงสู่หุบเหวลึกอีกครั้งเป็นแน่ “เจ้าไม่น่าทำแบบนี้คังอัน ข้ารอจ้ามานานหลายปี แต่เจ้าทรยศต่อการรอคอยของข้า ทำให้อนาคตของข้ามืดมน ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของเจ้า” เขาไม่คิดโทษตัวเองแม้แต่น้อย ทุกความผิดล้วนเป็นเพราะสตรีตรงหน้า เขาเป็นถึงอ๋อง การต้องรอหญิงสามัญคนหนึ่ง ถือว่าเขาให้เกียรตินางมากแล้ว แต่นางกลับเลือกมองข้ามเขาไป เลือกสวะไร้ค่าคนหนึ่งมาแทนที่ “ข้าบอกให้ท่านรอข้าหรือ ข้าไม่เคยทรยศต่อหัวใจของตัวเอง ดังนั้นอย่าเอาความเห็นแก่ตัวของท่าน มาโยนให้เป็นความผิดของผู
“กลับไปกับเราเถอะ จิ้งหยวน” “สามหาว! เจ้ากล้าเรียกชื่อข้า โดยไม่เอ่ยยศได้หรือ” เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกหวาดหวั่น ที่อำนาจในมือมันไม่หลงเหลืออยู่ “ท่านอ๋อง!” องครักษ์คนสนิท พุ่งพรวดเข้ามายืนเคียงข้างผู้เป็นนาย พร้อมทั้งกระชับอาวุธในมือ เตรียมพร้อมปกป้องท่านอ๋องอย่างเต็มที่ ซึ่งองครักษ์ของชิงอวี่ถงเองก็เช่นกัน “อย่างน้อย...เจ้าได้กลับไปแก้ต่าง ให้ตนเองที่เมืองหลวง เจ้ายังมีโอกาสรอดชีวิต” ลั่วคังอันฝังกลบเรื่องในอดีตไปแล้ว พยายามที่จะไม่ให้มัน ผุดขึ้นมาอยู่เหนือความเป็นธรรมได้ หากนางลงมือเช่นที่สองคนผัวเมียตรงหน้า เคยกระทำต่อนางในชาติที่แล้ว นางก็มิต่างจากสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น “อย่างน้อย...เช่นนั้นรึ! ฮ่าๆ ในเมื่อมันมาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังคิดว่าข้าจะรอดชีวิตอีกหรือลั่วคังอัน ทำไม! ไยเจ้าจึงเลือกคนไร้ค่า แต่ไม่เลือกข้าที่เป็นชายผู้เพียบพร้อม ทำไม!” “ข้ารักของข้า ทำไมต้องแจกแจงให้คนอื่นฟังด้วย” “รักอย่างนั้นรึ! เจ้ากับมันไม่เคยได้ชิดใกล้กันเลยด้วยซ้ำ” “ไม่ได้ชิดใกล้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าห่
หญิงสาวไม่ได้คิด ที่จะปล่อยใครออกไป จากเรือนหลังนี้อยู่แล้ว การต่อสู้ได้เกิดขึ้นอย่างหนักหน่วงทันที เมื่อแม่ทัพตะวันตก พุ่งเข้าหาผู้ทรยศต่อแผ่นดิน ที่รวมตัวกันอยู่ภายในห้องนี้ อ๋องจิ้งหยวน รีบลากตัวบ่าวชายของร้านมาอยู่ข้างตัว ก่อนจะบังคับให้พาเขาไปยังทางลับ เขาไม่สนว่าคนที่เหลือ จะรอดหรือตาย ตอนนี้เขาต้องออกจากที่นี่ และกลับเมืองหลวง ก่อนที่จะถูกจับตัวได้ อย่างน้อยเขาก็มีข้ออ้างได้ ว่ามิได้ออกไปที่ใด การหลบหนีไปของอ๋องหนุ่ม มิได้ทำให้หญิงสาว ที่เห็นทุกการกระทำคิดใส่ใจ เพราะนางรู้ดีว่าอย่างไรเสียอ๋องหนุ่มผู้นั้น ก็ไร้หนทางรอด “พาข้าออกจากโรงน้ำชาเดี๋ยวนี้” เมื่อออกมาจากเส้นทางลับ อ๋องหนุ่มก็สั่งให้บ่าวผู้นั้น พาเขาออกจากโรงน้ำชาโดยเร็ว เขายังไม่อยากที่จะเอาชีวิต มาทิ้งอยู่ตรงนี้ “ท่านพี่! ไยจึงมาสถานที่เช่นนี้” แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้าเดินต่อ ก็ได้ยินเสียงแวดแหลมดังเข้าหู สตรีบ้านี่ จะตามจองล้างจองผลาญ เขาไปถึงเมื่อใดกัน โผล่มาเพื่อหาเรื่องทะเลาะ ช่างน่าตายนัก! “หุบปากเจ้าไปซะ!” เขาไม่คิดสนใจต่อนางแล้ว จึงหันกลั
