“หน้าตาผิวพรรณเจ้าก็ดี ถึงจะดูกร้านแดดกร้านลมไปหน่อย แต่ก็จัดได้ว่าเป็นหญิงงาม” ตาแก่หัวงูที่เป็นคนดูแลร้านข้าวสารตระกูลหูเอ่ยขึ้น สายตาวิบวับน่ารังเกียจที่สุดเมื่อเขามองซูเจินหัวจดเท้าอย่างมีความหมาย “เป็นแม่หม้าย อืม...ก็คงจะเคยๆ มาแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าเนื้อหนังจะยังเต่งตึงหรือเปล่า ต้องลองพิสูจน์...”
หมับ!
โครม!
“โอ๊ย!”
ร่างตาแก่หงายหลังตึงตกเก้าอี้ ตามมาด้วยข้าวของบนโต๊ะที่ถูกหญิงสาวกวาดขึ้นมาแล้วเหวี่ยงกระแทกลงไป เท่านั้นไม่พอ นางยังเตะด้วยท่าที่เคยเห็นนางหว่านแม่ของอาเต้าทำต่อพ่อของอาเต้า แล้วนางจดจำมา
“ตาเฒ่าหัวงู แก่จนจะลงหลุมอยู่แล้ว ยังจะมาทำลามก!” นางว่าพลางเตะกลางตัวซ้ำๆ “กล้าดียังไงมาลวนลามข้าหา! วันนี้เจ้าอย่าแก่ตายเลยดีกว่า ให้ข้ากระทืบเจ้าให้ตาย!”
“โอ๊ย! ช่วยด้วย! ใครอยู่ข้างนอกบ้างมาช่วยข้าที โอ๊ย! นางปีศาจนี่จะฆ่าข้าแล้ว!”
เสียงเอะอะมะเทิ่งขนาดนั้นออกไปถึงหน้าร้าน มีอันให้กลุ่มผู้มาใหม่ชะงักกันหมด คนที่เดินนำหน้าสุดขมวดคิ้วมุ่น คนที่เดินข้างๆ เลยออกอาการกระตือรือร้น
“เป็นเสียงหูซีห่าวขอรับ ส่วนเสียงผู้หญิงนั้น...เอ้อ! ท่านหัวหน้า!”
ไม่ทันพูดได้จบเพราะคนขมวดคิ้วเดินตรงเข้าร้านไปแล้ว และภาพที่เขาเห็นก็คือสตรีนางหนึ่งกำลังยกเก้าอี้ขึ้นสุดแขนเตรียมจะฟาดใส่หูซีห่าวที่เป็นคนจากตระกูลหูซึ่งมาดูแลร้านชั่วคราว กำลังยกไม้ยกมือทำท่าปกป้องตัวเอง
ฟิ้ว...
“โอ๊ย!”
อะไรบางอย่างที่เล็กแต่หนักหน่วงกระแทกเข้าใส่ข้อพับแขนของหลี่ซูเจิน ทำให้นางเสียหลักไม่อาจได้ทุ่มเก้าอี้ แต่ปล่อยหลุดร่วงมือแทน
ชายหนุ่มที่เพิ่งดีดลูกหินใส่นางด้วยวรยุทธิ์สะบัดแขนเสื้อดังพรึบ ส่วนคนติดตามเขารีบไปจับตัวหญิงสาวไว้ คนที่เหลือไปประคองหูซีห่าว ที่รีบวิ่งมาหลบหลังอย่างรวดเร็ว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เป็นคนสนิทของชายปริศนาที่ถามแทนหัวหน้าของเขา เพราะรู้สึกอีกฝ่ายไม่ชอบพูดมาก “ท่านห่าว อย่าบอกนะว่าก่อเรื่องกับสตรีอีกแล้ว!”
พูดเช่นนี้แปลว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก ซูเจินไม่ได้โง่เขลา แม้นางจะถูกรั้งแขน แต่ก็ดีดดิ้นจะให้พ้นพันธนาการ
“ไอ้แก่นี่มันบีบก้นข้า!” นางฟ้องโดยที่ไม่ได้รู้สึกอับอายสักนิด ผิดกับสตรีทั่วไปที่ถูกลวนลามแล้วมักจะไม่กล้าพูด ซูเจินชี้หน้าร้องแหวๆ “มันบอกว่าข้าเป็นหม้ายแต่ข้าไม่ได้เป็นหม้ายข้าแค่มีลูก มันเลยจะข่มเหงข้าเพราะคิดว่าหญิงมีลูกแล้วแต่ไม่มีผัวก็คงจะทำอะไรได้ตามใจชอบ ข้าก็เลยจะทำให้มันรู้ว่ามันคิดผิด ต่อให้ข้าอดตายก็ไม่ขออยู่ร่วมกับคนแบบนี้!”
