.
.
.
ณัฐภัทรเดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าจากการทำงานทั้งวันตั้งแต่เช้าถึงสองทุ่มแทบไม่ได้พัก สองเท้าหยุดชะงักลงหน้าห้องรับแขกสายตาคมมองผู้เป็นย่านั่งรออยู่ ก่อนเดินเข้าไปในห้องพร้อมนั่งลงข้าง ๆ
“คุณย่ายังไม่เข้านอนอีกหรือครับ ดึกมากแล้วนะครับ” ณัฐภัทรกล่าว สายตาคมมองใบหน้าเหี่ยวย่นด้วยความรักและเคารพ “ย่ารอภัทรอยู่น่ะ” “รอผม เรื่องอะไรครับ” เขาคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย “ก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย แต่ย่าก็แค่จะพูดกับภัทรด้วยตัวย่าเอง” คนเป็นย่ายิ้มกว้างออกมาจนผิดสังเกต “เรื่องอะไรครับ” เขาถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าที่เหี่ยวย่นนั้นดูแปลกกว่าทุกครั้ง ไม่ใช่ยิ้มอย่างอ่อนโยนแต่ยิ้มราวกับมีแผนอยู่ในใจ “ย่าเห็นว่าเปมทัตทำงานคนเดียวก็คงไม่ทันหาก็เลยผู้ช่วยให้เรานะ แต่เป็นผู้หญิงนะ” “คุณย่า !” ณัฐภัทรมองผู้เป็นย่าด้วยตกใจและไม่พอใจ ลึก ๆ แล้วก็รู้ดีว่าหากท่านมาพูดด้วยตนเองแบบนี้คงมีแผนอยู่ในใจอย่างแน่นอน “ไม่จำเป็นต้องมีเพิ่ม” เขาตอบเสียงแข็ง ที่ผ่านมาก็ไม่จำเป็นต้องมี ผู้ช่วยค่อยช่วยงานเพิ่ม แค่เปมทัตก็สามารถจัดการทุกเรื่องได้ดีอยู่แล้ว “เรื่องนั้นย่าไม่อยากจะฟัง เพราะย่าตัดสินใจไปแล้ว” จินดารัตน์ไม่รอให้หลายชายเถียงกลับ เธอลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินออกไปทันที แผนนี้เธอไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่ใจของเธอก็หวังให้หลานชายมาชอบหญิงสาวยังดีเสียกว่าจมปลักกับคนรักเก่าที่ไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีก... ชายหนุ่มโยนเสื้อสูทและกระเป๋าทำงานลงกับเตียงด้วยความโมโหขณะนั่งลงที่ปลายเตียง เขารู้ว่าย่าของเขากำลังคิดจะทำอะไร แต่จะให้เขายอมรับผู้หญิงคนใหม่เข้ามาในชีวิตเขาทั้งที่ยังรักพิศชามนต์อยู่เต็มหัวใจ เขาทำไม่ได้ ! ณัฐภัทรมองรูปถ่ายคู่ของเขากับพิศชามนต์บนโต๊ะข้างหัวเตียงด้วยความรัก มือหนาเอื้อมไปหยิบกรอบรูปนั้นขึ้นมา หัวใจยังคงคิดถึงไม่จางหาย แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านมาถึงห้าปี เขายังยึดหมั่นสัญญาที่ให้ไว้พับพิศชามนต์ไม่เคยลืม หยดน้ำตาอุ่น ๆ กลิ้งลงมาจากหางตาไหลสู่แก้ม พลันนึกถึงเรื่องราวในอดีตอีกครั้ง แม้ว่าจะเจ็บปวดแต่ไม่คิดที่จะลืม เพราะอย่างน้อยก็ยังคงเป็นความทรงจำที่ทำให้เขามีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา ‘ภัทรสัญญานะว่าจะรักมนต์คนเดียว’ เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ‘มนต์เชื่อใจภัทรเสมอนะ’ ‘ขอบคุณมนต์ ที่เชื่อใจภัทรนะครับ’ เขายิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะดึงร่างบางเข้ามาในวงแขนของเขนอย่างทะนุถนอม ‘มนต์รักภัทรนะ’ ‘ครับ ภัทรก็รักมนต์ รักตลอดไป’ เขาลืมตาขึ้นมองรูปอีกครั้งก่อนจะวางลงที่เดิม ไม่มีวันไหนที่ลืมเสียงหวานของพิศชามนต์ได้เลย...