Beranda / วาย / มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก / บทที่ ๒ แผนเพิ่มพูนความรัก

Share

บทที่ ๒ แผนเพิ่มพูนความรัก

last update Terakhir Diperbarui: 2024-10-30 18:10:17

เขาเป็นเด็กที่เกิดมาท่ามกลางสภาวะสงคราม แม้ผ่านมาเพียงสองปีมันจะจบลงทว่ามันไม่แปลว่าเศรษฐกิจจะฟื้นฟูขึ้นมาในชั่วพริบตา เพราะมันเป็นช่วงเวลาอันไกลพ้นและสั้นกุด เขาจึงไม่สามารถจำหน้าพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเองได้ ญาติหลายต่อหลายคนที่มาร่วมงานศพขนาดย่อมในวัดเล็ก ๆ กลางพระนครต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพ่อแม่ซึ่งป่วยออด ๆ แอด ๆ ของเขาตั้งใจเลี้ยงดูลูกชายเพียงคนเดียวมากแค่ไหน สิ่งที่พวกท่านหลงเหลืออยู่คงจะเป็นเลือดที่ไหลเวียนอยู่และชื่อสกุล

พูนไม่อาจจำได้ว่าตัวเองเมื่อครั้งอายุสิบขวบรู้สึกเศร้าโศกขนาดไหน บางทีอาจจะไม่สมควรเป็นวัยที่รู้จักความเศร้าจากความสูญเสียด้วยซ้ำไป งานวันนั้นเขาถูกจับแต่งตัวจากคุณย่าที่ยังไม่คุ้นหน้า และถูกจูงมางานเมื่อถึงเวลา ร่วมงานสีดำตั้งแต่ต้นจนจบโดยที่ในหัวมันรู้สึกว่างเปล่าพิกล รู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวเองเลย

‘น่าสงสาร เด็กตัวแค่นี้เอง’

‘แล้วใครจะรับไปเลี้ยงต่อล่ะ’

‘วัยกำลังโตเสียด้วย’

พูนในวัยเด็กพร้อมชุดเสื้อสีดำนั่งแกว่งขามองพื้นศาลาขณะรอกลับในช่วงค่ำหลังจากร้องไห้จนไม่มีน้ำตาหลงเหลืออยู่ เขาเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าต่อจากนี้เขาจะไปอยู่กับใคร เขาได้ยินญาติเหล่านั้นพูดว่าเขาอาจจะถูกส่งตัวไปอยู่กับปู่ซึ่งไม่ได้ติดต่อกับพ่อมานานมากแล้ว พ่อแม่เขาเองก็พอมีสินทรัพย์มรดกอยู่ประมาณหนึ่ง แต่ขึ้นชื่อว่าอยู่ในภาวะหลังสงคราม เงินทองที่ว่านั้นไม่ได้มีมากมายนักหรอก ป้าเหล่านั้นพูดออกมา

มีคนเข้ามาทักทายบ้าง แสดงความเสียใจบ้าง แม้มันจะเป็นงานของพ่อแม่แท้ ๆ แต่เขาก็เริ่มง่วงงุนขึ้นมาจนอยากจะกลับบ้านไปนอนแล้วสิ

“หนูจ๊ะ”

‘?’

เสียงทุ้มต่ำกล่าวขึ้น พูนในวัยเยาว์จึงเงยหน้ามามองอย่างเบื่อหน่าย แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าทำให้เขาสงสัยขึ้นมาแทน ทำไมเสียงเหมือนผู้ชายแต่แต่งหน้าทาปากเหมือนผู้หญิง

“ต่อจากนี้มาอยู่กับน้านะจ๊ะ”

พูนกำลังงงงวยในหลาย ๆ ความหมาย เมื่อสักครู่เขาได้ยินแล้วว่าอีกฝ่ายคือเจ้าของเสียง และเมื่อสังเกตดูดี ๆ แม้ภายนอกจะรวบผมเป็นมวย หน้าตาสะสวย แต่ฝ่ามือเต็มไปด้วยเส้นเลือดพร้อมข้อนิ้วชัดเจน ไม่นานก็มีคุณลุงร่างท้วมอีกคนเดินเข้ามาย่อตัวลงอีกคนตรงหน้าเขา

“ไม่ต้องกลัวหรอก ลุงเป็นพี่ชายของพ่อหนูเอง ต่อจากนี้มาอยู่ด้วยกันนะ”

