แม่ทัพสาวทำเพียงยิ้มละมุน ทว่าในใจนั้นมันจุกแน่นเหลือเกิน แต่ก่อนที่นางจะทันได้โทษตัวเอง ถึงเรื่องราวในอดีต เสียงฝีเท้าจากด้านนอกก็พลันดังขึ้นอีกหน หญิงสาวจึงหมุนกายกลับไปมอง ว่าเป็นผู้ใดในเจ้าบ้านอีกหรือไม่...“ทุกคนมากันแล้ว ข้าต้องขออภัยท่านแม่ทัพใหญ่และฮูหยิน ที่เตรียมมื้อเที่ยงล่าช้าเจ้าค่ะ”เป็นหยางฮูหยินที่ก้าวเข้ามา ยืนประจันหน้ากับว่าที่สะใภ้ แม้ว่าปากจะเอ่ยกับบิดามารดาของหญิงสาว แต่ดวงตากลับจับจ้องอยู่ที่ใบหน้างามของลั่วคังอัน ราวกับจะมองให้ทะลุถึงความคิดของหญิงสาวลั่วคังอันที่ผ่านกมารฝึกฝนมาอย่างนัก มีหรือจะมองไม่ออกกับสายตา ของภรรยาเจ้าบ้าน แน่นอนว่าเมื่อนางไม่ต้องการ ให้ใครได้รู้เห็นถึงความรู้สึกนึกคิด นางจะสามารถกลบมันไว้ในความเฉยชา ได้ราวกับคนที่ปากยิ้ม ทว่าสายตาไร้ซึ่งความรู้สึกอื่นใด“หิวหรือยัง”ทว่ายังไม่ทันที่หยางฮูหยิน จะได้เอ่ยสิ่งใดกับหญิงสาว หยางเหยาเกอที่ยกมือขึ้นไปวางบนหลังมือหญิงสาว พร้อมเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงอ่อนละมุน ต่างจากเวลาต้องเผชิญหน้ากับมารดาเพียงลำพัง เสมือนความเย็นชาสองขั้วปะทะกันเลยก็ว่าได้“เจ้าหิวแล้วรึ! เช่นนั้นเราไปห้องอาหารกันเถอะ”หยางฮูหย
“ท่านแม่ให้คนบอกข้าแล้วขอรับ”ชายหนุ่มเอ่ยตอบบิดา ใบหน้าที่ยังคงไม่หันไปยังทิศทางใด ทำให้สองสามีสกุลลั่ว รู้สึกเห็นใจว่าที่ลูกเขยยิ่งนัก ต่างจากลั่วคังอันที่คลี่ยิ้มน้อยๆ เขายังอยู่ดีแม้มิได้พบหน้ากันนานเหลือเกิน“ดีแล้ว...”หยางมู่เสวียนรู้สึกโล่งอก อย่างน้อยภรรยาก็ยังใส่ใจบุตรชายอยู่ ถึงปากนางจะบอกว่าชิงชัง แต่อย่างไรความเป็นแม่ ยังคงผลักดันนาง ให้ปฏิบัติอย่างไม่ละเลยต่อบุตรชายลั่วคังอันลุกขึ้น หันไปค้อมกายให้แก่ผู้ใหญ่ทั้งสาม แล้วเดินตรงไปยังว่าที่สามี ซึ่งยังไม่ได้ถูกพาเข้ามาภายในห้อง เท้าบางก้าวมาหยุดอยู่ต่อหน้าหยางเหยาเกอ“คังอันคารวะ ท่านพี่เหยาเกอเจ้าค่ะ”แม่ทัพสาวย่อกายลงอย่างอ่อนช้อย ดวงตาคู่งามระรื่นด้วยน้ำตาใสๆ ใบหน้านี้ที่เป็นใบหน้าสุดท้าย ในชีวิตเดิมที่นางได้เห็น มันมีความรักอยู่เต็มเปี่ยม ชีวิตนี้นางจะถนอมมันให้ดี แม้ว่าเขาจะยังคงเย็นชาเฉกเช่นเมื่อครั้งก่อนๆ อยู่ก็ตามที“เจ้าสบายดีหรือ”ชายหนุ่มเอ่ยถามว่าที่ภรรยา น้ำเสียงที่ใช้กับนางมันช่างอ่อนโยนแบบไม่เสแสร้ง ต่างจากความเรียบเฉยบนใบหน้ายิ่งนัก“ข้าสบายดีเจ้าค่ะ”หญิงสาวตอบกลับ พร้อมเดินอ้อมไปยังหลังรถเข็น หยางสวี่เหยา