ประตูห้องปิดลง จิรภาณินท์เดินมานั่งที่เตียงอย่างหมดแรง ทั้งที่ควรจะกลับถึงบ้านเมื่อตอนเที่ยง แต่เพราะต้องไปยกเลิกงานพริตตี้ที่ทำอยู่ไปชั่วคราว พร้อมหาเหตุผลอ้างจนผู้จัดการยอมฟังจิรภาณินท์หยิบเช็คในกระเป๋าออกมา เงินมัดจำครึ่งแรกห้าล้านเข้าไปแล้ว เรื่องนี้คงจะให้แม่รู้ไม่ได้ ปิดไว้เป็นความลับดีที่สุด“พรุ่งนี้สินะที่ต้องไปทำงานใหม่” เธอพึมพำกับตัวเอง“พ่อคะ อย่าโกรธณินท์นะคะ ณินท์แค่อยากให้แม่มีความสุข” หญิงสาวพนมมือขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความรู้สึกผิด “แค่สามเดือนเท่านั้น เป็นกำลังให้ใจณินท์นะคะ”จิรภาณินท์ เป็นเสมือนลูกหัวแก้วหัวแหวน ตั้งแต่เล็กเธอถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี บิดาของเธอที่ทำงานเป็นผู้จัดการในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง มารดาของเธอไม่เคยออกไปรับทำงานตั้งแต่มีเธอ ครอบครัวของเธอดูอบอุ่นและเป็นที่อิจฉาของคนหลาย ๆ คนถึงแม้จะอยู่กันในแค่บ้านหลังเล็ก ๆ แต่เมื่อเธออายุได้สิบแปดปี บิดาเธอล้มป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย มีเพียงเงินก้อนใหญ่ที่พอจะเลี้ยงดูสองแม่ลูกได้ แต่นั่นก็ไม่พอเมื่อเงินก้อนนั้นค่อยหมดลง
“ณินท์ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”จินดารัตน์พยักหน้า“ทำไมคุณถึงให้ณินท์ทำงานนี้คะ”“ทำไมคุณถึงให้ณินท์ทำงานนี้คะ”“ฉันก็แค่คิดว่าเธอน่าจะทำได้สำเร็จก็เท่านั้น อีกอย่างเธอมีวุฒิการศึกษาที่สูงพอควรจะเข้าไปทำงานได้ เธอคงจะไม่ว่าฉันหรอกนะ ที่สืบดูประวัติของเธอ”หญิงสาวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ ทำงานหมายความว่ายังไงกัน !“ไม่ค่ะ ณินท์เข้าใจว่าคุณต้องรู้ก่อนว่าณินท์เคยทำงานอะไรมาบ้าง” หญิงสาวตอบ“เข้าเรื่องกัน ฉันจะให้เธอไปเป็นผู้ช่วยหลานชายในบริษัท ฉะนั้นคุณสมบัติเธอตรงกับข้อกำหนดของบริษัทพอดี ถ้าเกิดไม่ตรงคงไม่ให้ทำงานนี้เพราะเธอต้องเข้าใกล้หลานชายทั้งวัน”“แล้วคุณไม่กลัวฉัน ...” ไม่กล้าที่จะถาม อายเสียเปล่า“หลงรักหลานชายฉันน่ะหรอ” เสียงของจินดารัตน์พูดต่ออย่างรู้ทัน พลางยิ้มหัวเราะออกมาเพราะเรื่องนั้นไม่สำคัญ อยู่ที่ว่าหลานชายของเธอรู้สึกอย่างไร ถ้าหากจะรักกันจริงเธอก็ไม่คิดที่จะห้ามของเพียงลบอดีตที่ไม่มีวันกลับมาออกไปเท่านั้นก็
