ท่ามกลางความโกลาหลตรงเขตชายแดนระหว่างภพมารและภพสวรรค์ เทพจันทราเร่งหลอมรวมวิญญาณและพลังของตนเองเพื่อผนึกลิขิตสวรรค์ในต้นไม้แห่งโชคชะตาไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้
แม้จะต้องสละวิญญาณแต่นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องสรรพสิ่งจากหายนะที่คืบคลานเข้ามา ชายชรารู้เป็นอย่างดีว่าจอมมารจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชะตาของใครบางคนอย่างแน่นอน และนั่นอาจจะทำให้แผนการที่วางไว้ล่มไม่เป็นชิ้นดี
เสียงคำรามของสัตว์อสูรดังกระหึ่มสร้างความวิตกในใจของเขาเป็นอย่างมาก อีกนิดเดียว ข้าขอเวลาอีกนิดเดียว เขาคิดในใจหวังว่ากองทัพสวรรค์ที่อยู่ด้านนอกจะช่วยต้านทานถ่วงเวลาผู้บุกรุกได้อีกสักเพียงนิด
“หยุดนะ!” ปีศาจสาวนามว่าหลิวอิงอิงผู้เป็นมือขวาของจอมมารตะโกนก้อง นางร่ายพลังปีศาจใส่เทพจันทราโดยไม่ยั้งมือ หากแต่ถูกสกัดกั้นโดยกองอารักขาเสียก่อน จึงทำให้นางฉุนเฉียวเพราะไม่ได้ดั่งใจ
เทพจันทราตั้งสติมั่นพลันขอบข่ายอาคมปรากฏขึ้นหลอมรวมกับจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของชายชราผู้นี้โอบล้อมเป็นม่านคลุมต้นไม้แห่งโชคชะตาเอาไว้ในชั่วขณะ
หลิวอิงอิงสบถเสียงดังที่ขัดขวางศัตรูไม่สำเร็จพลางสั่งการสัตว์อสูรให้กำจัดกองทหารสวรรค์ในบริเวณนั้นไม่ให้เหลือแล้วพยายามทำลายม่านศักดิ์สิทธิ์เพื่อค้นหาดวงชะตาของเทพดาราตามคำสั่งของจอมมาร
เวลานั้น สวีลู่ชิงหรือเทพดารากำลังเตรียมพร้อมอยู่ในลานจุติ แววตามุ่งมั่นรู้ว่าตนเองรับหน้าที่แสนสำคัญและทุกคนฝากความหวังเอาไว้
เมื่อวัยเยาว์นางได้รับเลือกให้เป็นผู้รับพลังของเทพบรรพกาลมาผนึกไว้ในตนเอง โชคชะตาของผู้มีพลังอันยิ่งใหญ่จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องทุกคน แม้ว่านั่นอาจจะหมายถึงการสละกระทั่งแก่นวิญญาณเทพ
หากแต่สวีลู่ชิงไม่เคยนึกเสียดายถ้าต้องสลายหายไปหลังเรื่องทุกอย่างจบสิ้น สายตาของนางมองเหล่าเทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบ สีหน้าเศร้าสร้อยเพราะไม่รู้ว่าหลังจากที่นางกลับมายังภพสวรรค์อีกรอบจะได้เจอพวกเขาเหล่านั้นหรือไม่
เทพบุปผาก้าวเข้ามากอดสวีลู่ชิงราวกับจะเอ่ยบอกลาล่วงหน้า “หวังว่าสักวันหนึ่ง เราจะได้กลับมาเจอกันอีกนะ ลู่ชิง”
“เจ้าอย่าพูดเช่นนี้สิเฟยฮวา” นางกล่าวกับสหาย “ก่อนที่ข้าจะต้องดับสลาย รอพบหน้าข้าอีกสักหนไม่ได้หรือ”
สวีลู่ชิงยังคงมีความหวังว่าเทพสงครามและกองทัพสวรรค์จะปกป้องสถานที่แห่งนี้ได้โดยที่ไม่ต้องรอนางใช้แผนการสุดท้ายเพราะการที่นางต้องลงมือเองหมายความว่าไม่มีใครต้านความชั่วร้ายของจอมมารตนนี้ได้เลย
“ข้าจะพยายาม” หวงเฟยฮวาพยักหน้ารับปากแต่นางมิอาจรู้ได้เลยว่าจะทำได้เช่นนั้นจริงหรือไม่
แม้แต่เทพจันทราที่เป็นเทพอาวุโสยังต้องสละวิญญาณของตนเอง แล้วเทพอย่างนางจะรอดพ้นเงื้อมมือจอมมารไปได้อย่างไร
