หลี่ซูเจินกำเงินไปโรงเตี๊ยมเยว่เลี่ยงด้วยความลิงโลดนัก หลายปีมาแล้วที่ไม่ได้จับเงินเยอะขนาดนี้ นับว่าร้านข้าวสารตระกูลหูยังเห็นค่าของฝีมือนางอยู่บ้าง คุณชายหูจึงได้ให้ทั้งค่าจ้างรายวันและเงินพิเศษอีกด้วย ทำให้วันนี้หญิงสาวมีเงินมากพอจะซื้อได้ทั้งเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ไฉไฉ และแน่นอนว่านางไม่ลืมเรื่องไก่ตัวอ้วนๆ ที่สัญญากับลูกไว้ คุณชายหูรู้เข้าเลยแนะนำร้านที่ว่ามีไก่เป็นทีเด็ดให้เลยทีเดียว
แต่กว่าจะรู้ตัวว่าได้มายังสถานที่อันไม่คาดคิด ก็เป็นตอนที่นางมาหยุดยืนตรงหน้าประตูพอดี
“ที่แท้โรงเตี๊ยมเถียนเยว่ ก็เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเตี๊ยมเยว่เลี่ยงนี่เอง” ว่าแล้ว...ในเมืองหลวงแห่งนี้จะมีไก่ที่ไหนอร่อยได้ขนาดที่คนกินแล้วแทบจะเหาะขึ้นสวรรค์ ทำไมนางคิดไม่ถึงกันนะว่ามันก็แค่เปลี่ยนชื่อนิดหน่อย แต่ยังเป็นสถานที่เดิมที่นางมีความทรงจำ “เอาเถอะ ไหนๆ วันหนึ่งก็ต้องมาตามหาผู้ชายคนนั้นที่นี่อยู่แล้ว มิสู้เข้าไปดูลู่ทางเสียตั้งแต่ตอนนี้ เผื่อโชคดี จะได้เจอเขาเลย”
พูดไปทั้งที่รู้ว่าหน้าตาของอีกฝ่ายเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ จำได้แค่ไฝ แล้วนี่นางจะต้องจับผู้ชายทั้งโรงเตี๊ยมเปลื้องผ้าหรือไร แค่คิดก็รู้สึกว่าตัวเองช่างสัปดน
“เอ๋...นั่นมัน!” หลังเข้าไปสั่งไก่เรียบร้อยแล้วนางก็นั่งรอที่โต๊ะว่างๆ ตัวหนึ่ง มองไปรอบๆ เห็นผู้คนเริ่มทยอยเข้ามากันแล้ว ด้วยตอนกลางคืนโรงเตี๊ยมนี้จะมีการแสดงเพื่อความสำราญใจ “ข้าคงไม่ได้ตาฝาด นั่นต้องเป็น...จางหวังซู่! ไอ้คนอกตัญญู! ข้าอยากจะแหกอกเจ้าเหลือเกิน!”
ไม่คิดเปล่าๆ เพราะแอบย่องติดตามไปด้วย เห็นชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น หมายถึงสภาพ เพราะตอนเขานี้ดูภูมิฐานด้วยเครื่องแต่งกายที่หรูหรา ท่วงท่าก็เป็นขุนนางเต็มขั้น ดูท่าหกปีที่ผ่านมานั้น เขาจะมีชีวิตที่ดีมากเลยทีเดียว
“แล้วนั่นมัน...คุ้นๆ” เห็นอดีตเจ้าบ่าวของตนเดินคุยกับใครอย่างสนิทเอาเรื่อง “หน้าตาเหมือน...เหมือน...”
“ท่านพ่อ! มัวแต่ชวนหวังซู่คุยอยู่นั่นละเจ้าค่ะ ข้าให้พ่อครัวที่นี่เตรียมอาหารคอยท่าพวกท่านนานแล้วนะเจ้าคะ รีบๆ มากินกันซะที”
เสียงดัดจริตเช่นนั้นจะเป็นใครไปได้กันถ้าไม่ใช่...
“สวี่อ้ายฉิง! นางสารเลว!”
