“อะไรของคุณ”
“ก็ตอนตกลงไปในน้ำด้วยกันเมื่อกี้ คุณจูบฉัน อย่ามาทำหน้าซื่อเหมือนไม่ได้ทำอะไรแบบนี้สิคุณ”
มัทรีจ้องอีกฝ่ายราวเขาไม่รู้จักคำว่า ‘ความรับผิดชอบ’
“นั่นเรียกจูบที่ไหนกัน มันเป็นอุบัติเหตุ แค่ปากชนกันเท่านั้นเอง”
คนฟังชักสีหน้าไม่พอใจก่อนจะต่อว่าเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คุณ...ผู้ชายเอาแต่ได้ ไม่มีความรับผิดชอบ จูบฉันไม่แล้วยังไม่ยอมรับอีก”
ฐิติกรอึ้งไปชั่วอึดใจเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล่าวหาตนเช่นนี้ ปากอิ่มเชิดใส่เขาอย่างเอาเรื่อง แววตาต่อว่าต่อขานไม่ยอมลดละ ราวกับเขาทำความผิดหนักหนาสาหัส
“เว่อร์เกินไปแล้วคุณ จะหาเรื่องกันก็ให้มันมีเหตุผลหน่อย”
“ใช่ซี้...คุณเป็นผู้ชายไม่เสียหายนี่ จูบสำหรับคุณมันก็เรื่องธรรมดา แต่ฉันเป็นคนไทย สำหรับฉันมันสำคัญ และฉันเสียหาย”
หญิงสาวยังกล่าวหาเขาและย้ำเสียงเข้มในท้ายประโยค
ชายหนุ่มมองคนที่เอาเรื่องเขาด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างฉุนจัด ฐิติกรมองดวงหน้าเล็กขาวใสอย่างหงุดหงิด ตาคู่กลมโตวาววับ ปากอิ่มสวยจิ้มลิ้มโดยเฉพาะริมฝีปากบนที่เชิดขึ้นนั้นดูน่าจูบอย่างบอกไม่ถูก ตาคมวาวขึ้นในทันใด ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว
“นั่นไม่ใช่จูบหรอก ถ้าจูบมันต้องแบบนี้”
ก่อนที่คนตัวเล็กจะทันตั้งตัว แขนกำยำก็รวบร่างหญิงสาวเข้าหาร่างสูงใหญ่ของเขา มือหนาช้อนกางล็อกท้ายทอยเล็กพร้อมใบหน้าหล่อคมโน้มลงมา ปากได้รูปกดบดเบียดปากอิ่มสีสวยอย่างทันท่วงที
มัทรีชะงักค้างไปด้วยความอึ้งระคนตกใจกับการจู่โจมของชายหนุ่มจนต้องหลับตาปี๋ ทว่าเมื่อตั้งสติได้หญิงสาวก็พยายามดิ้นแต่อ้อมกอดแกร่งรัดเอาไว้แน่น ทั้งปากอุ่นยังเบียดชิดแนบแน่นจนเธอรู้สึกเหมือนปากตนเองถูกบดบี้จนบิดเบี้ยวเลยทีเดียว พอสัมผัสได้ถึงความอุ่นชื้นที่แตะไล้มาด้วยร่างบางก็สะดุ้งเบาๆ หากก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้เพราะขยับตัวแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ
“อื้อ”
การส่งเสียงร้องประท้วงในลำคอเป็นสิ่งเดียวที่เธอทำได้ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ใส่ใจ ปากแกร่งเม้มบนริมฝีปากของเธอจนมัทรีต้องเผยอปากแล้วก็ถูกล่วงล้ำด้วยปลายลิ้นอุ่นชื้น ดวงตาคู่โตเบิกกว้างขึ้นทันใด รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในปากตนจนต้องร้องอึกอัก ยิ่งอีกฝ่ายกวาดไล้ไล่ประชิดลิ้นของเธอมัทรียิ่งส่ายหน้าบ่ายเบี่ยงหากก็ไม่สามารถหนีได้ ทั้งร่างกายทั้งคอถูกล็อกแน่นจากแขนกำยำและมือหนา
