บ้านหลังเล็กของมารน้อย
เมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงร่างสัญญาสงบศึกชั่วคราวเพราะต้องการดูลาดเลาสถานการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริง
บ้านหลังเล็กที่เคยอยู่กันเพียงสองคน เวลานี้มีหลังอื่นผุดขึ้นมาอยู่ใกล้ ๆ กันอีกสามสี่หลังจนแทบจะกลายเป็นหมู่บ้านที่มีทั้งมารและเทพอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ต้นท้อรายรอบกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งเหมือนภาพวาด อีนั่วจึงตั้งชื่อหมู่บ้านของเขาว่าหมู่บ้านดอกท้อ ในใจคิดอยากอยู่ที่แห่งนี้อย่างสงบตลอดไป
พลังของอีนั่วถูกกลบซ่อนเอาไว้ไม่ให้มารปีศาจตนอื่นรู้ รอบเขตบ้านจึงมีม่านศักดิ์สิทธิ์ของเทพวายุห้อมล้อมอยู่ด้วย
“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ พวกข้าอึดอัด” หลิวอิงอิงยืนประชันหน้ากับสวีต้าเฟิงผู้เป็นคู่ปรับมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
“ถ้าเจ้าอยู่ไม่ได้เจ้าก็แค่ย้ายออกไป ข้าไม่ได้ห้าม” เทพวายุไม่สนใจสิ่งอื่นใด หน้าที่ของเขาคือปกป้องเลือดเนื้อเชื้อไข ผู้ใดทนไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่
“เฮอะ” หลิวอิงอิงนึกอยากสบถเป็นประโยคยืดยาวแต่พอเห็นสายตาของอีนั่วกลับได้แต่ห้ามใจตัวเองไว้แล้วบอกเขาว่า “อยากทำอันใดก็เรื่องของเจ้า” แล้วร่ายพลังมารจำนวนหนึ่งใส่คนตรงหน้าเพราะอยากระบายอารมณ์หงุดหงิดแล้วเดินกลับไปที่บ้านหลังน้อยของตนเอง
หากไม่เข้าใกล้เขตแดนศักดิ์สิทธิ์ พลังเทพวายุจะไม่มีผลอันใดกับมารปีศาจอย่างพวกเขา แม้ดูเหมือนถูกกักขังเอาไว้แต่อาจเป็นผลดีในภายภาคหน้าก็เป็นได้เพราะพวกที่อยู่ภพมารคงไม่มีผู้ใดอยากยุ่งกับเทพเซียนในเวลานี้
สวีลู่ชิงจับมือน้อย ๆ ของอีนั่วเอาไว้พยายามสัมผัสความรู้สึกที่ท่วมท้นหวังว่าความทรงจำที่ขาดหายไปจะกลับคืนมา
“ท่านแม่ อย่าไปจำความหลังที่ผ่านมาเลยขอรับ” ดวงตากลมโตสีฟ้าสดใสของอีนั่วกำลังมองนาง
“ข้าเพียงอยากรู้จักเจ้าให้มากกว่านี้” นางตอบออกไปตามตรงเพราะยังคงรู้สึกอึดอัดในใจราวกับมีอะไรซ่อนอยู่ “แต่หากเจ้ายืนยันว่าไม่โกรธที่ข้าจำไม่ได้ ก็คงไม่มีอะไรต้องกังวลใช่หรือไม่”
“ขอรับ” เด็กน้อยพยักหน้าทันใด “ท่านแม่รักข้า ข้าเองก็รักท่านแม่ ได้โปรดจดจำไว้แต่เพียงเท่านั้นเถิดขอรับ”
เทพวายุได้ยินคำพูดของอีนั่วนึกอยากรู้ยิ่งนักว่าที่ผ่านมาน้องสาวตนเองผ่านด่านเคราะห์อันใดมาบ้างและทำไมจอมมารจึงเปลี่ยนไปได้มากเพียงนั้น
“เจ้ามองข้าทำไมนักหนา” หลิวอิงอิงโพล่งถามเพราะรำคาญดวงตาสีฟ้าของเขา
ความอยากรู้อยากเห็นถูกความไม่สบอารมณ์เข้ามาแทนที่ สวีต้าเฟิงจึงส่ายหน้าถอนหายใจแล้วเมินไม่ตอบปีศาจสาวจนนางมีน้ำโหขึ้นมาทันใด
“หลิวอิงอิง เจ้าใจเย็น ๆ ก่อน” โจวเหวินหลงยืนจัดข้าวของอยู่ข้าง ๆ ห้ามปรามนางไว้ไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวาย
เขาเองไม่มีทางเลือกมากนักที่ต้องยอมอยู่ในเขตแดนของเทพวายุทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนตีกันแทบตายไปข้างหนึ่ง
ไม่กี่วันผ่านไป
สถานการณ์ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ผ่านไปอย่างราบรื่น หากใครมาเห็นคงไม่เชื่อว่าเทพและมารปีศาจสามารถอยู่ร่วมกันได้
ต่างฝ่ายต่างอยู่ในบ้านของตนไม่เข้ามาก้าวก่ายกัน สำรับกับข้าวสำหรับครึ่งมารอย่างอีนั่วได้รับการจัดสรรแบ่งมาทางสมุนจอมมารด้วย
