สองอาทิตย์ต่อมา
สมุนจอมมารทั้งสามล้อมวงก้มมองเจ้าถ่านด้วยความสงสัยว่านกน้อยตัวนี้เป็นมารปีศาจเผ่าพันธุ์ใดกันแน่
“ผ่านมานานถึงเพียงนี้ เหตุใดบาดแผลจึงยังไม่หายหรือว่าถูกพลังร้ายกาจของผู้ใดมา” เฉินซือหยางขมวดคิ้วเป็นปมนึกสงสัยเพราะจับตามองอยู่นานแล้ว
“พลังเทพอาจจะรักษาไม่ได้เพราะเป็นนกที่มาจากภพมารแต่ถึงอย่างไรพลังของนายน้อยก็ไม่ได้ผลอีก ข้าว่าเจ้าถ่านนี่มีอะไรแปลก ๆ” หลิวอิงอิงวิเคราะห์ตามความรูสึกของตัวเอง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับปีกที่เป็นแผล
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
“เฮอะ ดูสิ ข้าว่ามันบ่นเจ้าใหญ่เลย” โจวเหวินหลงพูดบ้าง คนที่มีสติดีที่สุดอย่างเขาจึงนึกเรื่องบางอย่างออกพลันจ้องมองดวงตาของนกน้อยอีกครั้งหนึ่ง
“...” สหายที่เหลือไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร
ทว่า สายตาและสีหน้าโจวเหวินหลงกลับทำให้เข้าใจได้ในทันทีจึงอุทานพร้อมกันว่า “นายท่านหรือขอรับ”
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
โจวเหวินหลงรีบสะบัดเจ้าถ่านพลางขยับหนีในทันที เหตุการณ์นั้นอยู่ในสายตาของสวีลู่ชิงพอดิบพอดีจึงคิดว่าเจ้านกน้อยถูกสมุนจอมมารกลั่นแกล้ง
“พวกเจ้าทำอะไรเจ้าถ่าน” นางโพล่งถามสีหน้าตระหนกที่เห็นนกตัวเล็ก ๆ ถูกเหวี่ยงอย่างแรงเพราะความตกใจจนนอนหงายท้องอยู่บนพื้น
“ข้าเปล่าสักหน่อย” เขาปฏิเสธทันควัน
“ข้าเห็นหมดแล้ว เหตุใดจึงกล้าทำไม่รู้ไม่ชี้” นางส่ายหน้าแล้วค่อย ๆ โอบมืออุ้มเจ้าถ่านขึ้นมาด้วยความอ่อนโยน เลือดตรงปีกไหลย้อยราวกับแผลเปิด
จิ๊บ
นกน้อยมีแรงส่งเสียงเพียงเท่านั้น ทำท่าอ่อนเพลียบาดเจ็บให้นางนึกสงสาร
หลิวอิงอิงกระซิบกับสหายที่เหลือด้วยความมั่นใจเต็มร้อย “เจ้าเล่ห์เพียงนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก”
“อือ” คนที่เหลือพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะพูดว่า “เมื่อครู่ข้าตกใจไปหน่อย ไม่ได้ตั้งใจทำให้มัน... เอ่อ นายท่... เอ่อเจ้าถ่านบาดเจ็บ รบกวนท่านช่วยดูแลได้หรือไม่ขอรับ”
สวีลู่ชิงนิ่วหน้าเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนจะพานกตัวกระจิริดไปรักษาแผลที่บ้านเล็กของตนเอง สายตาของนางดูเป็นห่วงเป็นใยและกังวลที่บาดแผลของมันไม่หายสักที
“เจ้าถูกผู้ใดทำร้ายมาหรือ” นางถามไถ่ตามประสาพยายามคิดหาวิธีรักษามันให้หายดี
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
เสียงร้องของมันดูผิวเผินเหมือนพูดโต้ตอบทั่วไปไม่ได้ความอันใด แต่คนที่รู้ความหมายเพียงคนเดียวอย่างอีนั่วกลับทำหน้ามุ่ยส่งกระแสจิตไปถึงบิดาที่กำลังเล่นละคร
“ยังไม่ถึงพันปีเลย เหตุใดท่านพ่อจึงฟื้นขึ้นมาได้เร็วเพียงนี้”
“ข้ากลับมาหาเจ้ากับนาง ทำไมถึงไม่ดีใจเล่า” เสียงกงจื่อเย่ถามบุตรชายด้วยความสงสัย “ยังโกรธข้าอยู่หรือ”
“เฮอะ” อีนั่วทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ
“พ่อขอโทษ” เขาเอ่ยกับมารน้อยแผ่วเบาเพราะรู้ตัวว่าทำผิดไป ครั้งนั้นทำให้อีนั่วตกใจจนวิญญาณกระเด็นหายแถมพรากแม่ลูกจากกันนานหลายปี
แม้จะถูกบุตรชายปิดบังไม่ยอมให้เจอสวีลู่ชิงเป็นร้อยปี ทิ้งเขาไว้ในสุสานเทพเซียน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่านางอยู่ที่ใดแต่กงจื่อเย่ไม่นึกโกรธอันใดเลยคิดว่าเขาสมควรโดนกระทำกลับบ้าง
หากครั้งนี้ต้องง้อมารน้อยอีกสักพันปีคงต้องยอมให้เป็นเช่นนั้นจึงบอกเขาไปว่า “อีนั่ว เจ้าฟังข้าให้ดี ถึงแม้ว่าข้าจะกลับมาได้แต่เวลานี้ไม่มีพลังใด ๆ ทั้งสิ้น ปกป้องเจ้าไม่ได้ ดูแลมารดาเจ้าก็ไม่ได้ เป็นเพียงเงาไร้ตัวตน ทำได้แค่แปลงกายเป็นนกตัวเล็กนิดเดียว นึกอยากเอ่ยปากพูดกับนางยังทำไม่ได้เลย เจ้ายอมให้ข้าสักเรื่องได้หรือไม่”
“...”
