“อ่า...ข้าชอบให้ท่านอ๋องสัมผัสข้ายิ่งนัก โอว์...อ่า” หญิงสาวครางเสียงกระเส่า เมื่อมือหยาบกร้านนั้น ลากผ่านมาถึงเนินเนื้อของนาง ใบหน้างามสะบัดไปมา เมื่อติ่งสวาทที่ซ่อนอยู่ในกลีบเนื้อ ถูกสัมผัสด้วยนิ้วของเขา ชายหนุ่มโน้มกายลงชิดเต้าตึง ก่อนจะใช้ปากครอบครองเม็ดบัวสีหวาน โดยที่นิ้วของเขายังคงแทรกขึ้นลง ตามล่องกลีบบางอย่างเนิบช้า หญิงสาวเลื่อนมือไปลูบสัมผัส แผ่นหลังของชายคนรัก สลับจิกลงไปบนผิวเนื้อของขา เมื่อความเสียวซ่านแผ่กระจายไปตลอดร่างงาม ชายหนุ่มไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา นอกจากการปรนเปรอหญิงสาว ที่ร่ำร้องให้เขาเติบเต็มสิ่งที่นางต้องการ เขาไม่ได้ทำให้นางผิดหวัง สองร่างคลอเคลียกันมิห่าง จากบนรักที่เนิบช้าด้วยเล้าโลม เวลานี้มันร้อนแรงยิ่งกว่านั่งอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง สองร่างชายหญิงสลับกันอยู่บนล่าง เคลื่อนขยับเนิบช้าบ้างกระชั้นถี่บ้าง เสียงครางกระเส่าดังมิขาดห้วง ทำให้รสรักนี่ยิ่งตื่นเต้นและเสียวซ่านเกินจะบรรยายหญิงสาวรู้สึกว่ารสรักของนางในค่ำคืนนี้ มันดุดันและใหญ่โตจนนางคับแน่นไปทั้งท้องน้อยเลยทีเดียว ทว่านี่กลับทำให้นางรู้สึกสุขสม ชนิดนับครั้งมิถ้วนเลยก็ว
“เรียนท่านอ๋อง มีจดหมายจากคุณหนูชิงขอรับ” คล้อยหลังของชูเฟยไปแล้ว องครักษ์หนุ่มได้ก้าวเข้ามาในห้อง พร้อมยื่นส่งจดหมายจากสตรีของผู้เป็นนาย อ๋องหนุ่มตวัดสายตามองไปที่จดหมาย มือหนาคว้าเอามาเปิดออกอ่าน ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ ซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่มิทันจางหายไปตามร่างมารดา ที่จากไปได้ครู่หนึ่งแล้ว ดวงตาที่ยังคงแข็งกร้าว กวาดสายตามองไปตามตัวอักษร ก่อนจะยื่นส่งให้คนสนิททำลายทิ้งเสีย เขาต้องแสดงให้ทุกคนเห็นว่ายังปกติดีอยู่ รวมไปถึงสตรีที่เขาใช้อุ่นเตียง ก็ต้องไม่รู้เห็นถึงความเปลี่ยนไปของเขา “คืนนี้ข้าจะไปพบนาง”อ๋องหนุ่มเอ่ยขึ้นโดยไม่สนว่าคนสนิท จะเกิดคำถามใดในใจหรือไม่ เพราะเฉินเหว่ยจะเป็นตัวช่วยสำคัญของเขา ในค่ำคืนนี้และในทุกค่ำคืนที่เขาจะต้องออกจากจวน “ขอรับ ข้าน้อยจะไปแจ้งให้นางทราบ” องครักษ์หนุ่มรีบออกจากห้องไปในทันที เขาไม่คิดจะซักถามให้มากความ ว่าคืนนี้ผู้เป็นนายจะทำอย่างไร หากหญิงสาวร่ำร้องที่จะหลับนอนด้วยเช่นทุกครั้ง ที่พบหน้ากันระหว่างท่านอ๋องและคุณหนูชิงยามค่ำคืน ณ จวนรองเจ้ากรมการคลัง เรือนอวี่ถง ที่ปกติจะสว่างไส