“เจ้ามันเลอะเลือน มีลูกแต่ไม่มีผัวก็ต้องเรียกว่าแม่หม้ายถูกแล้ว เจ้าจะโกรธอะไร” หูซีห่าวเบี่ยงเบนประเด็น ตาแก่ชี้หน้าเหยงๆ “แล้วข้าจะไปข่มเหงเจ้าตอนไหน เจ้าคิดไปเอง ข้าก็แค่พูดว่า...”
“ว่า...”
ประโยคนี้มาจากผู้ช่วยที่เอ่ยถามซ้ำ แต่หูซีห่าวเหมือนรู้ตัวว่าพลาดพลั้งเลยหุบปากเงียบ ผู้เป็นหัวหน้า ณ ที่นี้ เลยได้แต่ถอนใจเฮือกแล้วสั่นหน้าแสดงความเอือมระอาเต็มที เขาหันไปสั่งลูกน้อง
“ปล่อยแม่นางคนนี้” ก่อนจะมองหน้าหญิงสาวที่สะบัดสะบิ้งด้วยความไม่พอใจ “ขออภัยแม่นางด้วยกับความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น หากวันนี้จะมาซื้อข้าวหรือเกลือคงต้องขอเชิญแม่นางกลับไปก่อน แล้ววันหลังค่อย...”
“ไม่ต้อง!” หลี่ซูเจินคว้าห่อผ้าสัมภาระส่วนตัวที่ตกพื้นกลับขึ้นมาคล้องแขน สีหน้าบูดบึ้ง “ไม่ต้องไล่! เพราะข้าไม่ใช่ลูกค้า แต่เป็นแค่คนมาสมัครงานเฉยๆ เห็นที่ร้านใหม่รับคนงานที่มีความรู้เรื่องสายพันธุ์ข้าวและทำระเบียนการค้ากับบัญชีเป็นอยู่ ข้าก็เลยมาถามไถ่ แต่หากเจ้าของร้านเป็นตาเฒ่าบ้ากามชอบลวนลามแบบนี้แล้วละก็ ข้าคงไม่ยินดีที่จะร่วมงานด้วย ขอลา!”
เพราะนางปึงปังด้วยความโมโห เดินเลยอย่างตะบึงตะบอน อีกฝ่ายเห็นนางพุ่งมาก็เลยหลีกทางให้ ปรากฏว่าทั้งคู่ใจตรงกันอีก ดันหลีกไปทางเดียวกันพอดี หัวของซูเจินก็เลยได้โขกกับตัวของอีกฝ่ายอย่างแรง
“โอ๊ย!”
หญิงสาวยกมือกุมหน้าผาก เสียหลักเซไปข้างหลัง ด้วยสัญชาตญาณ ชายหนุ่มเลยโอบเอวรับ แต่ซูเจินปฏิกิริยาตอบสนองว่องไว นางผลักอกเขาแล้วดีดตัวเองออก และท่านั้นทำให้นางเสียหลักจริงๆ
“ว้าย!”
คราวนี้หญิงสาวได้ไขว่คว้าอากาศ ชายหนุ่มดึงเอวไม่ทันเลยหมายจะคว้าไหล่ ทว่ากลับไปคว้าอะไรอย่างอื่นติดมือมา
โครม!