คืนนั้นแทนที่ตัวเขาจะถูกคุณย่าที่ไหนก็ไม่รู้เดินจูงมือกลับไปอยู่บ้านหลังเก่าคนเดียว กลายเป็นว่ามือทั้งสองข้างถูกจับจูงโดยพ่อใหม่ทั้งสองคน และเขาจะไม่บอกว่าตัวเองขณะเดินทางบนรถไฟเผลออาเจียนเพราะเมารถหรอกนะ เกิดมาทั้งชีวิตพึ่งรู้นี่แหละว่าตัวเองอยู่บนยานพาหนะทำนองนี้ไม่ได้

พ่อเทียบ ทำงานเป็นพ่อค้าขายบะหมี่หมูแดงอยู่ที่พิษณุโลกซึ่งเป็นบ้าน เมื่อน้องชายเสียชีวิตจึงปิดร้านมาร่วมงานในพระนครเป็นการชั่วคราว และป๊าอำพัน อดีตนักแสดงงิ้ว ปัจจุบันผันตัวมาเป็นลูกมือของพ่อเทียบ

เพราะความไม่คุ้นเคยเขาจึงได้แต่เก็บข้อสงสัยเอาไว้ในใจ ว่าทำไมพ่อกับป๊าถึงเป็นผู้ชายทั้งคู่ รวมไปถึงเหตุผลว่าทำไมถึงมารับเลี้ยงเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนคนได้รางวัลอย่างไรอย่างนั้น

เขาถูกพาตัวมาอยู่ในใจกลางเมืองพิษณุโลกซึ่งไม่ได้มีโคมไฟระย้า หรือรถรามากมายเหมือนในเมืองกรุง ซ้ำยังคงเต็มไปด้วยต้นไม้และบ้านหลังเล็กหลังน้อยที่ตั้งห่างออกจากกันเพื่อปลูกผักสวนครัวเอาไว้กินกันในบ้าน

แรกเริ่มเดิมทีเขาไม่ใช่คนพูดน้อย ทว่าอาทิตย์แรกที่มาอยู่บ้านเขาทำได้แต่ชะเง้อดูว่าพวกผู้ใหญ่เขาทำอะไรกัน และมองเหล่าลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามานั่งตามโต๊ะที่ถูกจัดเอาไว้ตามคันร่มยักษ์

เด็กชายพูนนอกจากจะได้เห็นยังได้ยินสำเนียงการพูดแปร่งหูที่ต่างไปจากชาวพระนครนิดหน่อย คงเพราะเป็นช่วงที่ยังพูดไม่คล่องจะพูดคำใหม่จึงต้องอิงตามสิ่งที่ได้ยินมา

“พูนจ๊ะ”

“เฮือก!?”

เด็กชายเสื้อโปโลกางเกงขาสั้นสะดุ้งเฮือก หันขวับไปมองปะป๊าที่เดินมาทัก หลังไปล้างไม้ล้างมือมา อำพันย่อตัวมองเด็กน้อยตัวเกร็ง เขาเข้าใจได้ถึงความรู้สึกอันไม่คุ้นเคย

ที่ผ่านมาเขากับพี่เทียบด้วยความตื่นเต้นที่จะมีสมาชิกใหม่เป็นเด็กชายตัวน้อยเข้ามาร่วมชายคาจึงพาหนูพูนไปห้างร้านซื้อของยกใหญ่โดยไม่ทันได้สังเกตว่าเด็กน้อยกำลังกลัวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันแบบนี้

“ป๊าเห็นว่ามีคนย้ายมาอยู่ที่บ้านตรงหัวมุม ป๊าฝากพูนเอาบะหมี่ไปให้ได้ไหมจ๊ะ?”

“ดะ...ได้จ้ะ”

อำพันยิ้มกว้างก่อนจะขอตัวไปบอกพี่เทียบให้ตระเตรียมของใส่ปิ่นโตสำหรับเยี่ยมเพื่อนบ้านคนใหม่ พวกเขาอยู่ที่นี่มานานจึงอยากทำอะไรเป็นของขวัญต้อนรับ และก็เผื่อว่าอาหารจะถูกปากจนบ้านนั้นแวะเวียนมาซื้อ

พูนซึ่งได้รับภารกิจจึงมานั่งรอหน้าบ้าน มีพวกลุงเมาแต่หัววันเดินมาทักทายตามประสา นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่ได้ลองคุยกับคนอื่นนอกจากพ่อกับป๊า

“บ้านตรงหัวมุม แถวศาล...”