แม้ปากจะบอกว่าต้องปล่อยวางเพราะลำพังตัวเองตอนนี้ยังจะเอาไม่รอด จะไปเอาอะไรที่ไหนมาแก้แค้นเพื่อนชั่วคนนี้ได้ แต่พอเอาเข้าจริงได้มายืนตรงหน้า หลี่ซูเจินก็พบว่านางยังตัวสั่นไม่เคยเสื่อมคลาย
สองเท้าก้าวเดินไปตามทิศนั้นอย่างไม่รู้ตัว มือกำแน่นเพราะอารมณ์ที่อยู่ๆ ก็พุ่งทะยาน นางเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะเป็นการวิ่ง ใกล้ไปถึงคนพวกนั้นแล้วเพราะนางขึ้นบันไดมาอีกฝั่งเพื่อจะได้มาดักตรงหน้า แล้วอยู่ๆ ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนแปลง
“ว้าย! อุ้บ!”
ใครบางคนคว้าเอวนางเข้ามาหลบหลังประตูห้องหนึ่งและปิดปากไว้แน่น หลี่ซูเจินตกใจแต่ก็ดิ้นรนเอาตัวรอดทว่าทางสู้แรงไม่ได้ จึงใช้ศีรษะทั้งดันทั้งไถอีกฝ่ายจนหน้าไปเคยอยู่กับไหล่แล้ว แล้วนางก็ต้อง...ชะงัก
ไฝ...ใต้กกหู!?
“เรื่องข้าวที่ลักลอบขายให้พวกเหยากับเซี่ยง เจ้าทำเกินตัวไปหรือเปล่าหวังซู่” เป็นเสียงบิดาของสวี่อ้ายฉิงนั่นเอง เขาเป็นพ่อค้าใหญ่ที่สุดในเมือง พวกเขาเดินผ่านจุดที่ซูเจินถูกลากมาหลบอยู่พอดี “ข้าเตือนในฐานะผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน ใจร้อนเกินไปก็ไม่ดีนัก ควรค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เจ้าก็รู้ว่ากฎหมายใหม่ที่องค์ชายรองผลักดันขึ้นมาจนสำเร็จมันเด็ดขาดนัก หากเพลี่ยงพล้ำแล้วละก็ เกรงกว่าจะไม่เหลือแม้แต่เสาเรือนเหมือนพวกตระกูลหลี่”
“โถ่ท่านลุง ยังจะพูดถึงครอบครัวอัปมงคลนั่นอยู่ได้” หวังซู่กลั้วหัวเราะ “ผ่านมาแล้วตั้งหกปี ยังไม่มีใครจับได้เลยด้วยซ้ำว่าเบื้องหลังเป็นฝีมือใคร ดังนั้นท่านลุงไม่ต้องห่วง สบายใจได้ คนอย่างข้าทำอะไรไม่เคยหลงเหลือหลักฐานอยู่แล้ว ไม่มีใครตามเจอแน่นอนว่าข้าลักลอบขายข้าวให้พวกเหยากับเซี่ยงได้อย่างไรกัน ฮ่า!”
“เจ้ามันเก่งๆ หึหึ เก่งจนข้าไว้วางใจจะยกอ้ายฉิงให้ เพราะรู้ว่าอย่างไรเจ้าก็คงไม่ปล่อยให้ลูกสาวข้าลำบากแน่ๆ” เขายังว่าต่อ “แล้วนี่คิดว่าควรแต่งงานกันได้แล้วหรือไม่ ผ่านมาตั้งหกปีแล้ว เจ้ายังรออะไร คงไม่ได้รออดีตเจ้าสาวอย่างคุณหนูหลี่คนนั้นนะ ฮ่าๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นละก็ ข้าคงจะโกรธเจ้ามาก ที่มาหลอกให้ลูกสาวข้าหลงรักหัวปักหัวปำ จนยอมร่วมมือในแผนการนี้ ทำให้คุณหนูหลี่ไม่อาจสู้หน้าผู้คนได้ จนไม่อาจเรียกร้องความยุติธรรมคืนให้บิดาที่ถูกใส่ร้ายของนาง ฮ่า!”
ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ซูเจินเคยสงสัยแต่ไม่มีหลักฐาน มิคาดคิดเลยว่าสวรรค์จะเมตตาให้นางได้มาฟังกับหู แม้จะไม่รู้รายละเอียดว่าคนพวกนั้นทำอะไรบ้าง แต่นางไม่ได้โง่ ได้ยินเท่านี้ก็รู้แล้วว่าใครอยู่เบื้องหลังทั้งหมด แม้กระทั่งเรื่องที่นางถูกชายปริศนาพรากพรหมจรรย์จนตั้งครรภ์
“ฮึก...ฮือ...”