ฐิติกรควานหาความหวานจากโพรงปากเล็กแล้วดูดดื่มลิ้มรสหวานล้ำที่ไม่เคยคิดจะแตะต้องทว่ากลับพึงพอใจ นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะให้ความรู้สึกน่าค้นหาและครอบครองเป็นเจ้าของได้เพียงแรกสัมผัส ชวนให้เขาอยากเรียกร้องมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวคนในอ้อมกอดก็ยังดิ้นรนและเอียงหน้าหนีต่อต้านมากขึ้น มือบางสองข้างผลักอกเขา ลมหายใจเริ่มหอบแรงจนสุดท้ายเขาก็ยอมปล่อยปากอิ่มน่าจูบ
มัทรีรีบสูดหายใจเข้าปอดอย่างหนักหน่วง ทว่าร่างบางกลับทรุดลงแทนที่จะรีบขยับหนีชายหนุ่ม สุดท้ายก็ต้องยอมให้ฐิติกรรั้งเอาไว้และอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างนั้น
“ไม่เคยจูบเหรอ”
คนถาม ถามชิดปากอิ่ม ดวงตาคู่คมยังมองปากอิ่มเจ้าของความหวานที่ลอยอยู่ไม่ห่าง รู้สึกถึงความเชิญชวนจนน่าหวั่นใจ เขาไม่เคยพอใจรสจูบของผู้หญิงคนไหนมากถึงเพียงนี้ ทั้งที่แค่เพียงจูบเดียวเท่านั้น
อารมณ์ของหญิงสาวเวลานี้ไม่สนใจจะตอบคำถามอะไรทั้งนั้น ไม่นึกอยากอยู่ตรงนี้อีกแล้วด้วยซ้ำ เธออับอายและขัดเขินเกินกว่าจะสบตากับชายหนุ่มได้ หากมุดหนีไปได้คงทำไปแล้ว
“ปละ...ปล่อย”
เสียงแผ่วเบาหลุดจากปากอิ่ม ดวงหน้าน่ารักก้มงุดไม่ยอมมองเขา แต่เนื้อตัวที่สั่นเบาๆ ทำให้ฐิติกรรู้ว่าเขาคิดไม่ผิด ด้วยอีกฝ่ายตัวแข็งทื่อเกร็งไปทั้งร่าง ไม่ขยับจูบตอบเขาแม้แต่น้อย ราวกับไม่รู้ว่าต้องตอบโต้จูบร้อนแรงของเขาอย่างไร
“จะให้รีบปล่อยไปไหน อยากให้ผมจูบนักไม่ใช่เหรอ มาต่อสิ”
เขาแกล้งเอ่ยเย้า ซึ่งหญิงสาวก็หันมามองทันทีด้วยสีหน้าราวกับอยากร้องไห้
“ใครอยากให้คุณจูบ”
“ก็คุณไง ทั้งที่ยังไม่ได้จูบก็เหมาว่าจูบ ถ้าไม่อยากให้ผมจูบแล้วมันหมายถึงอะไร”
“ฮัดเช้ย!”
อีกฝ่ายจามใส่หน้าเขาทันทีที่พูดจบ ทำเอาฐิติกรนิ่งงันไปเลย ทว่าหญิงสาวยังจามซ้ำอีกครั้งจนชายหนุ่มต้องรีบเอียงหน้าหนี สุดท้ายเข้าก็ต้องปล่อยร่างบางออกจากอ้อมแขน
มัทรีกอดตัวเองทันที เสื้อผ้าที่เธอใส่เป็นเสื้อแขนยาวกับกางเกงยีนก็จริง ทว่าเมื่อเปียกน้ำแล้วความหนาวของอากาศก็แทรกซึมเข้ามาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อสักครู่ที่มีร่างสูงใหญ่กอดประกบอยู่ยังไม่เท่าไร มาตอนนี้พอลมเย็นพัดผ่านทำเอาเธอถึงกับขนลุกเลยทีเดียว
“ฉันกลับห้องก่อนนะ สงสัยจะหวัดกิน”
หญิงสาวรีบตัดบทหาทางหนี
ฐิติกรเช็ดหน้าตัวเองที่อีกฝ่ายจามใส่อย่างหงุดหงิด ก่อนจะเสยผมไล่น้ำที่เปียกออกพร้อมกับพยักหน้ายอมให้หญิงสาวไปโดยไม่รั้งอีก