“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อนขอรับ” เมื่อเห็นสายตาของชูเฟย องครักษ์หนุ่ม จึงรีบขอตัวออกจากห้องไปในทันที“ท่านแม่มีเรื่องอะไรหรือขอรับ” เมื่อคนสนิทออกจากห้องไปแล้ว อ๋องหนุ่มจึงได้เอ่ยถามมารดา ด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าใดนัก แต่เพราะคนตรงหน้าคือแม่ เขาจึงไม่อาจที่จะปฏิเสธจะพูดคุยด้วยไม่ได้“มานั่งนี่”ชูเฟยเรียกบุตรชาย ให้มานั่งคุยกัน นางรู้สึกปวดหัวนักกับเรื่องของบุตรชาย หากนางยังเพิกเฉยต่อไปอีก ตำแหน่งของนางกับบุตรชาย คงต้องเกิดการระส่ำระสายเป็นแน่“ว่ามาขอรับ”อ๋องหนุ่มเดินมานั่งลงตรงข้ามกับคนเป็นแม่ แล้วบอกให้นางพูด ในสิ่งที่อยากจะพูดเสียให้จบสิ้น เพราะสภาพร่างกายที่สมบูรณ์พร้อม ทำให้อารมณ์ของเขาไม่คงที่เท่าใดนัก“เจ้าไม่สามารถทำให้ลั่วคังอัน มาเป็นชายาได้ เจ้าก็ควรที่จะมองหาสตรีอื่นที่คู่ควร ส่วนบุตรสาวรองเจ้ากรมการคลัง ค่อยให้นางแต่งเข้ามาเป็นอนุ”ชูเฟยไม่อ้อมค้อมในเรื่องนี้ เพราะตอนนี้บุตรชายของชายารองของสามี กำลังที่จะได้ทายาทแล้ว หากบุตรชายยังคงเฝ้ารอ ที่จะช่วงชิงลั่วคังอัน เห็นทีตำแหน่งอ๋องที่บุตชายครอบครอง อาจหลุดมือไปก็เป็นได้“ข้ายังไม่คิดที่จะยอมแพ้เรื่องคังอัน นางแค่กำ
เมื่อเห็นแล้วว่าเจ้าบ้านตั้งรับ และมีคนลึกลับคอยเฝ้าจับตาอยู่ หัวหน้านักฆ่าจำต้องส่งสัญญาณ ให้คนของตนล่าถอยออกไปก่อน หากดึงดันลงมือกันจริงๆ คงไม่มีทางพาลมหายใจ ออกจากจวนแม่ทัพแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน“รู้ว่าทำไมไม่ได้ ก็ยังอยากที่จะลอง หรือคิดว่าข้าใช้เส้นสายของตระกูลหรืออย่างไร ถึงก้าวมาอยู่จุดนี้ได้ ช่างหยามกันเกินไปแล้ว”แม่ทัพสาวเอ่ยออกมา ด้วยน้ำเสียงปนขำขัน ก่อนจะดื่มชาอึกสุดท้ายหมด แล้วลุกขึ้นมองไปยังมุมมืด ที่อยู่ห่างจากตัวเรือนไม่มาก จุดนั้นจะมองเห็นหน้าห้องนอนของนาง ได้อย่างชัดเจนยิ่งนัก ลั่วคังอันทำเพียงยิ้มน้อยๆ ให้กับความมืดที่นางเพ่งมองอยู่“พวกมีตาแต่ไร้แวว คุณหนูอย่าได้ใส่ใจเลยเจ้าค่ะ”ชิงชิง เอ่ยกับผู้เป็นนาย ก่อนจะช่วยประคองให้ร่างงาม กลับเข้าไปภายในห้อง สายตาเอ็นดูที่ทอดมองมาจากความมืด รู้สึกขำขันต่อกิริยา ที่เต็มไปด้วยจริตของสตรีในหอห้อง ที่ปกติแล้วเขาไม่เคยเห็นในตัวของนางเท่าใดนักเมื่อประตูห้องปิดสนิท และแสงเทียนภายในห้องดับลง ร่างที่ซ่อนกายอยู่ยังมิได้หายไปในทันที เขาอยู่อย่างนั้นอีกว่าครึ่งชั่วยาม เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีมดแมลงตัวใด ก้าวล้ำเข้ามายังเรือนนี้อีกห้าวันถ