พูนท่องประโยคในหัว มันไม่ได้ไกลจากระยะสายตามากเพียงแต่เขากลัวว่าตัวเองจะลืมจนหลงทาง

จนในที่สุดเขาก็มาถึง มันเป็นบ้านหลังเก่าที่โครงทำจากไม้และใช้สังกะสีเป็นผนัง หรือจะเรียกว่ากระต๊อบเลยก็ยังได้

“เอ้า! เจ้าหนู มาหาใครล่ะเนี่ย”

“ป๊าให้เอาบะหมี่มาให้จ้ะ”

“ขอบคุณมากเลยนะจ๊ะ”

คุณป้าคนนั้นเอาปิ่นโตไปเปิดดูก่อนจะแสดงสีหน้าดีใจ เขาบอกที่อยู่ร้านไปเมื่อเจ้าหล่อนถามก่อนจะได้เวลากลับ พูนเดินตัวเปล่าเตะฝุ่นไปเรื่อยก่อนจะเห็นว่ามีเด็กคนหนึ่งวิ่งสวนเข้าไปทางกระต๊อบหลังนั้น คงจะเป็นลูกของคุณป้าคนนั้นกระมัง

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

เขาอยู่ด้วยอารมณ์เนือย ๆ มาตลอดสองปีมันไม่ง่ายที่จะเปิดใจทั้งหมด จนเข้าเรียนชั้น ม.๑ นั่นจึงพอทำให้เขาเริ่มมีสังคมมีเพื่อนขึ้นมาอย่างเป็นกิจจะลักษณะบ้าง และมันก็ทำให้เขาไม่หวาดกลัวเมืองพิษณุโลกอย่างที่เคยเป็น

แต่ด้วยความที่ไม่ใช่คนชอบเที่ยวเล่นเมื่อเรียนเสร็จตอนบ่ายสาม หากไม่มีนัดเตะตะกร้อก็จะตรงกลับบ้านมาช่วยงานร้านบะหมี่ของพ่อทันที ช่วยจดรายการอาหารบ้าง ช่วยล้างจานหลังครัวบ้างแล้วแต่วันไหนลูกค้าเยอะลูกค้าน้อย รวมไปถึงเป็นคนคุ้มกันพ่อเทียบไม่ให้เอาอีโต้สับหัวลูกค้าที่แอบแต๊ะอั๋งป๊าอำพัน เป็นงานที่เหนื่อยพอสมควรเลยเชียว

“พูน พ่อฝากเอาขยะไปทิ้งทีนะ”

“จ้ะ”

หลังปิดร้านในช่วงเย็นประมาณห้าโมงเย็นจะมีขยะสดบางส่วนจากการปรุงอาหาร จึงเป็นเขาที่รับหน้าที่เดินเอามันไปทิ้งลงถังหน้าปากซอย

“อันนี้ ใช่ของพี่รึเปล่าจ๊ะ?”

“หือ?”

พูนวัยสิบสองขวบหันไปมองเด็กชายตัวจิ๋วซึ่งเดินเตาะแตะ ก้มหยิบเหรียญสตางค์ยื่นมาทางเขา เมื่อตรวจสอบดูในกระเป๋ากางเกงตัวโคร่งมันก็หายไปจริง ๆ

“ใช่ ขอบใจนะ”

“พี่ย้ายมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอจ๊ะ ฉันไม่เคยเห็นเลย?”

อีกฝ่ายเป็นเด็กซึ่งอายุห่างจากเขาประมาณปีสองปีเห็นจะได้ ถ้าจำไม่ผิดคงจะเป็นเด็กจิ๋วที่วิ่งสวนทางเขาไปทางกระต๊อบหลังนั้น

“ฉันย้ายมาเมื่อสองปีที่แล้ว”

“อ๋อ พี่ชายร้านบะหมี่ใช่ไหมจ๊ะ?”

“ใช่”

พูนได้ยินเด็กน้อยถามเจื้อยแจ้วก็ชักจะทำตัวไม่ถูก ปกติเจอแต่เพื่อนที่โรงเรียน และเพราะเป็นม.๑ จึงไม่มีรุ่นน้องให้สนทนาพาที ไหนจะสายตากลมแป๋วที่จ้องมาอย่างแปลก ๆ อีก หรือหน้าเขาจะยังมีเศษผักชีติดอยู่หลังมื้อเย็น

“พี่ชาย เป็นลูกของเจ้าของร้านบะหมี่เหรอจ๊ะ?”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

“แต่คุณน้าเขาเป็นผู้ชาย มีลูกกันไม่ได้นะจ๊ะ”

“ฉันเป็นลูกเลี้ยงน่ะ”

พูนตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะใช่ว่าเขาจะเจอคำถามแบบนี้เป็นครั้งแรก เรียกได้ว่าตั้งแต่เพื่อนทั้งห้องรู้เรื่องครอบครัวก็ตีได้เลยว่าตลอดปีการศึกษาเขาจะสามารถมีเพื่อนได้สักกี่คน ไม่เกี่ยวหรอกว่าตัวเขาจะเป็นมิตรแค่ไหน

การที่มีพ่อเป็นผู้ชายและแม่เป็นกะเทยอย่างที่ใครเขาเรียก มันคงไม่เจริญหูเจริญตาและเป็นที่ขบขันในสายตาคนอื่น แต่เขาพอจะชินแล้ว เพราะก็เห็นอยู่ว่าคนที่ล้อเลียนมันก็มานั่งกินที่ร้านเพื่อมองป๊าอำพันออกจะบ่อย

พูนคิดว่านั่นจะเป็นบทสนทนาเพียงแค่ครั้งเดียว ทว่าหลังจากนั้นทุกวันเขาก็จะเห็นเจ้าเด็กจิ๋ววิ่งต๊อก ๆ ถือห่อขยะมาทิ้งในถังเดียวกันทุกวันพร้อมพูดคุย แม้เขาจะคิดว่าการคุยหน้าถังขยะมันออกจะฉุนจมูกไปสักหน่อย แต่มันก็แค่ครู่เดียว

นับวันความสนิทก็คล้ายจะเพิ่มมากขึ้น จนเขาต้องพากันย้ายมานั่งเล่นกันในบ้านทุกเย็นแทน ซึ่งพ่อกับป๊าก็ยินดีต้อนรับทั้งยังมีฝากกับข้าวให้ไปฝากที่บ้านทุกครั้ง

“จะออกจากโรงเรียนเหรอ?”

“จ้ะ ช่วงนี้แม่เขาบอกไม่ค่อยมีลูกค้า เลยต้องหยุดไปก่อน”

พูนไม่รู้ว่ามารดาของเด็กชายทำอะไรแต่มันคงไม่ได้มั่นคงมากมายนัก ทีแรกเขานึกว่าเมื่อเวลาผ่านไปเราจะได้มาเรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกันเมื่อเจ้าน้องขึ้นมัธยมเสียอีก

ด้วยว่าเขามีน้องคนนั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งเกือบจะทุกเย็น มื้อเที่ยงก็กลับมากินข้าวร้านพ่อ ส่วนค่าขนมเขาจะพยายามเก็บเพื่อหาซื้ออะไรมาเผื่อ

รวมไปถึงก็เป็นเด็กคนนี้ที่ช่วยให้เขามีความกล้ามากขึ้นในการอยู่ร่วมกับครอบครัวที่ถือว่าเป็นสังคมใหม่ กล่าวกันตามตรงแม้ปากจะเรียกพ่อ-ป๊าทุกเช้าเย็นที่มันก็รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ ๆ คล้ายกับเสี้ยนชิ้นเล็ก แม้ไม่เจ็บมากมายแต่ชวนให้รำคาญใจ การได้สนทนากับน้องถือเป็นตัวต่อชิ้นสำคัญในชีวิตช่วงนั้น

‘ทำไมไม่ลองถามไปตรง ๆ ล่ะจ๊ะ คุณลุงสองคนนั้นเขาใจดีจะตาย’

‘พี่ไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไง’

‘เรื่องยังไม่เกิดเลยนะจ๊ะ แค่ลองเอง ไม่เสียหายหรอก’

‘พี่ขอบคุณเรามากจริง ๆ ถ้าไม่มี___ พี่คงไม่รู้จะไปเล่าให้ใครฟัง’

ไม่ว่าจะนึกเท่าไรก็ยังนึกไม่ออก ชื่อชื่อนั้น คงจะมีแต่แววตาสดใสราวดอกทานตะวันและความซื่อตรงที่เขาจดจำได้มาจนถึงปัจจุบัน

นอกจากเรื่องจริงจังแล้วส่วนใหญ่ที่พวกเขาสนทนากันก็มักจะเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน เรื่องราวสามัญทั่วไปที่เห็นกันได้ทุกเช้าที่ตื่นมา แต่น่าแปลกที่มันไม่เคยทำให้เขารู้สึกเบื่อขึ้นมาได้เลย

‘เราว่าเป็นตำรวจแล้วเท่เหรอ?’

‘จ้ะ ใส่เครื่องแบบ ตามจับโจรบนหลังม้า เท่จะตายไป พี่ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?’