แต่ทว่ายังไม่ทันที่เขา จะได้หย่อนก้นลงนั่งใกล้กับหญิงสาว สายตาของนาง ทำให้เขานิ่งไปครู่หนึ่ง“คุณชายรอง โปรดสำรวมกิริยาด้วย มิว่าวันนี้ข้าจะมาในฐานะใด ล้วนมิใช่สิ่งที่ท่านจะกระทำหยามหมิ่น ด้วยสายตาเยี่ยงนี้ได้”ลั่วคังอันพูดกับชายหนุ่มด้วยน้ำเสียง ที่ยังคงราบเรียบ ทว่าสายตาที่มองเขานั้น มันเต็มไปด้วยความเดียดฉันท์อย่างไม่ปกปิด หยางเฮ่อหลง ขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน มือที่วางอยู่ข้างลำตัว กำแน่นจนสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด สตรีหยาบกร้านผู้นี้ กล้าดีเยี่ยงไร จึงอาจหาญมาแสดงสีหน้าและแววตาแบบนี้กับเขา ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายที“ข้ายังมิได้ทำสิ่งใดเลย” ในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมา พร้อมทั้งรอยยิ้มที่ไม่ได้แสดงความจริงใจใดๆ เลย“ข้าอยู่ชายแดนตั้งแต่อายุสิบหก บุรุษทั้งหยาบกร้านและโจรป่าที่หิวกระหาย ข้าล้วนพบเจอมาแล้วทั้งสิ้น ไยจะมองสายตาของบุรุษเรี่ยราด เยี่ยงท่านไม่ออกเล่า”คำพูดของลั่วคังอัน เสมือนฝ่ามือหนักๆ ตบเข้าที่ใบหน้าของเขาเสียฉาดใหญ่ ไหนจะบิดาที่นิ่งเฉยไม่คิดช่วยปรามนาง แต่กลับปล่อยให้เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นบุรุษไม่ดี“เจ้ากำลังคิดทำให้ข้ากลายเป็นตัวตลก”หยางเฮ่อหลง พูดด้วยน้ำเสียงรอดไร
เที่ยงวันถัดมา ณ จวนสกุลหยางรถม้าจากสกุลแม่ทัพ ได้เคลื่อนมาจอดอยู่หน้าประตูจวนสกุลหยาง ท่านแม่ทัพใหญ่ได้ก้าวลงจากรถม้า โดยมีภรรยาและบุตรสาวคนโตก้าวตามลงมาเพียงเท้ายืนได้มั่นคง ลั่วคังอันมองตรงไปยังหน้าประตูบานใหญ่ ด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย นานแค่ไหนแล้ว ที่นางไม่ได้มาเยือนที่นี่ คงมีเพียงขนมและของใช้บางอย่างเท่านั้น ที่นางส่งให้แก่สหายเก่า ที่กำลังจะกลายมาเป็นสามีของนาง ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้วทหารหน้าประตู รีบวิ่งลงมาโค้งกายให้แก่แขกผู้มาเยือน แน่นอนว่าเรื่องการมาของสกุลแม่ทัพ หยางฮูหยินได้แจ้งแก่เขาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว“ข้าน้อยขอคารวะท่านแม่ทัพใหญ่ เชิญด้านในขอรับ”ทหารหน้าประตู รีบผายมือให้แก่ชายซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ทรงนำของเมืองหลวง แค่กลิ่นอายที่แผ่ออกมา ก็ทำให้เขาราวกับเป็นมดตัวน้อย หาได้เทียบเคียงท่านแม่ทัพใหญ่ลั่วเจิ้งคัง ได้แม้เพียงเศษเสี้ยวลั่วเจิ้งคังพยักหน้ารับ ก่อนจะยื่นมือไปให้ภรรยาจับ สองสามีภรรยาเดินเข้าไปภายจวน โดยมีแม่ทัพสาวในชุดของสตรีเต็มตัว ก้าวตามพ่อแม่เข้าไป นี่คือเวลาที่บิดาของนางอยู่นอกบ้าน เขาจะเป็นชายที่อบอุ่นกับภรรยา ทั้งยังคงมีความสง่างามเยี่ยงนัก