ร่างบางหมุนตัวเดินซอยเท้าช้าๆ จากขอบสระเพราะกลัวลื่น ทว่าเดินไปเกือบจะถึงประตูก็รู้สึกถึงบางอย่างคลุมมาบนตัว กวาดมองทั้งตัวและไหล่จึงเห็นว่าเป็นเสื้อคลุมสีน้ำตาลหนาพร้อมเสียงทุ้มดังขึ้น
“คลุมไว้จะได้ไม่หนาวมาก”
มัทรีหันหลังแล้วเงยหน้าขึ้นก็พบใบหน้าคมสันหล่อเหลาลงตัวของชายหนุ่มมองอยู่ ดวงตาสองคู่สบกันนิ่งครู่หนึ่งก่อนหญิงสาวจะเป็นฝ่ายหลบก่อนเพราะหัวใจชักเริ่มกระตุกเต้นรัวขึ้น เธอพึมพำขอบคุณอีกฝ่ายเสียงเบาแล้วก้มหน้าก้มตาเดินเข้าประตูบ้านไป ไม่หันกลับไปมองเจ้าของเรือนกายกำยำที่เพรียวแน่นด้วยกล้ามเนื้อไม่ใช่พวกก้ามปูใหญ่หนาจนน่ากลัวซ้ำ
เมื่อเข้ามาในห้องมัทรีก็ตรงเข้าห้องน้ำทันที ขณะกำลังจะรีบถอดเสื้อผ้าที่เปียกออกก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“โอ๊ย...มือถือฉัน”
มือบางล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตนหยิบโทรศัพท์เครื่องบางออกมาแล้วรีบใช้เสื้อคลุมบนตัวเช็ดให้แห้งโดยเร็ว ทว่ายังไม่กล้าเปิดเครื่องในทันทีเพราะกลัวจะมีปัญหา จำได้ว่าเคยอ่านบทความหนึ่งบอกว่าหากมือถือเปียกน้ำให้ทำให้แห้งสนิทเสียก่อนค่อยเปิดเครื่อง
มัทรีเอามือถือไปเป่าลมเย็นด้วยไดร์หน้ากระจกในห้องน้ำไม่สนใจตัวเองที่เปียกจนชุ่มโชก หากป่วยเธอยังกินยาได้ แต่โทรศัพท์จะมาพังในเวลาที่เธอมีงบน้อยแบบนี้ไม่ได้
หญิงสาวพยายามพลิกไปพลิกมาและเป่าอยู่ครู่ใหญ่จนรู้สึกว่าผมด้านบนของตนเริ่มแห้ง และเดาเอาว่าโทรศัพท์คงแห้งแล้ว แต่เธอก็ยังไม่เปิด เลือกที่จะเอามันไปวางนอกห้องน้ำเพื่อไม่ให้อยู่ในที่ชื้น
“อย่าเสียเลยนะลูกแม่ ตอนนี้แม่กำลังกรอบ”
หลังพูดกับมือถือของตนแล้วก็กลับเข้าไปอาบน้ำพร้อมความหงุดหงิดใจ
“เพราะนายคุณทิมนั่นคนเดียวเลย ตกจนร้าวยังไม่พอ นี่ยังมาตกน้ำอีก จะเอาให้มือถือฉันพังให้ได้ใช่ไหม”
มัทรีอดเข่นเขี้ยวชายหนุ่มไม่ได้ ทว่าพอนึกถึงฐิติกรสิ่งที่วูบตามเข้ามาในหัวก็เป็นจูบดูดดื่มที่อีกฝ่ายฝากเอาไว้
“โอ๊ย...จะตามมาหลอกหลอนทำไมเนี่ย”
คนที่ยืนอยู่ใต้ฝักบัวพร้อมสายน้ำพร่างพรูหลับตาปี๋พร้อมเกาหัวที่กำลังสระผมอย่างแรง พยายามจะลืมภาพที่แวบขึ้นมาแต่ก็ไม่อาจทำได้ ทำให้มัทรีไม่พอใจชายหนุ่มมากยิ่งขึ้น
“มือถือก็จะพัง แถมยังโดนขโมยจูบแรกไปอีก แบบนี้มันไม่คุ้มเลยสักนิด ฉันไม่ยอมเสียจูบแรกฟรีๆ หรอก ต้องเอาเงินแสนมาให้ได้มันถึงจะคุ้มค่า”
มัทรีบอกกับตัวเองอย่างมุ่งมั่น
=====