‘กะ... ก็เท่ดีนะ เราเลยอยากเป็นเหรอ?’

‘ใช่จ้ะ แล้วพี่อยากทำอะไรเหรอจ๊ะ?’

‘เป็นนักล้างจานล่ะมั้ง’

พูนกล่าวตามความเป็นจริง เขายังไม่มีความฝันอยากจะทำอะไรหรอก เพราะจะอาชีพไหน ๆ มันก็คล้ายคลึงและดูเหน็ดเหนื่อยมันไปเสียหมด ก็จะมีแต่ล้างจานร้านบะหมี่นี่แหละที่แม้จะปวดตูดตอนนั่งสักหน่อย แต่พอลากพัดลมมาเป่าคลายร้อนก็สบายแล้ว

แต่ตำรวจ...ลองพยายามดูสักหน่อยก็ไม่เลว

พออยู่กับเจ้าน้องนานวันเข้า เขารู้สึกว่าจะได้นิสัยตรงแหน็วไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดติดมาด้วยเลยเชียว มารู้ตัวอีกทีเขาก็สามารถเรียกพ่อทั้งสองว่าเป็นครอบครัวได้อย่างเต็มปาก กล้ามองโลกในแง่บวกมากขึ้นจนถึงกับหันไปสงสัยตัวเองที่เคยระแวงไปเสียทุกสิ่ง

“แล้วเรามาบ้านพี่ทุกวัน พ่อกับแม่จะไม่ว่าเอาเหรอ?”

“ไม่ว่าหรอกจ้ะ เพราะมาทีไรได้ของฝากกลับไปตลอดเลย”

“ฮ่า ๆ งั้นเหรอ”

พูนหัวเราะในคำตอบอันใสซื่อของเด็กชาย อีกฝ่ายก็พูดมากมายไป ที่พ่อกับป๊าเขาให้ก็เป็นเพียงบะหมี่ส่วนหนึ่งที่เหลือจากการขายเท่านั้นเอง ไม่ได้ดีเด่อะไรเลย แต่บ้านเจ้าตัวก็ยังจะฝากมาขอบคุณอยู่เป็นนิจ

พูนใช้ชีวิตแบบนี้มาเรื่อย ๆ มีแวะเอาของไปฝากที่กระต๊อบสังกะสีบ้างเป็นบางครั้งบางคราวจนได้เจอเหล่าน้องคนเล็กของเจ้าตัว ได้เล่นด้วยกันจนเรียกได้ว่ามันกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว

“วันนี้น้องเขาก็ไม่มาเหรอจ๊ะ?”

“จ้ะป๊า ฉันไปดูที่บ้านแล้ว แต่เงียบกริบเลย”

เข้าสัปดาห์ที่สองที่เจ้าน้องไม่มาเล่นด้วย ไปที่กระต๊อบก็ไร้วี่แวว เขาอุตส่าห์เตรียมซื้อขนมมารอทุกวัน แต่สุดท้ายก็ต้องเก็บกินเอง และวันนี้ก็คงเป็นอีกวันที่ต้องทำเช่นนั้น

“พ่อลองไปถามกำนันมา เห็นว่าย้ายออกไปแล้วนะ”

“จริงเหรอ...”

พูนตกใจเล็กน้อยแต่ที่ยิ่งกว่าคือความว่างเปล่าที่ปรากฏขึ้น ต่อให้จะเคยเสียคนที่รักไปแล้วแต่มันก็ไม่สามารถทำใจยอมรับได้เร็วเลย ถึงมีเพื่อนที่โรงเรียนคอยพูดคุยเล่นกีฬาสนุกสนานแต่คล้ายว่ามันขาดอะไรไปบางอย่าง ตอนนอนเขาจึงได้แต่ครุ่นคิดนอนพลิกตัวไปมาหลายคืนจนป๊าอำพันเป็นห่วงขึ้นมา

“พูนลูก อยากเจอน้องเขามากเลยเหรอจ๊ะ?”

“จ้ะ”

“เหมือนพ่อสมัยหนุ่ม ๆ เลยนะ ตอนอำพันบอกจะย้ายคณะ”

“พี่! ลูกชายเขาเครียดอยู่ พูดจาเดี๋ยวเถอะ”

“ฮ่า ๆ จะเครียดไปทำไม เดี๋ยวสักวันถ้าเป็นเนื้อคู่ก็ต้องได้เจออยู่ดี เหมือนพ่อกับป๊าไง”

คงเพราะมีพ่อเทียบซึ่งพื้นฐานเป็นคนอารมณ์ดี เขาจึงไม่ได้มองว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาระดับโลกแตก กลับกันยังอยากเชื่อคำว่า ‘เนื้อคู่’ ที่พ่อพูดขึ้นมาทั้งที่ไม่เชื่อในเรื่องโชคชะตามาก่อนเสียด้วยซ้ำ

“ลูกบอกว่าน้องชอบอะไรที่มันเท่ใช่ไหมล่ะ ลองทำแบบนั้นดูสิ”

“อืม...”