สายลมพัดผ่านเข้าหน้าต่างในเวลาเย็นจิรภาณินท์นั่งมองการ์ดนามบัตรอยู่ในมือด้วยความลังเลใจ งานที่เธอควรจะตัดสินใจทำดีหรือไม่ หลังจากที่ฟังจากปากของผู้หญิงอายุคราวแม่ของเธอ ย้อยกลับไปเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา จินดารัตน์ชวนเธอออกไปทานอาหารมื้อกลางวัน ก่อนจะเปิดประเด็นคุยเรื่องงานที่เรียกเธอมาพบ แต่แบบนี้เขาเรียกว่างานได้หรือเปล่านะ‘คุณแม่คะ เพ็ญขอพูดอะไรหน่อยได้ไหมคะ’ เพ็ญรตีพูดด้วยท่าทางหยิ่งแสดงออกถึงความไม่ชอบเธอสักเท่าไหร่‘มีอะไรอีกล่ะแม่เพ็ญ’‘ก็แค่ จ้างให้มาเปลี่ยนใจเจ้าภัทร แต่หล่อนไม่มีสิทธ์หลงรักลูกชายฉัน’ เพ็ญรตีพูดเสียงแข็ง ไม่แม้แต่จะมองใบหน้าของจิรภาณินท์ที่ยังนิ่งเงียบไม่ตอบโต้สิ่งใดทั้งสิ้น‘จำนวนเงินจ้างและหน้าที่ ฉันจะบอกเธออีกทีถ้าเธอตกลง’ จิรภาณินท์ยังคงนั่งมองการ์ดที่อยู่ในมือ พลางทบทวนเงื่อนไขที่จินดารัตน์เสนอให้เธออีกครั้ง... ภายในห้องรับแขกมีแต่ความนิ่งเงียบ สายตาของเพ็ญรตีแสดงถึงความไม่พอใจออกมาจนชัดเจน เมื่อทราบถึงจำนวนเงินมากมายเกินตัวกว่าจะยอมรับได้ จินดารัตน์มองพร้อมส่ายหน้ากับลูกสะใภ้ตระกูลสูงเพียบพร้อมทุกอย่าง“เพ็ญรับไม่ได้ค่ะคุณแม่ มันมากเกินไป” เพ็ญรตีคัด
เสียงเพลงเปิดดังไปทั่วงาน จินดารัตน์นั่งอยู่ในงานกวาดสายตามองภายในงานอย่างไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่ มอเตอร์โชว์ที่ไม่ค่อยจะมีผู้หญิงมาดูรถยนต์ สิ่งที่เธอเห็นมีแต่เพียงผู้ชายทุกอายุ ไม่ว่าจะเป็นอายุยี่สิบต้นจนไปถึงอายุห้าสิบปลาย ๆ แต่สายตาที่มองรถนั้นแทบจะไม่มีเลย ทันทีที่แสงไฟบนเวทีใหญ่ดับลง สายตาทุกสายตาจับจ้องไปที่กลางเวทีด้วยความตื่นเต้น ไม่เว้นแม้กระทั่งลูกชายของเธอเช่นเดียวกัน ไฟกลางเวทีเปิดขึ้น ปรากฏร่างหญิงสาวใบหน้าสวย จมูกโด่งสวย รับริมฝีปากบางอิ่มสีชมพู ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางในชุดเกาะอกกางเกงขาสั้นสีดำพร้อมเสื้อคลุมหนัง ยืนคู่กับรถสีดำรุ่นล่าสุดประจำปีด้วยท่าทางที่ยั่วยวน“สวัสดีครับ นี่คือรุ่นล่าสุดนำเข้าจากประเทศเยอรมนี” พิธีกรหนุ่มพูดลากเสียงยาว เมื่อพูดจบก็มีเสียงปรบมือดังขึ้น แต่ทว่าทุกสายตาก็ยังคงจับจ้องไปที่พริตตี้สาวไม่วางตารวมทั้งจินดารัตน์ด้วยเช่นกัน “นี่แม่เพ็ญ พริตตี้ที่ยืนเกาะรถคนนั้นใครน่ะ” จินดารัตน์ถาม มองหญิงสาวเจ้าของใบหน้าสวยอย่างชื่นชม“ไม่รู้หรอกค่ะ แต่เพ็ญว่าคุณแม่อย่าไปใส่ใจเลยดีกว่าค่ะ” เพ็ญรตีมองด้วยความไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ เธอไม่ชอบ พริตตี้มาตั้