“กว่าข้าจะกลับมาได้คงใช้เวลานานนัก แค่อยากอยู่ข้างเจ้ากับนาง”
“ท่านพ่อกำลังคิดหลอกล่อข้าหรืออย่างไร จอมมารไร้ใจรับรู้ความรู้สึกเช่นนั้นได้แล้วหรือ” อีนั่วจ้องดวงตาสีม่วงแดงของอีกฝ่ายไม่วางคอยจับพิรุธเพราะยังคงไม่ไว้ใจคำพูดของเขา
ทว่า นกน้อยทำทีหลบสายตาราวกับโดนจับได้ว่าปิดบังอะไรไว้อยู่แต่ยังทำหน้านิ่งไม่รู้ไม่ชี้ แล้วบอกให้อีนั่วมั่นใจอยู่หนึ่งอย่าง
“ต้นไม้แห่งชีวิตกำลังงอกงามอยู่ในแก่นวิญญาณของเจ้า ความรู้สึกครึ่งหนึ่งเป็นของข้า อีกครึ่งเป็นของมารดาเจ้า เจ้าเองก็รับรู้ไม่ใช่หรือว่าข้าคิดอย่างไรกับนาง เวลานั้นจึงยอมบอกให้ข้ารู้ว่านางอยู่ที่ใด” มุมปากของนกน้อยยกขึ้นเหมือนตนเองพูดได้มีเหตุผล
ท่าทีของมารน้อยโอนอ่อนลง เขารู้ดีว่ากงจื่อเย่รู้สึกเช่นไรจึงได้ขอให้ช่วยแต่ก็อดไม่สบอารมณ์เพราะเรื่องในอดีตอยู่ดีจึงไม่ยอมยกโทษให้อีกฝ่ายเสียที
“บาดแผลนั่น จะหายเมื่อใดหรือ” เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัยแม้จะรู้ว่าไม่เป็นอันตรายก็ตาม
“...” จอมมารตอบไม่ได้เพราะถ้าเขาหายดีขึ้นมา ไม่รู้ว่าสวีลู่ชิงจะทำอย่างไรกับเขาต่อไป
“ไม่เห็นต้องทนเจ็บเลยก็ได้นี่ หากท่านพ่ออยากอยู่ที่นี่ต่อไป ท่านแม่คงไม่ว่าอันใดอยู่แล้ว”
กงจื่อเย่หูผึ่งทันทีที่ได้ยินบุตรชายเอ่ยปากเช่นนั้น แอบอมยิ้มในใจเพราะอย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยอมลดกำแพงลงบ้าง
ขณะที่สองพ่อลูกกำลังพูดคุยกันเพียงลำพัง เสียงเรียกของสวีลู่ชิงดังขึ้น “เจ้าถ่าน”
ดวงตาสีม่วงแดงเบิกโตด้วยความตกใจคิดไม่ถึงว่านางกรีดปลายนิ้วของตนเองต่อหน้าเขา
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
คำพูดที่เปล่งออกมาจากใจกลายเป็นเพียงเสียงนกร้องแต่ถึงอย่างนั้นกลับทำให้สวีลู่ชิงพอจะคาดเดาได้ว่าเจ้าถ่านพูดอะไร
“พลังของข้าอาจจะรักษาเจ้าไม่หาย แต่ถ้าเป็นเลือดของข้าน่าจะใช้ได้” นางยื่นนิ้วชี้มาใกล้เขากลิ่นหอมหวานโชยแตะจมูกจอมมารจำแลง “ดื่มเสีย บาดแผลของเจ้าอาจจะหายดีก็เป็นได้”
กงจื่อเย่จึงจำใจต้องทำตามที่นางบอกอย่างเคร่งครัด บาดแผลที่ไม่รู้ว่าควรจะต้องหายดีเมื่อใด เห็นทีอาจจะต้องรีบหายโดยเร็ววันเพราะไม่เช่นนั้นนางคงทำเหมือนอย่างเดิม
ทันทีที่สัมผัสกับเลือดเทพดารา แววตาของเขาเคลิบเคลิ้มราวกับหลงอยู่ในภวังค์ ไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าเลือดเนื้อของเทพเซียนจะน่าพิศมัยถึงเพียงนี้
เมื่อก่อนรับรู้เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้ช่วยดับกระหายได้ ครั้งนี้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดพวกมารปีศาจจึงจ้องจะจับผู้คนในแดนสวรรค์กินนัก