“อย่าไปเชื่อพ่อเขามากนะจ๊ะพูน เราทำเพราะตัวเองอยากทำก็พอแล้ว ส่วนเรื่องน้องเขาก็ปล่อยใจสบาย ๆ นะจ๊ะ”

“จ้ะ!”

ถึงจะเป็นฤดูหนาวที่ภายนอกเย็นเฉียบ หรือที่ผ่านมาเขาจะเจอเรื่องราวมากมายแต่เพราะมีไออุ่นจากพ่อทั้งสองคนเขาจึงรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งมากพอที่จะมองทุกปัญหาเป็นความท้าทายมากกว่าอุปสรรค แม้มันจะเป็นส่วนเล็ก ๆ ใต้จิตสำนึก แต่เขาก็หวังว่าสักวันเราจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   เรื่องนอกวัง ๓ โคมขาว

    เหตุผลที่พูนยังไม่ให้ศรีภรรยาไปพบพ่อกับป๊านั้นนอกจากอาการน้องน้อยไม่ค่อยจะสู้ดีแล้ว ทั้งสองคนเองก็ไม่ว่างเช่นกันเพราะช่วงนี้เป็นช่วงเวลาจบการศึกษาของโรงเรียนกลาง การไปมอบประกาศณีบัตรหรือการพูดสุนทรพจน์จึงจำเป็นต่อการส่งต่อเจตนารมณ์ ส่วนเขาก็ได้แต่นั่งทำงานงก ๆ อยู่ในห้อง การมาฟูเหรินได้วันละครั้งแบบนี้ก็ถือว่าบุญหัวแล้วตอนนี้เป็นยามเย็นของวันซึ่งเขาชวนภรรยามาเดินเล่นในสวนตำหนักมุกอันใกล้ถึงจะไม่ได้ใหญ่เมื่อเทียบกับสวนสาธารณะกลางหรือป่าเขาที่ชาวบ้านชอบไปเดินเก็บพืชผักแต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าอุดอู้อยู่ในตำหนักเขาทราบมาจากหัวหน้าช่างแต่งกายว่าฟูเหรินวันทั้งวันไม่ยอมออกมาจากนอกห้องเลยนอกจากจะมีอาจารย์มาสอนหนังสือ ซ้ำยังมีบางครั้งที่แอบไปร้องไห้อยู่คนเดียว พอชาวใช้จะขอเข้าไปทำความสะอาดเพื่อแอบดูอาการเจ้าตัวก็เงียบไม่ยอมเปิดห้อง ซ้ำยังบอกให้สาวใช้วางถังน้ำอุปกรณ์เอาทิ้งเอาไว้จะทำเองอีกต่างหากและวันนี้ตอนมาถึง ก่อนที่จะเอ่ยเรียกเขาพึ่งมาได้ยินเสียงร้องไห้นั้นชัด ๆ มันไม่มีคำตัดพ้อหรือเรื่องราวที่ถูกพูดออกมาระบายความเศร้า มีเพียงสะอื้นไห้แต่เพียงเท