เสียงตะโกนเรียกจากด้านล่างของผู้เป็นแม่ดังขึ้น หญิงสาวใบหน้าสวยที่หลับใหลอยู่บนเตียงขนาดกลางค่อย ๆ ปรือตาขึ้นด้วยความรำคาญจากเสียงรบกวน มือขวายกขึ้นบังแสงแดงที่ส่องผ่านม่านเข้าแยงตา ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมขยี้เส้นผมสีน้ำตาลไหม้อย่างงัวเวียเช้าอีกแล้วทำไมเวลานอนช่างสั้นแบบนี้นะ“ยัยณินท์ทานข้าวได้แล้ว” เสียงผู้เป็นแม่ตะโกนดังจากข้างล่าง“ค่า” จิรภาณินท์ตะโกนตอบ เธอขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงพลางถอนหายใจออกมาพร้อมหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปที่ห้องน้ำเวลาผ่านไปไม่ถึงสิบห้านาที หญิงสาวเดินออกจากห้องน้ำ สองเท้าเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าก่อนจะเลือกหยิบชุดเดรสสีดำ ออกมาเพื่อสวมใส่ เป็นวันที่น่าเบื่อสำหรับเธออีกวัน ถึงแม้ว่าจะเป็นงานที่สุจริต ใช่ว่าเธออยากจะทำแต่เพราะได้เงินดี งานสมัยนี้หายากจะตายไป ยิ่งสำหรับเธอแล้วถึงแม้ว่าจบมาได้สองปีแต่เธอก็ยังเลือกที่จะทำงานแบบนี้ต่อ ทั้งที่งานนี้ไม่ได้เกี่ยวกับสาขาที่เธอเลือกเรียนจบมาแม้แต่น้อย เพราะเธอเคยสมัครงานไปแล้วแต่ไม่มีการเรียกตัวเธอเข้างานทำรอแล้วรออีก ให้ทางบริษัทเรียกตัวเธอแต่กลับไม่มีวี่แววถึงสามเดือน...เวลาผ่านไปไม่ถึงสิบห้านาที หญิงสาวเด
แสงไฟสลัวภายในห้องนอนขนาดใหญ่ ร่างของชายหนุ่มนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ใบหน้าคมเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลซึมออกมา เปลือกตาบีบหนารัดแน่น มือเกร็งยกขึ้นเพื่อคว้าบางสิ่งที่กำลังเดินจากไป “มนต์ อย่าไปจากภัทร” ชายหนุ่มละเมอพร้อมยกมือขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว“มนต์ กลับมา กลับมา !” เขาสะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมเสียงลมหายใจหอบ สายตาคมมองไปรอบ ๆ ห้องที่คุ้นเคย ยกมือขึ้นลูบใบหน้าที่เปียกเต็มไปด้วยเหงื่ออย่างเหนื่อยล้า ฝันถึงอีกแล้ว ความเจ็บปวดยังคงซ้ำเหมือนเดิมไม่มีวันหาย อีกแค่วันเดียวทำไมสวรรค์ถึงกลั่นแกล้งแบบนี้ ทำไมต้องพรากพิศชามนต์ไปด้วย งานแต่งงานถูกจัดเตรียมมาเป็นอย่างดีร่วมสามเดือนขาดแต่เพียงเจ้าสาวในวันแต่งงาน จากงานแต่งกลับกลายเป็นงานอำลา ถ้าคืนนั้นไม่เกิดขึ้น ในเวลาแบบนี้เขาคงกอดพิศชามนต์อยู่ในอ้อมกอดทุกคืน ชายหนุ่มค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง สองเท้าก้าวยาวเดินตรงไปที่ห้องน้ำ สายน้ำจากฝักบัวค่อยไหลสู่ร่างกายแกร่งผิวสองสี ยกมือลูบใบหน้าก่อนจะเอื้อมมือไปปิดฝักบัว กำปั้นแขนซ้ายยกขึ้นทุบกำแพงอย่างแรง หยดน้ำตาของลูกผู้ชายค่อย ๆ ไหลออกมา ห้าปีผ่านมาแล้ว แต่ก็ยังทำใจรับกับการจากไปของคนรักไม่ได้ ก