สองปีผ่านไป...หลังจบเรื่องวุ่นวายในราชสำนัก ก็ใช้เวลาไปเกือบปี ทำให้ฤกษ์หมั้นหมายเสียหาย องค์ชายฟู่เหรินจึงเสนอว่าให้ใช้ฤกษ์อภิเษกไปเลยในคราวเดียว นั่นคือหมั้นและแต่งในวันเดียวกันย่อมไม่มีใครขัดขวางอยู่แล้ว เพราะใครๆ ต่างก็อยากให้องค์ชายใหญ่เป็นฝั่งเป็นฝาเพื่อที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งต่อไป แต่เป็นเขาเองที่ชิงทูลองค์จักรพรรดิก่อน ว่าไม่ต้องการขึ้นเป็นรัชทายาท“เจ้าเป็นลูกคนโต ถ้าเจ้าไม่เป็นรัชทายาท แล้วเจ้าจะเป็นอะไร”พระบิดาถามเขาในวันนั้น และเขาที่มีพระชายาอยู่เคียงข้าง ก็ตอบทันควัน“กระหม่อมจะเป็นหมอ จะรักษาผู้คนโดยไม่แบ่งแยกฐานะ นี่ก็เป็นการดูแลไพร่ฟ้าในฐานะเชื้อพระวงศ์เช่นกัน...”องค์จักรพรรดิอยากจะขัด แต่พอเห็นโอรสกับชายาของเขาจับมือกันไว้แน่นราวกับว่าได้ร่วมกันตัดสินใจเรื่องนี้มาทั้งคู่ ก็ได้แต่ระลึกไปถึงพระสนมอิงหลันผู้ล่วงลับ นางไม่เคยมีใครรักชอบให้เขา แต่งงานเพราะหน้าที่ แต่ตลอดเวลานางก็ทำได้ดี กระทั่งอบรมสั่งสอนบุตรก็ยังทำได้ไม่มีบกพร่อง เป็นเขาเองที่กักขังนางไว้ในวังหลวงนี้จนวันตาย“เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาแล้วก็ไปปกครองเมืองต้าหลี่ก็แล้วกัน” จักรพรรดิพูดถึงเมืองใหญ่ที่สุดที่อย
“ข้าจะไปช่วยเขา สนามพลังแบบนั้นต้องมีคนคุ้มกัน ไม่อย่างนั้นอาจเป็นอันตราย” นางหันไปบอกสองคนข้างหลัง “ท่านพาลูกปลาตัวกลมไปที่บ้านยายเฒ่าตาบอดก่อน แล้วข้าจะตามไปทีหลัง”“คงไม่ต้องแล้ว” เป็นฮัวฮัวที่พูดขึ้น สายตานางมองไปอีกทางแล้วก็ชี้นิ้วไปข้างหน้า “ท่านพ่อกับพวกอาๆ มาช่วยพวกเราแล้ว เย้!”เกิดการปะทะระหว่างนักฆ่าลึกลับกับพวกองครักษ์เสื้อแพรที่มากันเต็มรูปแบบ เพราะตอนนี้ได้จัดการภายในราชสำนักเสร็จสิ้น จึงตามออกมากวาดล้างทั้งหมดที่เหลือข้างนอกในคราวเดียว“ถวายการอารักขาองค์ชายใหญ่!” เสียงเจิ้งห่าวหรานหัวหน้าองครักษ์ตะโกนก้อง “ไฉไฉ ฮัวฮัว หลบไปอยู่ในที่ปลอดภัย เร็ว!”เมื่อพ่อสั่งก็มีอย่างเดียวคือห้ามต่อต้าน สามสายลับต่างวัยวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ไกลๆ และคอยดูห่างๆ พวกเขาไม่ได้เก่งต่อสู้สักคน แค่พอมีวิชาและเอาตัวรอดเป็นเท่านั้น ในเมื่อองครักษ์มาแล้ว ก็ควรให้เป็นหน้าที่ของคนมีความสามารถแล้วกัน“นั่น...เสียงอะไร” เพราะความเป็นคนหูดีที่สุดของไฉไฉทำให้ได้ยินอะไรแปลกๆ นางรู้ทันทีว่ามีคนแอบอยู่แถวนั้นและกำลังจะหนี หันไปมองหน้าน้องสาว เห็นนางจ้องอยู่เช่นกัน แสดงว่ารู้แล้ว “ฮัวฮัว พี่เพิ่งเจอว่าเหลือลู