พลันสายตาเหลือบมองไปยังเทพวายุที่กำลังนั่งสมาธิอยู่เพียงลำพังก่อนจะได้ยินเสียงกระแอมไอจากอีนั่ว
“ข้ารู้น่า” เขาบอกบุตรชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ช่วยบอกมารดาของเจ้าทีว่าคราวหลังอย่าทำร้ายตนเองอีกได้หรือไม่”
“ถ้าท่านพ่อไม่รีบหาย ข้าจะจัดการท่านพ่อเอง” เขามองค้อนบิดาราวกับตั้งตนเป็นศัตรูกัน “แล้วก็ห้ามยุ่งกับท่านลุงของข้าด้วย”
กงจื่อเย่ส่ายหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ ส่งกระแสจิตกลับมาหาเขา “อีนั่ว เจ้ายังเห็นข้าเป็นบิดาของเจ้าอยู่หรือไม่ ชักจะน้อยใจเสียแล้ว”
“...”
“เอาเถอะ ข้ารับปากว่าจะรีบหายบาดเจ็บแล้วก็ไม่กินท่านลุงของเจ้า” อีนั่วเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะเล็กน้อยผ่านกระแสจิตจึงนึกว่าบิดาเจ้าเล่ห์คงคิดอะไรอยู่เป็นแน่แต่ปล่อยผ่านเพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็สัญญาเอาไว้แล้ว
“เจ้าถ่าน ให้ข้าดูแผลได้หรือไม่” สวีลู่ชิงเอ่ยปากก่อนจับปีกนกน้อยกางสยายออก “บาดแผลเหมือนค่อย ๆ สมาน เจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่”
แววตาสีฟ้าแสนอ่อนโยนทำให้เขานึกถึงคืนวันเก่า ๆ ที่ได้อยู่ร่วมกันจนเกือบกลายร่างเป็นเงาดำเพื่อโอบกอดนางโดยไม่รู้ตัว เอ่ยพึมพำในใจ คืนนี้ยังมีเวลา
กลางดึกคืนนั้น
เขาวางอุบายให้อีนั่วหลับลึกแล้วสลับร่างเป็นเงามืดร่างเดิมของตนเองนอนลงข้าง ๆ สวีลู่ชิง ปลายจมูกสูดดมกลิ่นหอมจากเรือนผมสีขาวของนาง
สายตามองลำคอเรียวตรงหน้าพลางเลียริมฝีปากตนเองนึกอยากลิ้มรสเลือดของนางอีกครั้งก่อนจะก้มหน้าลงมาประทับริมฝีปากตรงลำคอของนาง
เรียวลิ้นตวัดไล้ดูดเม้มอย่างคนหิวกระหายแต่ยับยั้งชั่งใจตัวเองไว้อยู่
“อือ...” สวีลู่ชิงรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไปในความฝันครั้งนี้ นางมองเห็นใบหน้าเลือนรางของใครบางคนปรากฏขึ้นมา สัมผัสที่เขากอดรัดคุ้นเคยยิ่งนัก ทว่ายิ่งรู้สึกต้องการอ้อมกอดนั้นมากเท่าใดอีกใจก็อยากผลักไสออกไปมากเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว ลึก ๆ นางกลับโหยหาคนผู้นั้นโดยไม่รู้ตัวจึงเอื้อมแขนกอดเขากลับไป
จอมมารยิ้มกว้างหยุดสัมผัสต้นคอเรียวแล้วจุมพิตหน้าผากของเทพดาราอย่างอ่อนโยน กระซิบเหมือนอย่างเคย “ยกโทษให้ข้าได้หรือไม่”
“อยากกลับมาหาเจ้าโดยเร็ว ข้าควรทำเช่นไรดี”
“อ้อมกอดของเจ้าอบอุ่นยิ่งนัก เหตุใดข้าจึงรู้สึกตัวช้าเยี่ยงนี้”
“ข้ารักเจ้า”
ทันทีที่ได้ยินคำนั้น สวีลู่ชิงซบใบหน้าเข้าอ้อมแขนของเขา ความรู้สึกท่วมท้นทำให้ต้นไม้แห่งชีวิตในแก่นวิญญาณจอมมารเบ่งบานทีละช่ออย่างช้า ๆ