หลังจากร่ำลากันเรียบร้อยแล้ว สวีลู่ชิงผนึกพลังและความทรงจำของตนเองไว้ในส่วนลึกของแก่นวิญญาณแล้วปล่อยตัวร่วงหล่นลงจากลานจุติในพริบตา
แสงสีฟ้าประกายวาบพวยพุ่งเป็นสัญญาณว่ามีเทพเซียน
ลงไปเผชิญด่านเคราะห์ที่ภพมนุษย์ กงจื่อเย่แสยะยิ้มรู้ว่าลูกน้องมือขวาของตนทำงานไม่สำเร็จ แต่หากคิดลงโทษเวลานี้ก็ดูไม่เหมาะสักเท่าใดนัก เขาจึงได้แต่คาดโทษแล้วจะคิดบัญชีคราวหลัง
สวีต้าเฟิง เทพวายุผู้เป็นพี่ชายของสวีลู่ชิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่ไม่ได้ร่ำลาน้องสาวของตนเอง ไม่คาดคิดเลยว่าเด็กน้อยที่เลี้ยงอย่างทะนุถนอมมาตั้งแต่เกิดจะต้องรับผิดชอบหน้าที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้
โชคชะตาของผู้ที่ถูกเทพบรรพกาลเลือกไม่อาจปฏิเสธได้แต่ช่วงเวลานั้นกลับมาถึงเร็วเกินไปจนเขาไม่ทันได้เตรียมใจที่จะต้องสูญเสียนางอย่างไม่มีวันกลับ
สวีต้าเฟิงจ้องหน้ากงจื่อเย่ไม่วางตา คิดในใจว่าอย่างน้อยควรทำสิ่งที่คิดไว้กับเทพสงครามให้สำเร็จ
แผนการผนึกเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตในแก่นวิญญาณของจอมมารผู้เกิดแต่โคลนตม ไร้อารมณ์ความรู้สึก จนไม่อาจมีสิ่งใดทำลายได้
เมล็ดพันธุ์ดวงแรกที่เทพดาราเก็บเกี่ยวได้ยามลงมาเผชิญด่านเคราะห์แดนมนุษย์เมื่ออายุครบหนึ่งพันปีอยู่ในมือของเทพสงครามเรียบร้อยแล้ว
แม้ครั้งนี้สวีลู่ชิงต้องลงไปแดนมนุษย์อีกครั้งก่อนกำหนด เสี่ยงที่พลังจะอ่อนแอ แต่นางกลับไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย เพราะได้รู้ว่าเมื่อเมล็ดพันธุ์ทั้งสามดวงถูกผนึกในแก่นวิญญาณของจอมมารจนต้นไม้แห่งชีวิตหยั่งรากเมื่อใด เวลานั้นการกำจัดหายนะก็จะไม่ยากเย็นอีกต่อไป
“เสียดายที่ไม่อาจได้พบนาง” เทพสงครามเฉิงอี้มองดูเมล็ดพันธุ์พลางพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นยามนึกถึงสวีลู่ชิง บุคคลที่เขารักเหมือนน้องสาว
“หากข้ารอดไปได้ ข้าจะบอกนางว่าเจ้าฝากบอกลา” สวีต้าเฟิงยิ้มมุมปาก พูดล้อเล่นกับสหายอย่างเคยเพราะครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกัน
“เฮ้อ เจ้านี่นะ” เทพสงครามส่ายหน้า “พร้อมหรือไม่ ข้าอดใจรอซัดเจ้ามารจอมอวดดีไม่ไหวแล้ว”
เทพวายุพยักหน้าพลางร่ายพลังของตนเองมุ่งหน้าไปที่จอมมารโดยไม่เกรงกลัว
กงจื่อเย่แสยะยิ้มไม่ขยับหลบหนีไปที่ใดเพราะมั่นใจว่าไม่มีใครบนภพสวรรค์ทำอันตรายกับเขาได้ แต่ไม่ทันไรกลับต้องนิ่วหน้าเพราะถูกพลังของเทพสงครามอัดเข้าไปเต็ม ๆ จนกระอักเลือด พลันสายตาขุ่นเคืองไม่พอใจฉายแววขึ้นมาจึงเรียกดาบเขี้ยวอสูรที่เกิดจากการหลอมกระดูกและพลังของสัตว์อสูรบ้าคลั่งทั้งเผ่าออกมาถือไว้ข้างกาย
อาวุธประจำตัวหนึ่งเดียวของจอมมารน่าเกรงขามยิ่งกว่าสิ่งใดเสียอีก ดาบกระหายเลือดแผ่กลิ่นอายมารคละคลุ้งข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม ความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุมทั่วบริเวณนั้นพลันเสียงร้องโหยหวนค่อย ๆ ดังขึ้นทีละนิด