“นี่เจ้า! ริอ่านติดสินบนเจ้าพนักงานตั้งแต่ยังเด็ก ท่านพ่อตีเจ้าตายแน่ๆ! ตุ่นภูเขา! แล้วท่านเป็นผู้ใหญ่ประสาอะไร พาเด็กห้าขวบมาในสถานที่แบบนี้ ท่านเองก็ต้องถูกลงโทษด้วยแน่นอน!”“โฮ่! แมวพันหน้า อย่าเพิ่งพูดมากเลยดีกว่า ถ้าไม่ได้ข้ากับลูกปลาตัวกลมเมื่อครู่ ท่านเองก็คงไม่เหลือซาก”“นี่พวกเจ้า...พูดอะไรกัน ข้างงไปหมด” ฟู่เหรินที่ฟังสายลับสามคนสามวัยเถียงกันด้วยภาษาอะไรก็ไม่รู้ช่างปวดหัวนัก “เดี๋ยวก่อน ทำไมเราต้องมาเถียงกันในเวลานี้ นี่มันหน้าสิ่วหน้าขวาน! พวกนักฆ่าตามมาถึงตัวแล้ว!”“ลูกหินของข้าหมดแล้ว! พี่ใหญ่ ท่านเอาที่ข้าให้ไว้มาด้วยหรือเปล่า” ฮัวฮัวแบมือหาพี่สาวทันที ไฉไฉรีบล้วงเสื้อ ปรากฏว่ามีแต่หมั่นโถวตากแดดร่วงลงมาหลายชิ้น “พี่ใหญ่! แล้วก็ชอบห้ามข้ากินของหวานตอนกลางคืน แต่พี่กลับพกติดตัวตอนหนีพวกนักฆ่าออกมาแบบนี้ จะให้ข้าคิดยังไงกัน!”“นี่ทำไมข้าถึงได้พกหมั่นโถวออกมาขนาดนี้เนี่ย ข้าต้องหยิบเสื้อมาผิดตัวแน่ๆ” นางคิดไปถึงเหตุผลว่าทำไมต้องหยิบเสื้อมาใส่ แล้วก็ดันเกิดหน้าแดง เพราะตอนนั้นเกือบได้สานสัมพันธ์กับฟู่เหรินอยู่แล้วเชียว “โอ๊ย! ไม่รู้แล้ว พวกเราหาอาวุธเอาเท่าที่มีรอบตัวสู้ไป
“หา...หมายความว่า...ว้าย!”พรึ่บ!ไฉไฉมัวแต่เถียงกับองค์ชายเลยไม่ทันระวังตัว นางก้าวพลาดลงไปในบ่อที่ขุดไว้ดักสัตว์ แม้จะไม่เจ็บเท่าไรเพราะกลิ้งม้วนตัวลงไปพอดี แต่หลุมนี้ลึกมาก เรียกว่าเป็นความซวยจริงๆ“องค์ชาย! ท่านวิ่งไปข้างหน้าอีกไม่เท่าไรจะเจอต้นไม้สองง่าม มีกระท่อมของยายเฒ่าตาบอดอยู่ไม่ไกลจากนั้น” นางตะโกนบอกเขาเสียงดัง “ที่นั่นเป็นจุดนัดพบของสายลับกับองครักษ์ ท่านจะปลอดภัย”“ไม่ได้! รอก่อน ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ฟู่เหรินลงไปนอนแนบพื้นแล้วพยายามส่งมือเข้าไปหา “ข้าจะไม่หนีไปคนเดียว ถ้าจะรอด เราต้องรอดไปด้วยกัน!”“โอ๊ย! ท่านนี่โง่จริง ข้าให้ท่านหนีไปก่อนเพราะท่านเป็นตัวถ่วง ยังไม่รู้ตัวอีก” เสียงหญิงสาวแผดขึ้นมา “ท่านมันอ่อนแอจึงเป็นตัวภาระ นี่ข้ามีแผนแล้ว ข้ามีระเบิดพลุติดตัวไว้ยามฉุกเฉิน ข้าจะยิงใส่พวกมัน แล้วท่านจะมาอยู่แถวนี้ให้เกะกะทำไมเล่า!”หญิงสาวโกหก นางไม่มีของที่ว่า แต่ทำเป็นชูอะไรก็ไม่รู้ขึ้นมา เพื่อให้เขาสบายใจ“ระเบิดพลุอะไรของเจ้าหา นั่นมันหมั่นโถวตากแดดที่เอาไว้ปิ้งกินกับน้ำผึ้งที่น้องสาวชอบไม่ใช่หรือไง แล้วนี่พกมาทำไมเนี่ย!” เขาพูดแบบนั้นนางเลยได้หันดู อ้าวจริงด้วย ไม่ร