เรือนเล็กหลังโรงน้ำชา ด้านในสุด คนจำนวนไม่น้อย กำลังนั่งจ้องกันเขม็ง ซึ่งมันคือการหยั่งเชิงกันนั่นเอง แม้ว่าพวกเขาจะปกปิดใบหน้าในบางคน แต่ถึงจะอย่างนั้น สายตาที่จับจ้องกัน ล้วนไร้ซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจ “เรื่องเงินนี่พวกเจ้าจัดการได้เลย แต่สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ คือจัดการกับคนขององค์รัชทายาทก่อน ไม่เช่นนั้นจะยุ่งยากในภายหลัง” “ลั่วคังอัน คือข้อยกเว้น” อ๋องจิ้งหยวน เอ่ยขึ้นทันที เมื่อเป้าหมายของทุกคน คือชีวิตของนาง “เจ้าจะยกเว้น ให้นางมาสังหารเรารึ! มีใครบ้างไม่รู้ว่านางเห็นแก่ส่วนรวม มากกว่าส่วนตัว และกองทัพเชี่ยก็ใช่ว่าเราจะต้านทานได้ หากต้องต่อกรกันจริง ดังนั้นเราต้องทำให้พวกนั้นไร้ผู้นำก่อน” “แต่กองทัพที่ชายแดนตะวันตก ยังมีลั่วเยี่ยนคังเป็นผู้ดูแล”ผู้ร่วมขบวนการอีกคนเอ่ยขึ้น เมื่อนึกถึงความแข็งแกร่งของพี่น้องสกุลลั่ว ก็ให้รู้สึกครามขันอยู่ในน้อย “กว่าลั่วเยี่ยนคังจะเข้ามาถึงเมืองหลวง เราก็ทำการสำเร็จไปแล้ว เขามาก็ตายเปล่า”ชายสวมหน้ากาก เอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจ ขอแค่จบปัญหากับลั่วคังอันได้ ทุกอย่างก็อยู่ในการควบคุมของเขา อ
โรงน้ำชา นอกเมืองชีสุ่ย ทหารจากจวนผู้ว่าการกว่าสิบคน กำลังเข็ญเกวียนบรรทุกหีบไม้หลายใบ หายไปยังส่วนของหลังร้าน เพียงลับสายของผู้อื่นแล้ว ชายหนุ่มในชุดผ้าไหมชั้นดี ก้าวออกจากที่ซ่อน ก่อนจะก้มมองความเรียบร้อยของตนเอง “คนบ้าอะไร รูปงามและร่ำรวยขนาดนี้” หลินม่อเฉิง ยกยิ้มให้กับตนเอง ก่อนจะก้าวตรงไปยังโรงน้ำชา กึก! ทว่าก่อนที่จะเดินถึงหน้าร้าน เขาได้หยุดเท้าลง แล้วหันกลับไปด้านหลัง “ชักช้า!” ชายหนุ่มชำเลืองมองไปที่เยว่เจิ้งเฉิน ที่อยู่ในสภาพราวขอทานก็มิปาน ช่างแตกต่างจากผู้อื่นนัก “เจ้าจะให้ข้าเป็นบ่าวรับใช้หรืออย่างไร น่าจะบอกข้าก่อนว่าเจ้าจะมาที่นี่ อย่างน้อยก็จะได้เปลี่ยนชุด” เยว่เจิ้งเฉิน ที่กลับมาจากทำภารกิจ ในค่ำคืนที่ผ่านมา ในตอนที่เขากำลังจะกลับเข้าไปที่พัก เขาได้เห็นการสะกดรอยของสหาย ที่ตามทหารจากจวนผู้ว่าการ จึงได้ติดตามมาช่วยเหลือ มิได้กลับที่พักก่อนอย่างที่ควรจะเป็น “ข้าก็ไม่รู้ ว่าพวกเขาจะมาที่นี่ เร็วเข้าเถอะ” ม่อเฉิงเร่งสหายให้รีบเดิน ด้วยกลัวจะคลาดจากคนกลุ่มที่เพิ่งหายไป “รู้แล้วขอรับน