เสียงนกแว่วเข้ามาให้ได้ยินก่อนจะมีเสียงมือถือที่ตั้งปลุกไว้ทำให้จำต้องพลิกตัวควานหาที่โต๊ะข้างหัวเตียง แม้แทบไม่อยากขยับตัวให้พ้นจากความอบอุ่นในเวลานี้ เมื่อปิดเสียงเรียบร้อยร่างบางก็พลิกกลับมาวาดแขนขาเกาะเกี่ยวสิ่งที่ให้ความอุ่นเมื่อครู่ ทว่าผิวสัมผัสแข็งแกร่งที่รู้สึกได้ทำให้นึกขึ้นมาได้มัทรีสะดุ้งลุกขึ้นนั่งในทันใด มองคนข้างกายตาโตกลัวว่าเขาจะรู้สึกตัวและรู้ว่าเธอเพิ่งทำอะไรลงไป แต่ชายหนุ่มยังนอนนิ่งจึงค่อยถอนหายใจโล่งอกเบาๆ เธอจ้องอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจวางหลังมือลงเบาๆ บนหน้าผากกว้าง อยากรู้ว่าไข้ชายหนุ่มลดลงหรือยัง“ดีขึ้นเยอะเลยนี่”เธอพูดกับตัวเองเบาๆ เมื่อฐิติกรตัวไม่ร้อนจัดอีกแล้ว ร่างบางขยับห่างออกมาเบาๆ แล้วห่มผ้าให้อีกฝ่ายอย่างดีก่อนจะไปเข้าห้องน้ำ ครูหนึ่งจึงกลับออกมาหลังล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย เห็นชายหนุ่มหลับอยู่เช่นเดิมก็คิดว่าปล่อยให้เขาหลับให้เต็มอิ่มไปดีกว่า ส่วนตนเองออกไปด้านนอกหน้าบ้านพักพระอาทิตย์กำลังเริ่มสาดแสงแรกของวันเบื้องหลังหมอกหนา แววระยิบระยับไล่จับบนปลายยอดใบชาที่มีน้ำค้างเกาะ ดูอบอุ่นผิดกับอากาศในยามเช้า มัทรียิ้มพอใจกับความงดงามเบื้องหน้
“คุณเอาผ้าห่มมาหน่อย ผมหนาว”ฐิติกรไม่ได้อธิบายเรื่องระหว่างตนเองกับซินดี้ต่อ แต่ออกคำสั่งจนมัทรีอดเคืองไม่ได้ ทว่าก็ยอมเดินกลับไปหยิบผ้าห่มที่ตนทำหล่นไว้หน้าประตูมาส่งให้เขา เมื่อชายหนุ่มเพียงแค่มองเฉยๆ ไม่แม้แต่จะขยับมือมารับเธอจึงถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ทว่าก็ยอมห่มให้ร่างสูงใหญ่อย่างกระแทกกระทั้นเพราะเห็นชัดว่าเขาไม่สบายจริงๆ หากยังไม่วายบ่นเบาๆ ให้ชายหนุ่มได้ยิน“หนาวเป็นอยู่คนเดียวหรือไง”“หรือคุณจะมานอนห่มผ้าด้วยกันผมก็ไม่ว่าอะไรนะ”คนป่วยพูดเสียงพร่าทั้งที่หลับตาลงไปแล้วหญิงสาวชะโงกหน้าไปมองก่อนจะเม้มปาก ชูกำปั้นเหมือนจะทุบอีกฝ่ายด้วยความเคืองที่เขากวนโมโห แต่ก็ไม่ได้ทำจริงๆ ร่างบางกลับไปค้นหาเสื้อตัวหนาของตนมาใส่เพิ่ม พร้อมกับหายาที่ยังพอมีติดอยู่ด้วยมาให้ชายหนุ่ม“คุณกินยาไหม พอดีฉันติดมาด้วย”คนที่นอนบนเตียงส่ายหน้าโดยไม่ลืมตาด้วยซ้ำมัทรีเบะปาก หากก็ไม่ได้เซ้าซี้ ในเมื่อเขาโตแล้วไม่ใช่เด็กๆ บังคับให้กินก็คงไม่ได้“ตามใจ”เธอเลือกวางยากับน้ำที่ไม่ได้แช่ตู้เย็นเพราะอากาศหนาว และเธอก็เพิ่งหายป่วยจึงคิดว่ากินน้ำธรรมดาดีกว่าไว้ที่โต๊ะหัวเตียง เผื่อชายหนุ่มจะนึกอยากกินขึ้นมา“ยาไ