“หากได้ยินคำบอกรักจากเจ้าอีกครั้ง ต้นไม้ในใจข้าคงจะผลิดอกสะพรั่งไม่มีร่วงโรย”
คุณหนูสกุลสวีตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงร้องของพวกเขาภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ตะลึงงันจนทำอะไรไม่ถูก หันไปดูบิดาทางซ้าย กวาดตามองไล่เลี่ยมาทางขวา มารดาและพี่ชายกลับอยู่ในอาการไม่ต่างกัน“ท่านพ่อ ท่านแม่” นางตะโกนเสียงดังเรียกสติพวกเขา พยายามประคองใครคนหนึ่งขึ้นมา ร้องเรียกทหารนอกคุกที่ยืนเฝ้าเวรยามด้วยความกลัวสุดขีดทุกคนที่มาถึงต่างมองหน้ากันเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักโทษชั้นสูง หากแต่ประเมินแล้วว่าอาการที่แสดงออกมาเหมือนโดนพิษอะไรสักอย่างจึงทำท่าครุ่นคิดขึ้นมาทันใด“ข้าขอร้อง ตามหมอมารักษาครอบครัวข้าได้หรือไม่” นางอ้อนวอนคนตรงหน้า น้ำตาเอ่อคลอเบ้า“แต่ว่า...” หนึ่งในนั้นลังเลเพราะไม่รู้ว่าคนสกุลสวีถูกใบสั่งจากผู
หลังจากถูกจับตัวไปครบเจ็ดวันทางการยังคงไม่ได้ข้อมูลใดเพิ่มเติมจากคนสกุลสวี พวกเขายืนยันอย่างเดิมเหมือนทุกครั้งว่าตนเองบริสุทธิ์ใจ ไม่เคยคิดร่วมมือกับผู้ใดก่อกบฏอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่คำพูดของพวกเขาเป็นเพียงลมปากไร้หลักฐานใด ๆ จึงไม่มีใครเชื่อ อีกทั้งคนเหล่านั้นยังทำหูทวนลมเพราะเป็นพวกเดียวกันกับขุนนางชั่วคืนนั้น“ท่านพ่อ ท่านพี่” สวีลู่ชิงกระซิบเรียกคนทั้งสองที่นิ่งงันสลบไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าและลำตัวมีแต่รอยเขียวช้ำเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเสื้อผ้าเป็นทางคุณชายสวีลืมตามองผู้เป็นน้องสาว นึกโกรธตัวเองไม่น้อยที่เป็นต้นเหตุทำให้ครอบครัวต้องมาผจญความลำบากเช่นนี้ เขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะตกหลุมพรางง่ายดายเพียงนั้น“พวกเขาทำอันใดเจ้าหรือไม่
จากนั้นไม่นานใต้เท้าสวี ฮูหยินและสวีลู่ชิงถูกนำตัวออกมาจากจวน นางหันมองบ้านที่เคยอยู่ เวลานี้ผู้คนในนั้น บ่าวรับใช้ เสี่ยวมู่กำลังดิ้นรนบอกว่าตนเองไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นระหว่างถูกควบคุมตัวไปสอบสวน พวกเขาต้องเดินผ่านตลาดและหมู่บ้าน แม้จะเป็นสถานที่คุ้นเคยแต่ครั้งนี้ความรู้สึกนั้นกลับไม่เหมือนเดิมเพราะแววตาที่ชาวบ้านมองมากำลังกล่าวโทษว่าพวกเขาเป็นคนทรยศต่อบ้านเมืองสวีลู่ชิงเดินรั้งท้ายขบวนจึงตกเป็นเป้าโจมตีได้ง่ายเมื่อชาวบ้านคนหนึ่งขว้างสิ่งของเพื่อจะลงโทษนางให้สมกับความผิดที่ได้ทำทว่า ใครบางคนกลับพุ่งตัวเข้ามาโอบกอดนางไว้ไม่ยอมให้ของเหล่านั้นเฉียดร่างกายแม้เพียงเสี้ยว“คุณหนู” น้ำเสียงห่วงใยทำให้สวีรู้ชิงรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่ในความฝัน &ldquo