พลังแสงสีฟ้าและขาวลอยลิ่วหมายจะทำลายอาวุธจอมมารแต่มันกลับป้องกันตัวเองได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างสาดพลังเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้ามอย่างหนักหน่วงและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้โดยง่ายเพราะจอมมารต้องการทำลายภพสวรรค์ให้ราบคาบ ส่วนทัพสวรรค์ต้องการยืนหยัดปกป้องดินแดนของตัวเองเอาไว้
ระหว่างการต่อสู้ที่ยืดเยื้อมาพักใหญ่ เทพสงครามหันมามองหน้าสหายของตนเองแล้วยิ้มให้เป็นสัญญาณบอกว่าต้องรีบใช้แผนสำรอง
สวีต้าเฟิงถอนหายใจไม่อาจห้ามเทพสงครามได้เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เจ้าตัวได้ตัดสินใจไว้อย่างเด็ดขาดแล้ว จึงหาทางเบี่ยงเบนความสนใจกงจื่อเย่ด้วยการใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อถ่วงเวลาให้เทพสงครามร่ายพลังหลอมรวมวิญญาณ
กงจื่อเย่มองคู่ต่อสู้ด้วยสายตาเหยียดหยาม “เจ้าแค่คนเดียวจะทำอะไรข้าได้”
เทพวายุแค่นหัวเราะที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น “มั่นอกมั่นใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เป็นแค่มารเด็กน้อยแท้ ๆ”
“เฮอะ” กงจื่อเย่หัวเราะลั่นรู้ตัวดีว่าเพิ่งเกิดได้แค่ร้อยปีจึงโดนดูถูกมากเพียงนี้ แต่ผลแพ้ชนะตรงหน้าก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเขาแข็งแกร่งไร้เทียมทาน
แม้เทพเซียนจะเป็นอมตะแต่หากทำลายแก่นวิญญาณแล้วพวกเขาก็จะดับสลายไปได้เหมือนกัน ต่างจากตัวเขาเองที่อยู่ยั้งยืนยง ไม่มีวันดับสูญ
หากวันนี้ถูกทำลาย รอคอยอีกไม่นานตัวเขาจะกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ มีเวลาเหลือเฟือที่จะทำลายภพสวรรค์เล่น ๆ จนกว่าจะสูญสิ้นดั่งใจหมาย
และหากไม่ใช่เพราะว่าเขาบังเอิญรู้มาว่ากาลข้างหน้าจะต้องถูกกำจัด เขาคงไม่ถ่อมาถึงสถานที่แห่งนี้เพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
“ได้ยินมาว่านางเป็นน้องสาวของเจ้า” รอยยิ้มมีเลศนัยเยือกเย็นของกงจื่อเย่ทำให้สวีต้าเฟิงกังวล “ไม่ต้องห่วง ข้าจะทรมานนางให้เจ็บปวดที่สุดแล้วสังหารนางอย่างช้า ๆ”
“โกรธแค้นอะไรนางถึงเพียงนั้น” ผู้เป็นพี่ชายอดไม่ได้ที่จะขุ่นเคือง เขาเลี้ยงนางอย่างกับไข่ในหินแต่มารผู้นี้กลับคิดทำลายนางให้เจ็บปวด
มือสองข้างร่ายพลังสาดใส่กงจื่อเย่ไม่หยุดพักด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“นั่นเป็นเพราะนางคิดสังหารข้าก่อน” กงจื่อเย่เลิกคิ้วไม่แยแส “คนที่คิดกำจัดข้า ข้าจะปล่อยให้มีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”
“หากเจ้าไม่ออกมาจากภพมาร เรื่องพวกนี้ก็ไม่จำเป็น”
“พวกเจ้าก็เป็นเช่นนี้ ปากว่าตาขยิบ เทพเซียนประสาอะไรพูดจากลับกลอก การกระทำชั่วร้ายเลวทรามยิ่งนัก ถึงข้าจะขลุกตัวอยู่ภพมารของข้า พวกเจ้าก็ลอบเข้ามาสังหารข้าอยู่ดี” จอมมารนึกถึงตอนแรกเกิดที่ถูกกองทัพสวรรค์ไล่กำจัดอย่างโหดร้าย