‘เจ้านายสั่งว่า สองวันแล้ว เขายังสบายดี ให้คุณเตรียมตัวพรีเซนต์ทริปเที่ยวของคุณในวันพรุ่งนี้หลังอาหารเช้าที่ห้องสมุด’เป็นมาร์คที่มาบอกกับเธอในช่วงเย็น ขณะที่มัทรีเดินเล่นรอบๆ บ้านของฐิติกร ด้วยที่นี่ก็มีสวนดอกไม้สวยๆ ให้ดูเพื่อจรรโลงใจอยู่เช่นกันหญิงสาวได้แต่พยักหน้ารับด้วยความท้อแท้ใจ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชายหนุ่มยังอยู่ดีมีสุข ไม่เจ็บไข้เลยสักนิด‘คนอะไร แข็งแรงอย่างกับโคถึก’มัทรีแอบค่อนขอดในใจนับวันเธอก็ยิ่งไม่อยากมองหน้าของฐิติกรมากขึ้น ทุกอย่างล้วนเพราะการกระทำของเธอเองทั้งนั้น ได้แต่ต้องแบกหน้ายอมรับความอับอายเวลาต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้และเช้าวันต่อมาหลังก้มหน้าก้มตาอ่านงานของตัวเองในไฟล์งานที่ยังเก็บเอาไว้ในโน้ตบุ๊กให้ฐิติกรฟังจนจบ มัทรีก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มด้วยความเหวอระคนแปลกใจเพราะคำพูดของอีกฝ่าย“ไปแม่ฮ่องสอน ก่อนเที่ยงนี้”“หา??”“เก็บของของคุณเลยก็ได้ เราจะไปอยู่ที่นั่นสักพัก ยังไม่มีกำหนดกลับ”หญิงสาวอ้าปากค้างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องถามอะไรเขา“เดี๋ยวก่อนสิ ยังไม่ได้จองที่พัก ดูตั๋วเลย คุณจะไปพักท
“คุณมัทเป็นอะไรคะ”ป้าเอื้องที่เดินออกมารับเจ้านายหน้าห้องรับแขกถามอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าฐิติกรอุ้มสาวร่างเล็กเข้ามาในบ้าน“ไม่สบายน่ะ เดี๋ยวป้าให้คนตามขึ้นมาดูด้วยนะ”“ค่ะ”รับคำแล้วป้าเอื้องก็ไปเรียกบัวตองที่กำลังจัดโต๊ะอาหารกับน้ำอิงตามฐิติกรขึ้นไปยังห้องของมัทรี บัวตองรีบเดินตามมาจนทันและเปิดประตูห้องให้ชายหนุ่ม ทว่าพอจะตามเข้าไปเสียงทุ้มเข้มก็เอ่ยขึ้น“ไปบอกให้ป้าเอื้องเตรียมอาหารอ่อนๆ กับยาแก้แพ้มา เดี๋ยวฉันลงไปแล้วค่อยเอาขึ้นมา”“เจ้า”บัวตองทำได้เพียงรับคำแล้วกลับออกไปแม้จะห่วงมัทรีมากก็ตามร่างสูงใหญ่พาหญิงสาวไปจนถึงเตียงแล้ววางลง อีกฝ่ายรีบพลิกตัวให้ห่างจากเขาทำให้ฐิติกรมองด้วยสายตาดุพร้อมจับแขนเล็กเอาไว้“มีแรงขยับหนีได้ขนาดนี้ แกล้งล้มให้ผมอุ้มหรือเปล่า”“คิดได้ยังไงเนี่ย”“ใครจะไปรู้ ก่อนหน้านี้ยังแกล้งท้าทายให้ผมจูบคุณได้เลย”“ฉันไม่ได้ขอร้องให้คุณมาช่วยสักหน่อย ปล่อยให้ฉันล้มไปเลยก็ได้นี่”มัทรีสวนกลับอย่างไม่กลัว อาการป่วยทำให้เธอหงุดหงิดไม่สบายตัว ไม่ปกติจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้“ท้าทายผมอีกแล้วนะ ไม่กลัวผมส่งคุณกลับหรือไง”ชายหนุ่มขู่ด้วยน้ำเสียงดุ ตาคมวาว