สองปีผ่านไป...หลังจบเรื่องวุ่นวายในราชสำนัก ก็ใช้เวลาไปเกือบปี ทำให้ฤกษ์หมั้นหมายเสียหาย องค์ชายฟู่เหรินจึงเสนอว่าให้ใช้ฤกษ์อภิเษกไปเลยในคราวเดียว นั่นคือหมั้นและแต่งในวันเดียวกันย่อมไม่มีใครขัดขวางอยู่แล้ว เพราะใครๆ ต่างก็อยากให้องค์ชายใหญ่เป็นฝั่งเป็นฝาเพื่อที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งต่อไป แต่เป็นเขาเองที่ชิงทูลองค์จักรพรรดิก่อน ว่าไม่ต้องการขึ้นเป็นรัชทายาท“เจ้าเป็นลูกคนโต ถ้าเจ้าไม่เป็นรัชทายาท แล้วเจ้าจะเป็นอะไร”พระบิดาถามเขาในวันนั้น และเขาที่มีพระชายาอยู่เคียงข้าง ก็ตอบทันควัน“กระหม่อมจะเป็นหมอ จะรักษาผู้คนโดยไม่แบ่งแยกฐานะ นี่ก็เป็นการดูแลไพร่ฟ้าในฐานะเชื้อพระวงศ์เช่นกัน...”องค์จักรพรรดิอยากจะขัด แต่พอเห็นโอรสกับชายาของเขาจับมือกันไว้แน่นราวกับว่าได้ร่วมกันตัดสินใจเรื่องนี้มาทั้งคู่ ก็ได้แต่ระลึกไปถึงพระสนมอิงหลันผู้ล่วงลับ นางไม่เคยมีใครรักชอบให้เขา แต่งงานเพราะหน้าที่ แต่ตลอดเวลานางก็ทำได้ดี กระทั่งอบรมสั่งสอนบุตรก็ยังทำได้ไม่มีบกพร่อง เป็นเขาเองที่กักขังนางไว้ในวังหลวงนี้จนวันตาย“เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาแล้วก็ไปปกครองเมืองต้าหลี่ก็แล้วกัน” จักรพรรดิพูดถึงเมืองใหญ่ที่สุดที่อย
“ข้าจะไปช่วยเขา สนามพลังแบบนั้นต้องมีคนคุ้มกัน ไม่อย่างนั้นอาจเป็นอันตราย” นางหันไปบอกสองคนข้างหลัง “ท่านพาลูกปลาตัวกลมไปที่บ้านยายเฒ่าตาบอดก่อน แล้วข้าจะตามไปทีหลัง”“คงไม่ต้องแล้ว” เป็นฮัวฮัวที่พูดขึ้น สายตานางมองไปอีกทางแล้วก็ชี้นิ้วไปข้างหน้า “ท่านพ่อกับพวกอาๆ มาช่วยพวกเราแล้ว เย้!”เกิดการปะทะระหว่างนักฆ่าลึกลับกับพวกองครักษ์เสื้อแพรที่มากันเต็มรูปแบบ เพราะตอนนี้ได้จัดการภายในราชสำนักเสร็จสิ้น จึงตามออกมากวาดล้างทั้งหมดที่เหลือข้างนอกในคราวเดียว“ถวายการอารักขาองค์ชายใหญ่!” เสียงเจิ้งห่าวหรานหัวหน้าองครักษ์ตะโกนก้อง “ไฉไฉ ฮัวฮัว หลบไปอยู่ในที่ปลอดภัย เร็ว!”เมื่อพ่อสั่งก็มีอย่างเดียวคือห้ามต่อต้าน สามสายลับต่างวัยวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ไกลๆ และคอยดูห่างๆ พวกเขาไม่ได้เก่งต่อสู้สักคน แค่พอมีวิชาและเอาตัวรอดเป็นเท่านั้น ในเมื่อองครักษ์มาแล้ว ก็ควรให้เป็นหน้าที่ของคนมีความสามารถแล้วกัน“นั่น...เสียงอะไร” เพราะความเป็นคนหูดีที่สุดของไฉไฉทำให้ได้ยินอะไรแปลกๆ นางรู้ทันทีว่ามีคนแอบอยู่แถวนั้นและกำลังจะหนี หันไปมองหน้าน้องสาว เห็นนางจ้องอยู่เช่นกัน แสดงว่ารู้แล้ว “ฮัวฮัว พี่เพิ่งเจอว่าเหลือลู