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   เรื่องนอกวัง ๒ โคมเขียว

    สถานที่อันลึกลับและแฝงไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนจากไฟสลัวในอาคารไม้หลังเก่า ตกแต่งปิดบังอายุด้วยการตกแต่งด้วยผ้าหลากสีสัน เสียงดนตรีจีนวัยเยาว์ออกมาจากห้องซึ่งมีราคาสูงโดยที่แผนนั้นรู้ดีว่ามันกำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครวญครางในไม่ช้าเขาเดินเข้ายังภายในร้านแน่นอนว่าหากไปพบขุนนางในสภาพชุดเก่าเยินแบบนี้ละก็จากที่จะได้เงินคงจะได้คำเหยียดหยามด่าทอมาแทน ดังนั้นเขาจึงมาขอยืมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มีสารร่างที่พอจะดูได้ขึ้นมาบ้าง กระนั้นที่แห่งนี้ก็ใช่ว่าจะมีเงินถุงเงินถังมาซื้อเครื่องประดับหรือผ้าดี ๆ มาตัดเย็บนักหรอกผ้าเนื้อหยาบสีสดใสถูกสวมแทนที่เสื้อใยฝ้ายใกล้ขาด ใบหน้าเปื้อนดินเปื้อนผงถ่านถูกทำความสะอาดและแต่งแต้มด้วยผงสี จนในตอนนี้ตัวเขาในกระจกกลายเป็นคนละคนกับชาวนาทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินคนนั้นอย่างสิ้นเชิงพรมลายดอกไม้พื้นเก่าเกิดเสียงแผ่วเบาเมื่อฝ่าเท้าเปล่าคู่บางก้าวผ่านธรณีประตูออกมาจากห้อง ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าราวกับจงใจให้เวลาล่วงผ่านไปเพื่อสัมผัสความสงบตระเตรียมใจ ก่อนจะเผชิญกับพายุโหมกระหน่ำ บรรยากาศที่เย็นเยือกยามราตรีส่งให้ทุกอย่างดู

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   เรื่องนอกวัง ๑ โคมแดง

    แดนแห่งเสรีชน แดนอันเปิดกว้างสำหรับความคิดและการแสดงออกอย่างเสรีท่ามกลางวัฒนธรรมอันเคร่งครัดของสังคมจีน สถานที่ที่ผู้คนสามารถดำรงชีวิตตามวิถีทางของตนเองได้โดยปราศจากการกดขี่ ประหนึ่งสรวงสวรรค์ของผู้ที่ต้องการความเป็นอิสระในการเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง ความคิดสร้างสรรค์และความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้รับการยอมรับและเฉลิมฉลอง เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นในการสร้างสังคมที่เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และให้โอกาสทุกคนในการเลือกทางเดินชีวิตของตนเองกระนั้นที่ใดมีปวงชนที่นั่นย่อมมีผู้นำ ดินแดนอันกว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ถูกปกครองด้วยกษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ถูกคัดเลือก เป็นผู้เดินนำหน้าทุกผู้ทุกคนมายังดินแดนอันเคยแร้นแค้นแห่งนี้และยืนหยัดเพื่ออุดมการณ์ของตนเอง กษัตริย์ปกครองเคียงคู่พระมเหสีเพียงพระองค์เดี๋ยวโดยไร้ซึ่งอนุ สำหรับอาณาจักรอื่นแล้วการมีสนมคือการถ่วงอำนาจ คือการคัดเลือกวัตถุดิบชั้นเลิศในด้านหน้าตาและคุณภาพขึ้นมาวางบนจานเพื่อให้รสชาติอาหารออกมากลมกล่อม แต่แดนเสรีชนไม่ใช่แบบนั้นหากสามัญชนผู้ใดมีชู้จะถูกประณาม หากเศรษฐีผู้มั่งคั่งมีอนุจะถูกผู้คนทอดท

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทพิเศษ ๑๓ หงส์โบยบิน

    เทียบ × อำพัน“ป๊า ฉันขอลาออกจากคณะ” คนเป็นพ่อซึ่งนั่งจิบเหล้าแกล้มยำแตงกวาถึงกับไอสำลักเมื่อไอ้ลูกชายหลังจากเกิดเรื่องเมื่อวานก็ดันมาขอลาออก พวกเขายังเหลืองานที่นี่อีกตั้งหลายวันกว่าจะหมดสัญญา แถมงานต่อไปยังเป็นการไปแสดงถึงใจกลางประเทศอย่างพระนคร อนาคตสดใสแบบนี้ทำไมอาไจ่มันถึงมาลาออก“ลื๊อมีคนมาทาบทามรึ?”“ไม่จ้ะ ฉันจะออกมีผัว”“แค่ก!...แค่ก!...”พ่อเฉิงคราวนี้นอกจากจะไอโขลกแล้วยังตกใจตาโตมองเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่แววตาไม่สั่นคลอนสักนิด ไอ้เขาอยู่กับมันมาก็หลายปี รู้หมดนั่นแหละว่ามันชอบอะไรไม่ชอบอะไร แต่จู่ ๆ มาบอกลาออกกะทันหันด้วยเหตุผลนั้นใครเขาจะไม่ตกใจกันบ้างเล่า!นอกจากพ่อเฉิงจื่อที่รู้เรื่องแล้วคนอื่น ๆ บางส่วนในคณะก็บังเอิญมาได้ยินบทสนทนาก่อนจะกวักมือเรียกเพื่อน ๆ นักแสดงคนงานมาดูสถานการณ์ด้วยโดยมีหัวหอกคืออาเจ๊ใหญ่ไพลินที่จับตามองน้องชายผู้จะออกไปล่าฝัน เก่งมากอาตี๋! ขนาดเจ๊อยากมีผัวก็ยังไม่สามารถมุ่งมั่นได้ขนาดนี้เลย!“แล้วใครจะมาเป็นผ