ไม่เพียงแค่หนึ่งครั้ง แต่หลายครั้งนับไม่ถ้วน หากแต่เทพอาวุโสต่างเมินเฉยปล่อยผ่านสิ่งที่เทพเซียนเหล่านั้นกระทำกับเขา
ชะตาที่ทำนายว่าเขาจะกลายเป็นจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้าทำให้เทพเซียนบางคนรู้สึกหวาดกลัวจนคิดจะตัดชะตามารน้อยแรกเกิดโดยไม่สนวิธี
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ข้าเองก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าทรมานน้อยไปกว่าน้องสาวของเจ้าหรอก” กงจื่อเย่แสยะยิ้มมองหน้าสวีต้าเฟิง “ดับสลายไปให้หมด ข้าจะทำลายทุกอย่าง ไม่ว่าใครก็หยุดข้าไม่ได้”
เดิมทีกงจื่อเย่มักคอยจับตามองสวีลู่ชิงและบุตรชายทุกค่ำคืนอยู่แล้วพอได้เห็นนางกับลูกชายจึงนึกถึงวันวานที่ผ่านมา แม้อยากเข้าไปกอดทั้งคู่มากแค่ไหนกลับต้องอดใจไว้คนหนึ่งจำเรื่องราวพวกเขาไม่ได้ ส่วนอีกคนยังคงโกรธเขาอยู่ แต่จะมีบางคราที่อีนั่วยอมให้เขาเข้าใกล้เพราะเห็นว่ามารดามีความสุขยิ่งนักเวลาได้อยู่ด้วยกันสามคนแทนที่จะได้พูดคุยสนทนาตามประสาคนในครอบครัวเดียวกันเหมือนอย่างทุกวัน เวลานี้กลับถูกมนุษย์หน้าเดิมขัดขวางทำให้เสียเวลามากนัก“เจ้าพูดว่าอันใดนะ ไม่รู้หรือว่าข้าเป็นผู้ใด” คุณชายสกุลลั่วโพล่งออกมาเพราะรู้ว่าอำนาจของเขาในเมืองนี้ไม่เป็นรองใคร แต่กระนั้น สวีต้าเฟิงผู้นี้ไม่เคยสนใจตำแหน่งลาภยศของมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ไม่มีค่าอันใดเลยในสายตาของเขา&
หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันน่าเศร้าสลดของกงอีนั่วแล้วสวีลู่ชิงเกิดความสงสารคุณชายตัวน้อยขึ้นมาทันใดที่เขาสูญเสียทั้งมารดาและบิดาไปตั้งแต่อายุยังน้อยเวลานี้อาศัยอยู่กับลุงที่เข้มงวด แต่ละวันต้องคอยเล่าเรียนอักษร อ่านตำรา อยู่ในกฎระเบียบจนอึดอัดใจไปหมด พอเห็นนางที่ตลาดจึงคิดถึงมารดาที่ล่วงลับไปจนอดใจไม่ไหว รบเร้าให้บ่าวรับใช้คนสนิททั้งสองปลอมตัวพาเข้ามาหานางที่หอเยว่ส่างครั้นพูดเรื่องที่ต้องพูดจบแล้ว บ่าวสองคนปล่อยให้คุณชายกงได้อยู่ตามลำพังกับนาง หวังว่าเขาจะมีความสุขขึ้นมาบ้าง คิดว่าอย่างน้อยการได้อยู่กับสวีลู่ชิงจะทำให้ลืมชีวิตโดดเดี่ยวไปได้บ้าง“คุณชายกงเจ้าคะ” นางเอ่ยเรียกคนตรงหน้าพลันได้เห็นว่าคุณชายตัวน้อยทำหน้ามุ่ยไม่พอใจที่นางเรียกเขาห่างเหิน
ก่อนที่จะทำสิ่งอื่นใดกงจื่อเย่บอกข่าวดีกับนางว่าครอบครัวของนางปลอดภัยแล้วและเวลานี้หลบซ่อนอยู่ที่ใด“เจ้าไม่ได้โกหกข้าใช่หรือไม่ จื่อเย่” สวีลู่ชิงรีบถามด้วยความดีใจ ไม่คิดว่ากงจื่อเย่จะพูดเช่นนี้เพื่อปลอบใจนาง“ข้าไม่โป้ปดหรอกขอรับ” เขายืนยันว่าสิ่งที่พูดเป็นความจริง เพราะนำคำพูดของคุณชายสวีมาบอกนางด้วย“ท่านพ่อ ท่านแม่ไม่เป็นอันใดมากใช่หรือไม่ ตอนนั้น ข้าเห็นพวกเขา...” นางหยุดชะงักเพราะนึกถึงช่วงที่เห็นสภาพคนที่รักถูกวางยาพิษ“คุณหนู ใจเย็น ๆ ก่อนนะขอรับ” ทาสหนุ่มปลอบโยนพลางเล่าให้ฟังว่าเขาช่วยทั้งสามคนมาได้อย่างไร ไม่รวมถึงเสี่ยวมู่ บ่าวคนสนิทของนางที่ตอนนี้คอยดูแลเจ้านายทั้งสามเพียงลำพัง “คุณชายสวีฝา