ดึกสงัด! ณ เรือนคังอันเงาร่างในความมืด ได้เคลื่อนกายเข้ามาภายในเรือน ของบุตรสาวคนโตจวนแม่ทัพ สายตาประดุจเหยี่ยวนักล่า ได้สอดส่ายสายตา มองไปรอบๆ ตัวเรือน ประหนึ่งนกฮูกยามราตรีที่เฝ้าคุ้มภัยรังนอน ใบหน้าที่ปกปิดด้วยหน้ากาก ไม่อาจบอกได้ว่าเขาคือใคร ทว่าเขากลับไม่ได้ทำการใด ให้เป็นที่รบกวนเจ้าของเรือน แต่เลือกที่จะเฝ้ามองหน้าประตูห้องนอน เจ้าของเรือนอยู่เงียบๆ ด้วยแววตาอ่อนเชื่อมหือ! เสียงการเคลื่อนไหวจากความมืด ทำให้ชายชุดดำเร้นกาย หายเข้าไปในเงามืด พร้อมเก็บซ่อนพลังปราณทั้งหมด ก่อนที่จะมีเงาวูบไหวหลายสาย เคลื่อนเข้าใกล้หน้าประตูห้องนอนของแม่ทัพสาว ทำให้คบไฟที่จุดส่องสว่าง วูบไหวตามแรงลมที่พาดผ่าน ทว่ามันยังคงไม่ได้ดับลงแต่อย่างใด“รนหาที่ตาย”ชายหนุ่มพึมพำเบาๆ ก่อนจะปล่อยไอสังหารออกมา และนั่นทำให้เงาสีดำวูบไหวเหล่านั้น หยุดนิ่งไปเพื่อค้นหาที่มาของไอสังหาร ที่แข็งแกร่งจนกดทับพวกเขาให้รู้สึกอึดอัด จนหายใจแทบไม่อิ่มท้องเลยทีเดียวทว่าพลังปราณอันมหาศาล ของชายชสวมหน้ากาก ที่ครอบคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ มันกระจายไปโดยรอบทั้งเรือน จึงยากนักที่จะหาจุดเริ่มต้นของสายพลังนั้นได้แม่ทัพสาวที่เพิ่งผลั
“มันก็เป็นเพียงรสชาติ ของการใช้ชีวิตเท่านั้นขอรับ ท่านอาสะใภ้กับเสียนจง จะได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว กว่าข้ากับลูกๆ จะก้าวมาถึงจุดนี้ ต้องผ่านความยากลำบากแค่ไหน นี่ถือว่าข้ายังเห็นแก่คำว่าสายเลือด และความหลงผิดที่ท่านอาสะใภ้ ได้ปลูกฝังในหัวของเสียนจง จำต้องได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องขอรับ”“เหอะ! ถ้าเจ้าจะทำขนาดนั้น ไม่ฆ่าข้าเสียเลยเล่า!”หญิงชราเอ่ยประชด ด้วยความไม่พอใจเท่าใดนัก นางอายุขนาดนี้แล้ว จะมาอยากเรียนรู้รสชาติชีวิตไปทำไมกัน“สิ่งนั้น...ก็สุดแท้แต่ท่านอาสะใภ้จะกระทำขอรับ”เอ่ยจบลั่วเจิ้งคังได้ลุกขึ้น ก้าวจากไปโดยไม่แม้แต่จะมองไปที่สองแม่ลูก หากไม่เพราะว่าต้องรอเป้าหมายสำคัญ หญิงชราไม่ต้องมาร้องขอความตายจากเขาหรอก เพราะเขาจะมอบมันให้ ตั้งแต่รู้จุดประสงค์อันน่ารังเกียจของนางแล้ว“พี่ชาย ท่านตั้งใจจะส่งข้าไปไกล แล้วไม่คิดว่าครอบครัวของข้า จะร่ำร้องหาความเป็นธรรมหรือ”ลั่วเสียนจง รีบยกครอบครัวขงตนเองขึ้นมาอ้างบ้าง พี่ชายทำเพื่อครอบครัว แล้วเขาเล่า...เขาก็มีครอบครัวเหมือนกัน“เจ้าอยากให้เรื่องนี้ถึงทางการเยี่ยงนั้นรึ!” ลั่วเจิ้งคัง ย้อนถามน้องชายด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ“เอ่อ...ข้า” ลั่วเสีย