อู๋เกอรับถ้วยน้ำตาล มาจากหลินม่อเฉิงด้วยมือที่ยังสั่นเทา เพราะภาพที่มันติดตาไม่หาย ในเมื่อท้องที่เคยกลมโต มีเด็กถูกพาออกมามีทั้งเลือดและไส้ ไม่สิ! สายสะดือเส้นยาวนั่นด้วยมันทำให้เขานึกถึงมารดา และพี่น้องที่เป็นสตรีในบ้าน ว่าต้องผ่านช่วงเวลานี้กันทุกคน และมันจะลำบาก ทั้งเสี่ยงอันตรายยิ่งนัก ชายชาติทหารเยี่ยงเขา ยังไม่สามารถอดทนได้ เท่าคนเป็นแม่เลยจริงๆลั่วคังอัน ช่วยประคองศีรษะของคนเจ็บให้สูงขึ้น เพื่อจะได้ดื่มต้มน้ำตาลแดงได้สะดวกขึ้น อู๋เกอช่วยเป่าให้มันอุ่นก่อน แล้วป้อนหญิงสาวด้วยมือที่ยังสั่นน้อยๆเสียงเด็กที่ร้องจ้าสงบลง โดยมีเสวียนเชียว ช่วยล้างตัวและห่อผ้าเอาไว้ เขาไม่สนว่าตอนนี้แม่ของทารก จะยังเนื้อตัวเปรอะเปื้อนอยู่ ชายหนุ่มรีบส่งห่อผ้าเข้าไปในอ้อมแขนที่ยังอ่อนแรง โดยมีหลีถงช่วยประคองแขนนางให้กอดลูกเอาไว้“เขาเป็นเด็กผู้ชาย เจ้ากอดเขาเอาไว้สักครู่ ทำความสะอาดตัวเจ้าแล้ว ค่อยป้อนนมให้แก่เขา”เสวียนเชียวบอกกับหญิงสาว ด้วยน้ำเสียงอบอุ่น นี่คือเด็กคนแรกในชีวิต ที่เขาทำคลอดและช่วยชีวิตไว้ได้อย่างหวุดหวิด“ข้ามิรู้จะขอบคุณพวกท่านอย่างไร ข้า...ขะ...ข้ามิได้อยากจะทำร้ายฉู่ผิง เพราะคว
ลั่วคังอันไม่ได้ใส่ใจต่อชายเจ้าของบ้าน เพราะไม่ว่าคนข้างใน คิดจะหนีไปที่ใด อย่างไรเสียก็ไม่มีทางรอดไปได้อยู่ดี ส่วนเป้าหมายนั้นนับว่าติดกับของพวกนางอย่างสมบูรณ์แบบ เท่ากับพวกนางล่อเหยื่อได้สำเร็จแต่ผิดคาดก็คงเรื่องของหญิงตั้งครรภ์ผู้นี้เท่านั้น ที่ได้รับผลพวงไปด้วยอย่างไม่ตั้งใจ ด้วยไม่คิดว่าชายผู้นั้นจะกล้าทิ้งภรรยาท้องแก่หลบหนีอันตราย โดยไม่ใยดีต่อความเป็นสามีภรรยา ชายหนุ่มทั้งหก ต่างแยกกันทำหน้าที่ของตนเองอย่างเร่งรีบ เพราะมันมิใช่แค่การผ่าเอาเด็กออก ซึ่งความเป็นไปได้ว่าจะรอดนั้นน้อยนิดยิ่งนัก แต่ก็ถือว่าพวกเขารับผิดชอบ ต่อเพื่อนมนุษย์ที่กำลังตกที่นั่งลำบาก อีกทั้งหน้าที่ของผู้ปกป้องแผ่นดิน จึงมิอาจเพิกเฉยต่อคนที่ไม่รู้เห็นในเรื่องนี้ไปได้หญิงสาวถูกอุ้มขึ้นวางบนโต๊ะตัวยาว ที่วางอยู่ตรงลานกว้าง โดยที่หนึ่งในชายหนุ่ม ได้ไฟก่อขึ้นไม่ห่างจากโต๊ะที่หญิงสาวนอนอยู่ ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทางด้านลั่วคังอันเอง ก็ได้วิ่งเข้าไปในตัวเรือน เพื่อที่จะเตรียมผ้า และสิ่งจำเป็นในการผ่าตัด“ข้าจะไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ”หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย ทว่าเสวียนเชียวกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น เขา