“นี่เจ้า! ริอ่านติดสินบนเจ้าพนักงานตั้งแต่ยังเด็ก ท่านพ่อตีเจ้าตายแน่ๆ! ตุ่นภูเขา! แล้วท่านเป็นผู้ใหญ่ประสาอะไร พาเด็กห้าขวบมาในสถานที่แบบนี้ ท่านเองก็ต้องถูกลงโทษด้วยแน่นอน!”“โฮ่! แมวพันหน้า อย่าเพิ่งพูดมากเลยดีกว่า ถ้าไม่ได้ข้ากับลูกปลาตัวกลมเมื่อครู่ ท่านเองก็คงไม่เหลือซาก”“นี่พวกเจ้า...พูดอะไรกัน ข้างงไปหมด” ฟู่เหรินที่ฟังสายลับสามคนสามวัยเถียงกันด้วยภาษาอะไรก็ไม่รู้ช่างปวดหัวนัก “เดี๋ยวก่อน ทำไมเราต้องมาเถียงกันในเวลานี้ นี่มันหน้าสิ่วหน้าขวาน! พวกนักฆ่าตามมาถึงตัวแล้ว!”“ลูกหินของข้าหมดแล้ว! พี่ใหญ่ ท่านเอาที่ข้าให้ไว้มาด้วยหรือเปล่า” ฮัวฮัวแบมือหาพี่สาวทันที ไฉไฉรีบล้วงเสื้อ ปรากฏว่ามีแต่หมั่นโถวตากแดดร่วงลงมาหลายชิ้น “พี่ใหญ่! แล้วก็ชอบห้ามข้ากินของหวานตอนกลางคืน แต่พี่กลับพกติดตัวตอนหนีพวกนักฆ่าออกมาแบบนี้ จะให้ข้าคิดยังไงกัน!”“นี่ทำไมข้าถึงได้พกหมั่นโถวออกมาขนาดนี้เนี่ย ข้าต้องหยิบเสื้อมาผิดตัวแน่ๆ” นางคิดไปถึงเหตุผลว่าทำไมต้องหยิบเสื้อมาใส่ แล้วก็ดันเกิดหน้าแดง เพราะตอนนั้นเกือบได้สานสัมพันธ์กับฟู่เหรินอยู่แล้วเชียว “โอ๊ย! ไม่รู้แล้ว พวกเราหาอาวุธเอาเท่าที่มีรอบตัวสู้ไป
“หา...หมายความว่า...ว้าย!”พรึ่บ!ไฉไฉมัวแต่เถียงกับองค์ชายเลยไม่ทันระวังตัว นางก้าวพลาดลงไปในบ่อที่ขุดไว้ดักสัตว์ แม้จะไม่เจ็บเท่าไรเพราะกลิ้งม้วนตัวลงไปพอดี แต่หลุมนี้ลึกมาก เรียกว่าเป็นความซวยจริงๆ“องค์ชาย! ท่านวิ่งไปข้างหน้าอีกไม่เท่าไรจะเจอต้นไม้สองง่าม มีกระท่อมของยายเฒ่าตาบอดอยู่ไม่ไกลจากนั้น” นางตะโกนบอกเขาเสียงดัง “ที่นั่นเป็นจุดนัดพบของสายลับกับองครักษ์ ท่านจะปลอดภัย”“ไม่ได้! รอก่อน ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ฟู่เหรินลงไปนอนแนบพื้นแล้วพยายามส่งมือเข้าไปหา “ข้าจะไม่หนีไปคนเดียว ถ้าจะรอด เราต้องรอดไปด้วยกัน!”“โอ๊ย! ท่านนี่โง่จริง ข้าให้ท่านหนีไปก่อนเพราะท่านเป็นตัวถ่วง ยังไม่รู้ตัวอีก” เสียงหญิงสาวแผดขึ้นมา “ท่านมันอ่อนแอจึงเป็นตัวภาระ นี่ข้ามีแผนแล้ว ข้ามีระเบิดพลุติดตัวไว้ยามฉุกเฉิน ข้าจะยิงใส่พวกมัน แล้วท่านจะมาอยู่แถวนี้ให้เกะกะทำไมเล่า!”หญิงสาวโกหก นางไม่มีของที่ว่า แต่ทำเป็นชูอะไรก็ไม่รู้ขึ้นมา เพื่อให้เขาสบายใจ“ระเบิดพลุอะไรของเจ้าหา นั่นมันหมั่นโถวตากแดดที่เอาไว้ปิ้งกินกับน้ำผึ้งที่น้องสาวชอบไม่ใช่หรือไง แล้วนี่พกมาทำไมเนี่ย!” เขาพูดแบบนั้นนางเลยได้หันดู อ้าวจริงด้วย ไม่ร