ปิ่นหยกลายดอกโบตั๋นจึงปรากฏบนเรือนผมของคุณหนูสกุลสวีนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเจ้าของดวงตาสีม่วงแดงมองคนตรงหน้าไม่วาง ยิ้มกว้างปลื้มใจที่นางรับของขวัญจากเขาไปราวกับรับความรักที่เขามีให้ไปด้วยสวีลู่ชิงรู้สึกได้ว่าคนผู้นั้นจริงใจกับนางมากแค่ไหน แม้จะให้สถานะเป็นเพียงสหายแต่ก็ยอมปักปิ่นให้เขาได้ชื่นใจเวลานี้นางไม่เคยได้ออกไปเยี่ยมเขาที่นอกหมู่บ้านอีกเลย เพราะกงจื่อเย่มักแอบมาหานางในยามซวีทุก ๆ สองหรือสามวันเพื่อนำดอกซือเมิ่งสีฟ้าที่นางโปรดปรานมาให้“ทำงานทั้งวันไม่เหนื่อยหรืออย่างไรจึงมาหาข้าถึงจวน” สวีลู่ชิงเอ่ยถามคนข้างกาย รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจทำงานมากแค่ไหนและพยายามมาหานางถึงที่นี่ทั้ง ๆ ที่เดินทางมายากลำบากนัก“ไม่เหนื่อยเลยขอรับ” เ
สวีต้าเฟิงไม่ได้ลงมาตามจับหลานชายของตัวเองเพียงเท่านั้นแต่ยังมาเตือนกงจื่อเย่ผู้เป็นบิดาของมารน้อยด้วยสีหน้าจริงจังเหมือนทุกครั้งจอมมารนิ่งเฉยเพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องการพูดเรื่องอะไร แต่มักทำหูทวนลมอยู่ร่ำไป คิดอยากทำตามใจตัวเองตามประสาเป็นทุนเดิม“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าอย่ายุ่งเกี่ยวกับโชคชะตาของนาง เหตุใดเจ้าถึงไม่ฟังข้าบ้างเล่า” เทพวายุพยายามข่มใจลดน้ำเสียงลงราวกับวอนขอให้อีกฝ่ายทำตามที่เขาบอก“เจ้ามาโทษข้าเรื่องอันใด ไม่เห็นหรือว่าข้าอยู่ในสภาพแทบพิการ ต่ำต้อย ไม่มีชื่อเสียงเงินทอง มิหนำซ้ำสุขภาพยังย่ำแย่ทรุดโทรมจะมีเวลาไปสร้างเรื่องอันใดให้เจ้าหนักใจอีก” กงจื่อเย่นิ่วหน้าพูดตามความจริง“ดาบเขี้ยวอสูรของเจ้าบินว่อนภพสวรรค์สร้างความแตกตื่นให้ผู้คนบนนั้นคิดว่าเจ้าจะยึดคร
ช่วงจังหวะนั้นเสี่ยวมู่ถูกบ่าวสกุลลั่วกันออกมาไม่ให้เข้าไปวุ่นวายใกล้เจ้านายทั้งสอง สวีลู่ชิงจึงได้อยู่กับคุณชายลั่วตามลำพังอย่างเงียบ ๆครั้นเดินไปจนถึงพุ่มดอกไม้สีฟ้าแล้ว เขาชี้ให้นางดูพื้นดินข้างล่าง ดอกไม้จุดเล็ก ๆ พลิ้วไหวไปตามลมล่องลอยขึ้นฟ้า ทว่า มันไม่ใช่ดอกซือเมิ่งที่นางโปรดปรานบุรุษร่างสูงเข้าประชิดตัวนางเพื่อแต้มบุหงายั่วยวนแต่ไม่ทันได้ทำอย่างนั้น บ่าวสกุลลั่วกลับวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาเจ้านายด้วยความกลัวสุดขีด“คุณชาย!” เสียงตะโกนของบ่าวคนหนึ่งทำให้เขาตกใจจนเผลอปล่อยขวดเล็ก ๆ หล่นพื้น “คุณชาย!”สวีลู่ชิงหรี่ตามองกลุ่มคนที่กำลังวิ่งมาทางนาง ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นจนกระทั่งได้ยินเสียงที่บอกว่า “งูขอรับ งูดำตัวใหญ่&rd