ร่างของคนสกุลสวีถูกทหารนำใส่รถเข็นไม้ลากเลื่อนมาทิ้งไว้ในป่าลึกเพื่อให้สัตว์ที่อาศัยอยู่มากินถือเป็นการทำประโยชน์อย่างหนึ่งครั้งสุดท้ายในชีวิตทหารนายหนึ่งเหงื่อผุดเต็มใบหน้ารู้สึกว่ามีลางสังหรณ์แปลก ๆ จึงรีบบอกให้เพื่อนที่มาด้วยกันรีบขนศพพวกเขาลงไปกองไว้ที่พื้น“จะเร่งข้าทำไมนักเล่า” เขาบ่นหงุดหงิดที่ถูกรบเร้าให้รีบทำรีบเสร็จ“ไอ้นี่ เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าป่าลึกข้างหน้าชอบมีพวกปีศาจมาเพ่นพ่าน” ทหารคนเดิมพูดพร่ำเพ้อถึงข่าวลือที่ได้ยินมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ส่วนคนที่เหลือต่างพยักหน้าเห็นด้วย หากไม่จำเป็นจะไม่มาเหยียบพื้นที่ตรงนี้เด็ดขาด“กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง ข้าบอกแล้วว่าอย่าไปฟังเรื่องเล่าจากปากคนขี้เมานัก” เขาส่ายหน้าแล้วหันรถเข็นกลับไปที่ทางออกพลันได้ยินเสียงส
คุณหนูสกุลสวีตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงร้องของพวกเขาภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ตะลึงงันจนทำอะไรไม่ถูก หันไปดูบิดาทางซ้าย กวาดตามองไล่เลี่ยมาทางขวา มารดาและพี่ชายกลับอยู่ในอาการไม่ต่างกัน“ท่านพ่อ ท่านแม่” นางตะโกนเสียงดังเรียกสติพวกเขา พยายามประคองใครคนหนึ่งขึ้นมา ร้องเรียกทหารนอกคุกที่ยืนเฝ้าเวรยามด้วยความกลัวสุดขีดทุกคนที่มาถึงต่างมองหน้ากันเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักโทษชั้นสูง หากแต่ประเมินแล้วว่าอาการที่แสดงออกมาเหมือนโดนพิษอะไรสักอย่างจึงทำท่าครุ่นคิดขึ้นมาทันใด“ข้าขอร้อง ตามหมอมารักษาครอบครัวข้าได้หรือไม่” นางอ้อนวอนคนตรงหน้า น้ำตาเอ่อคลอเบ้า“แต่ว่า...” หนึ่งในนั้นลังเลเพราะไม่รู้ว่าคนสกุลสวีถูกใบสั่งจากผู
หลังจากถูกจับตัวไปครบเจ็ดวันทางการยังคงไม่ได้ข้อมูลใดเพิ่มเติมจากคนสกุลสวี พวกเขายืนยันอย่างเดิมเหมือนทุกครั้งว่าตนเองบริสุทธิ์ใจ ไม่เคยคิดร่วมมือกับผู้ใดก่อกบฏอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่คำพูดของพวกเขาเป็นเพียงลมปากไร้หลักฐานใด ๆ จึงไม่มีใครเชื่อ อีกทั้งคนเหล่านั้นยังทำหูทวนลมเพราะเป็นพวกเดียวกันกับขุนนางชั่วคืนนั้น“ท่านพ่อ ท่านพี่” สวีลู่ชิงกระซิบเรียกคนทั้งสองที่นิ่งงันสลบไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าและลำตัวมีแต่รอยเขียวช้ำเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเสื้อผ้าเป็นทางคุณชายสวีลืมตามองผู้เป็นน้องสาว นึกโกรธตัวเองไม่น้อยที่เป็นต้นเหตุทำให้ครอบครัวต้องมาผจญความลำบากเช่นนี้ เขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะตกหลุมพรางง่ายดายเพียงนั้น“พวกเขาทำอันใดเจ้าหรือไม่