โอ๊ย!...อุ้บ!”ไฉไฉดึงหูฟู่เหรินเหมือนที่เห็นหลี่ซูเจินทำเจิ้งห่าวหรานมาตั้งแต่นางจำความได้ ท่านแม่ดึงหูท่านพ่อทีไร ท่านพ่อมีอันได้ยอมแพ้ เพราะมันเจ็บ!มือหนึ่งดึงหู อีกมืออุดปากเขาแน่นไม่ให้ร้อง แต่เพียงครู่เดียวก็ปล่อยมือที่บิดหูออกแล้วไปกระซิบ“ข้างนอกเป็นนักฆ่าที่ตั้งใจลอบฆ่าท่านมาตั้งแต่ที่ตลาดแล้ว และท่านคงคิดไม่ผิด ฝู่เตี้ยวเป็นหนอนจริงๆ ตอนนี้พวกเราถึงได้ตกอยู่ในอันตราย”“ขืนยังอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยังไงพวกเราก็คงได้ตาย” ฟู่เหรินได้พูดเป็นคำแรกตนที่เอามือลูบหูตัวเองป้อยๆ คิ้วขมวดตึง มองไปข้างนอกยังเห็นห่ามีดบินอยู่เลย “ข้าจะพาเจ้าออกไปเอง เจ้าหลบข้างหลังข้าไว้ก็แล้วกัน”กลายเป็นไฉไฉที่คิ้วขมวดไปด้วย เพราะสำหรับนางแล้วฟู่เหรินหาได้เป็นวรยุทธ์ไม่ ซ้ำยังอ่อนแอจนไม่รู้ว่ามีชีวิตรอดจากวังหลวงมาถึงวันนี้ได้อย่างไร ถึงนางไม่เก่งอะไรมาก แต่อย่างน้อยก็รู้หลักพื้นฐาน และเอาตัวรอดเก่งด้วย “ท่านอยู่ข้างหน้าข้า คงอยากเป็นเป้าเคลื่อนที่กระมัง” นางเอื้อมมือขึ้นไปบนเตียง ควานหาลูกหินของฮัวฮัวอีกชุด ซึ่งมันเป็นชุดสุดท้ายแล้ว “นี่แหละองค์ชาย ท่านคงยังไม่รู้ว่าอะไร ข้าถูกท่านพ่อจับไปฝึกเป็นสา
“ฝู่เตี้ยวคงไม่ได้อยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก” นางบอก หลังคาดการณ์จากสิ่งที่ฮัวฮัวบอกไว้ก่อนกลับบ้านไป พฤติกรรมประหลาดของขันทีน้อย คือเขาชอบหายไปไหนในช่วงที่ฟู่เหรินจะไม่มีทางรับรู้ ฮัวฮัวสะกดรอยตามแบบห่างๆ จึงรู้ว่าฝู่เตี้ยวต้องไปพบใครมาแน่ๆ แต่คงไม่ใช่ฝ่ายเดียวกัน เพราะฝ่ายเดียวกันนี้ก็มีเพียงหน่วยองครักษ์กับคนของเซี่ยงกงกงเท่านั้นเอง ประจวบเหมาะกับที่อยู่ดีๆ ตำแหน่งขององค์ชายถูกเปิดเผย จึงไม่มีทางคิดเป็นอื่นไปได้เลย นอกจาก... “ฝู่เตี้ยวคือหนอนบ่อนไส้สินะ” ฟู่เหรินพูดขึ้นมาเอง เป็นไฉไฉที่ต้องหันหน้าไปมอง เพราะเขาพูดเหมือนรู้ว่านี่มันเรื่องอะไร ชายหนุ่มสั่นหน้าด้วยความหดหู่ใจ “อะไรคือสิ่งที่ทำให้ฝู่เตี้ยวที่อยู่กับข้ามาตั้งแต่อายุสิบปีกลับมาหักหลังข้าได้” “นั่นเป็นเรื่องที่ต้องไปสืบภายหลัง แต่ตอนนี้...” ข้างนอกเงียบเกินไป ราวกับไม่มีแม้แต่เสียงของสายลมราตรี หญิงสาวล้วงไปใต้เตียงแล้วหยิบดาบที่เป็นอาวุธประจำตัวซึ่งซุกซ่อนไว้เผื่อเวลาฉุกเฉิน “เราต้องรอดไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน ได้โปรดอยู่ข้างหลังข้าก็พอ” “อาหง ท่าทีเจ้าเปลี่ยน หรือว่าความจริง...เจ้ามีสถานะอื่น”