โอ๊ย!...อุ้บ!”ไฉไฉดึงหูฟู่เหรินเหมือนที่เห็นหลี่ซูเจินทำเจิ้งห่าวหรานมาตั้งแต่นางจำความได้ ท่านแม่ดึงหูท่านพ่อทีไร ท่านพ่อมีอันได้ยอมแพ้ เพราะมันเจ็บ!มือหนึ่งดึงหู อีกมืออุดปากเขาแน่นไม่ให้ร้อง แต่เพียงครู่เดียวก็ปล่อยมือที่บิดหูออกแล้วไปกระซิบ“ข้างนอกเป็นนักฆ่าที่ตั้งใจลอบฆ่าท่านมาตั้งแต่ที่ตลาดแล้ว และท่านคงคิดไม่ผิด ฝู่เตี้ยวเป็นหนอนจริงๆ ตอนนี้พวกเราถึงได้ตกอยู่ในอันตราย”“ขืนยังอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยังไงพวกเราก็คงได้ตาย” ฟู่เหรินได้พูดเป็นคำแรกตนที่เอามือลูบหูตัวเองป้อยๆ คิ้วขมวดตึง มองไปข้างนอกยังเห็นห่ามีดบินอยู่เลย “ข้าจะพาเจ้าออกไปเอง เจ้าหลบข้างหลังข้าไว้ก็แล้วกัน”กลายเป็นไฉไฉที่คิ้วขมวดไปด้วย เพราะสำหรับนางแล้วฟู่เหรินหาได้เป็นวรยุทธ์ไม่ ซ้ำยังอ่อนแอจนไม่รู้ว่ามีชีวิตรอดจากวังหลวงมาถึงวันนี้ได้อย่างไร ถึงนางไม่เก่งอะไรมาก แต่อย่างน้อยก็รู้หลักพื้นฐาน และเอาตัวรอดเก่งด้วย “ท่านอยู่ข้างหน้าข้า คงอยากเป็นเป้าเคลื่อนที่กระมัง” นางเอื้อมมือขึ้นไปบนเตียง ควานหาลูกหินของฮัวฮัวอีกชุด ซึ่งมันเป็นชุดสุดท้ายแล้ว “นี่แหละองค์ชาย ท่านคงยังไม่รู้ว่าอะไร ข้าถูกท่านพ่อจับไปฝึกเป็นสา
“ฝู่เตี้ยวคงไม่ได้อยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก” นางบอก หลังคาดการณ์จากสิ่งที่ฮัวฮัวบอกไว้ก่อนกลับบ้านไป พฤติกรรมประหลาดของขันทีน้อย คือเขาชอบหายไปไหนในช่วงที่ฟู่เหรินจะไม่มีทางรับรู้ ฮัวฮัวสะกดรอยตามแบบห่างๆ จึงรู้ว่าฝู่เตี้ยวต้องไปพบใครมาแน่ๆ แต่คงไม่ใช่ฝ่ายเดียวกัน เพราะฝ่ายเดียวกันนี้ก็มีเพียงหน่วยองครักษ์กับคนของเซี่ยงกงกงเท่านั้นเอง ประจวบเหมาะกับที่อยู่ดีๆ ตำแหน่งขององค์ชายถูกเปิดเผย จึงไม่มีทางคิดเป็นอื่นไปได้เลย นอกจาก... “ฝู่เตี้ยวคือหนอนบ่อนไส้สินะ” ฟู่เหรินพูดขึ้นมาเอง เป็นไฉไฉที่ต้องหันหน้าไปมอง เพราะเขาพูดเหมือนรู้ว่านี่มันเรื่องอะไร ชายหนุ่มสั่นหน้าด้วยความหดหู่ใจ “อะไรคือสิ่งที่ทำให้ฝู่เตี้ยวที่อยู่กับข้ามาตั้งแต่อายุสิบปีกลับมาหักหลังข้าได้” “นั่นเป็นเรื่องที่ต้องไปสืบภายหลัง แต่ตอนนี้...” ข้างนอกเงียบเกินไป ราวกับไม่มีแม้แต่เสียงของสายลมราตรี หญิงสาวล้วงไปใต้เตียงแล้วหยิบดาบที่เป็นอาวุธประจำตัวซึ่งซุกซ่อนไว้เผื่อเวลาฉุกเฉิน “เราต้องรอดไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน ได้โปรดอยู่ข้างหลังข้าก็พอ” “อาหง ท่าทีเจ้าเปลี่ยน หรือว่าความจริง...เจ้ามีสถานะอื่น”