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทพิเศษ ๑๒ หงส์บนดิน

    เทียบ × อำพันแสงไฟจากโคมกระดาษสีแดงสดส่องสว่างรอบเวทีไม้ที่ถูกสร้างขึ้นซึ่งประดับประดาไปด้วยป้ายแขวนเครื่องเงินเครื่องทองเทียมเล่นแสงเติมเต็มความมีชีวิตชีวา กลิ่นธูปหอมอบอวลในอากาศสร้างบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนในชุมชนทั้งเด็กผู้ใหญ่ต่างนั่งล้อมวงกันบนเสื่อกกทอมือหรือเก้าอี้ไม้เก่า มองดูเวทีที่พาดแขวนตกแต่งด้วยผ้าแพรสีแดงสดพร้อมฉากหลังที่วาดภาพทิวทัศน์ในฝันอย่างวิจิตรถึงทิวทัศน์อันงดงามของสวนจีนโบราณซึ่งประกอบขึ้นมาจากเส้นหมึกอันละเอียดอ่อนของพู่กัน สร้างความลึกซึ้งซึ่งสื่อถึงความพิถีพิถันในทุกมุมของภาพวาดเสียงกลองและฉาบดังขึ้นเป็นสัญญาณให้ผู้คนต่างพากันรวมตัวหน้าศาล บรรยากาศรอบเวทีเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยที่เจือไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อม่านเปิดออก นักแสดงงิ้วในชุดเสื้อผ้าอันงดงามปักลวดลายทองคำสีสันสดใสดึงดูดสายตา ก้าวออกมาด้วยท่วงท่างามสง่า เสียงร้องของนักแสดงที่ไพเราะทรงพลังดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ เรียกความสนใจจากผู้คนเดินไปมาและตรึงผู้ชมหน้าเวทีได้อย่างไม่ยากเย็น“林妹妹,你總是這麼憂愁,何必呢?”

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทพิเศษ ๑๑ ทิวเขา

    ตั้งแต่รับสองเด็กเข้ามาพวกเขาก็มีโอกาสได้ตระเวนเที่ยวต่างจังหวัดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพิษณุโลกบ้านของพี่พูน นครปฐมซึ่งเป็นจังหวัดใกล้เคียง หรือจะทะเลที่สมุทรปราการพวกเขาก็พาเด็ก ๆ ไปเปิดหูเปิดตามาแล้วยิ่งในพระนครยิ่งไม่เหลือ รบรามที่ได้เข้าไปดูงานเขียน งานสถาปัตยกรรมในวัดวาอารามค่อนข้างตื่นตาตื่นใจ รวมไปถึงการได้วิ่งเล่นว่าวในสนามหลวงกับพ่อก็เป็นกิจกรรมที่เด็ก ๆ โปรดปรานเช่นกันในวันนี้เองก็เป็นการพักผ่อนอีกครั้งซึ่งพวกเขาจะเดินทางขึ้นเหนือไปเที่ยวดูธรรมชาติที่เชียงใหม่ ถึงคุณปู่จะสุขภาพถดถอยไปตามวัยแต่เด็ก ๆ ก็รับปากแล้วว่าจะซื้อโปสต์การ์ดซื้อของท้องถิ่นกลับมาฝากแน่นอน“เด็ก ๆ แปรงฟันมาแล้ว ห้ามกินขนมแล้วนะ”“จ้ะ/คร้าบ”รบตอบฉะฉานในขณะที่พี่ชายอย่างรามกล่าวด้วยความไม่สบายอารมณ์เท่าไรนักเพราะเจ้าตัวบ่นกระปอดกระแปดว่าอยากกินทองม้วนที่ซื้อมาเมื่อหลายวันก่อน แต่ด้วยเวลารถไฟที่ใกล้เข้ามา พวกเขาจึงไม่มีเวลามาเอ้อระเหยสุดท้ายสองเด็กก็ถูกจับให้แปรงฟันและออกมาในทันที แม้จะน่าเศร้าสำหรับลูกราม แต่เดี๋ยวเช้าพรุ่งนี้ก็กินขนมที่พกมาได้แล้วกา

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status