แม้ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ฐิติกรก็นึกอยากจะมาเที่ยวตามที่จัดโปรแกรมให้ ทว่าหญิงสาวก็จัดการดูแลทุกอย่างเป็นอย่างดี ตั้งแต่ติดต่อเรื่องซื้อตั๋ว เดินขึ้นไปยังพระตำหนักพร้อมทุกคนและกลับลงมา ถึงจะรู้สึกล้าอยู่บ้างแต่ก็พยายามไม่แสดงออก“คุณกับคนอื่นๆ จะขึ้นทรีท็อปวอล์กกันไหมคะ”เธอถามฐิติกรเมื่อเดินกลับมาที่สวนแม่ฟ้าหลวง“มาแล้วก็ขึ้นไปดีกว่า”“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปซื้อตั๋วให้พวกคุณสามคนแล้วเดินดูสวนข้างล่างรอก็แล้วกันนะคะ”“ทำไมล่ะ คุณก็เพิ่งเคยมาที่นี่ไม่ใช่เหรอ ขึ้นไปเดินด้วยกันนี่แหละ ค่าใช้จ่ายผมรับผิดชอบอยู่แล้ว ลงมาแล้วค่อยเดินดูสวนก็ได้ เรามีเวลาเดินดูนั่นนี่ได้ทั้งวัน ไม่ต้องเร่งรีบอะไร ไม่ได้มาทัวร์สักหน่อย”ชายหนุ่มบอกพร้อมเปิดกระเป๋าหยิบแบงก์สีเทาออกมายื่นให้เธอเหมือนที่ซื้อตั๋วก่อนหน้านี้มัทรีมองเงินจากมืออีกฝ่ายก่อนจะถอนใจรับมาแล้วไปซื้อตั๋วและเลือกคิวโดยไม่ขัดชายหนุ่มซ้ำให้มากความ เดี๋ยวเขาจะหาว่าเธอเรื่องมากหญิงสาวปีนป่ายต่อจากซินดี้โดยมีฐิติกรนำหน้าและมาร์คปิดท้ายด้วยความอ่อนล้ารู้สึกตัวร้อนวูบวาบไปหมด มัทรีค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง พิษไข้กำลังกลับมาเล่นงานเธออย่างหนั
ทั้งที่พยายามไม่มองหุ่นสะท้านใจที่มีเพียงกางเกงว่ายน้ำตัวเดียวของฐิติกรนัก ทว่ามัทรีก็ยังจดจำรูปร่างของชายหนุ่มได้จนติดตา แม้ในเวลาที่ต้องเผชิญหน้าเขาตอนอาหารเย็นในชุดเรียบร้อยก็ตาม และที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ รอยจูบร้อยกาจนั่นก็ยังตราตรึงไม่จางหายราวกับติดแน่นอยู่บนปากเธออย่างไรอย่างนั้น ระหว่างมื้อมัทรีจึงเลี่ยงที่จะมองไปทางชายหนุ่มและตักอาหารแค่ตรงหน้าตนเองเพื่อจำกัดระยะสายตาเมื่อสิ้นสุดมื้ออาหารหญิงสาวก็ผลุนผลันตรงกลับไปยังห้องของตนในทันทีโดยไม่พูดไม่จากับใคร รู้สึกหนักหัว พร้อมกับร้อนๆ หนาวๆ ไปทั้งตัว ร่างกายอยากทิ้งตัวลงบนที่นอนเต็มแก่หญิงสาวก้าวขึ้นเตียงห่มผ้าทันที รู้สึกหนังตาหนักอึ้งแทบปิด ปวดหัวอย่างมาก ทั้งยังรู้สึกตาร้อนผ่าวแปลกๆ ลืมไปด้วยซ้ำว่าตนเองยังไม่ได้เปิดมือถือ เพราะเร่งรีบแต่งตัวเพื่อลงไปด้านล่างด้วยถึงเวลาทานอาหารหลังจากเธอออกจากห้องน้ำ ไม่นานก็หลับในที่สุดเช้าวันนี้มัทรีไม่อาจลุกขึ้นจากเตียงได้ แม้จะรู้สึกตัวครู่ใหญ่แล้ว หญิงสาวพลิกตัวอย่างยากลำบากเพราะล้าไปทั้งร่าง ปวดเมื่อยไปหมดทั่วทั้งตัวรวมถึงเจ็บคอด้วย สงสัยเธอคงโดนหวัดเล่นงานเข้าให้เสียแล้ว“ทำไมกระหม่อมบา