พวกเขาได้ลองทานอาหารแบบมนุษย์เป็นครั้งแรกจึงพบว่าลดทอนความหิวลงไปได้บ้าง แม้จะเทียบกับพลังชั่วร้ายและเลือดเนื้อไม่ได้ก็ตาม บางครั้งจึงขออนุญาตอีนั่วออกล่าสัตว์ป่าข้างนอกเขตแดน
ในขณะที่สมุนมารวุ่นวายเรื่องอาหารการกิน เทพเซียนอย่างสองพี่น้องกลับนิ่งเฉยได้เพราะอิ่มทิพย์จึงใช้เวลาทั้งวันฟื้นฟูร่างกายที่ยังคงบาดเจ็บอยู่
สวีลู่ชิงหามุมหนึ่งเก็บตัวเงียบเหมือนอย่างเคย หลับตาลงแล้วทำจิตใจให้ว่างเปล่าเพื่อร่ายพลังเทพไหลเวียนไปทั่วร่างประสานแก่นวิญญาณของตนเอง
จังหวะนั้น เงาสีดำเล็ก ๆ ค่อย ๆ แอบเคลื่อนเข้ามาใกล้นางเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ตัว แต่ถึงอย่างนั้นอีนั่วก็จับสังเกตได้อยู่ดี อีกทั้งยังรู้ด้วยว่าเงานั่นคืออะไรจึงแกล้งปัดไล่ไม่ให้มันเข้ามาใกล้มารดาของเขา
วิ้ง วิ้ง
เสียงพึมพำไม่ได้ศัพท์ดังมาจากเงาสีดำที่ไม่ยอมหายไปไหน
“อย่ามายุ่งกับท่านแม่นะ” เขาสื่อสารกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในใจ “อย่ามาทำให้ท่านแม่เสียใจอีก”
วิ้ง วิ้ง
“ข้าไม่ยกโทษให้หรอกเพราะข้ายังจำความเจ็บในวันนั้นได้เป็นอย่างดี” อีนั่วเม้มปากแน่นเพราะโกรธ
วิ้ง วิ้ง
“ท่านพ่อเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว” เขาพูดไม่ทันขาดคำ เงาดำที่อยู่ตรงหน้าก็กลายร่างเป็นนกน้อยตัวหนึ่งในทันที
จิ๊บ จิ๊บ
สวีลู่ชิงลืมตาเพราะได้ยินเสียงนกอยู่ใกล้ ๆ สายตาของนางมองดูร่างเล็ก ๆ อย่างละเอียดก่อนจะเห็นว่าปีกด้านในของมันมีแผลเลือดไหล
“เจ้าบาดเจ็บมาจากที่ใดหรือ” นางแตะปีกนกน้อยเบา ๆ แล้วมองหน้าลูกชาย “อีนั่ว เจ้าเห็นหรือไม่ว่าเกิดอันใดขึ้น”
บุตรชายจอมมารนิ่วหน้าอยากบอกมารดาเหลือเกินว่านั่นเป็นหลุมพรางของบิดาเจ้าเล่ห์ของเขา
“ข้าเพิ่งเห็นขอรับ แต่ว่าบาดแผลนี้ปล่อยไปเดี๋ยวก็หายเองขอรับ” อีนั่วรู้ดีว่าแผลนี้สามารถหายเองได้แต่ไม่ทันความคิดของจอมมาร
เทพดาราใช้พลังรักษาแผลที่ปีกของนกน้อยอยู่นานแต่เหมือนจะไม่ได้ผลอันใดจนนางนึกสงสัยว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคงจะไม่ธรรมดา
“เจ้าถูกคำสาปจากผู้ใดมาหรือ เหตุใดพลังเทพของข้าจึงรักษาเจ้าไม่ได้” สวีลู่ชิงลูบนกน้อยอย่างอ่อนโยน
จิ๊บ จิ๊บ
อีนั่วได้ยินดังนั้นเบ้ปากหนักกว่าเดิมเพราะตอนนี้ถูกใครบางคนแย่งความสนใจของมารดาไปจึงเอ่ยปากว่า “ท่านแม่ นกตัวนี้คงถือกำเนิดจากภพมารกระมัง พลังของท่านแม่จึงรักษาไม่ได้ ให้ข้าเอาไปปล่อยไว้ที่นั่นดีกว่า”
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
นกน้อยได้ยินดังนั้นร้องลั่นไม่หยุด ต่อต้านอย่างสุดฤทธิ์ไม่ยอมให้อีนั่วจับแล้วกระโดดเข้าไปอยู่ในมือของสวีลู่ชิง
ดวงตาเล็ก ๆ ของนกน้อยสบเข้ากับดวงตาสีฟ้าของนางราวกับกำลังออดอ้อนไม่อยากไปไหน
“เข้าใจแล้ว ข้าจะพยายามรักษาเจ้าจนกว่าจะหายเอง” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“แต่ว่าท่านแม่...” คำคัดค้านของอีนั่วไม่เป็นผลจึงต้องยอมรับสมาชิกใหม่ของหมู่บ้านดอกท้อไปโดยปริยาย
จิ๊บ จิ๊บ
นกน้อยส่งเสียงพึงพอใจพลางเอาศีรษะถูไถอุ้งมือของสวีลู่ชิงอย่างมีความนัย
จอมมารร่างใหม่จึงสามารถแทรกตัวเข้ามาอยู่ในที่แห่งนี้ได้โดยที่ไม่มีใครสงสัยเพราะเขากดพลังมารเจือจางเอาไว้ มีเพียงอีนั่วเท่านั้นที่รู้เพราะพวกเขามีสายใยเชื่อมโยงกันอยู่
ตกกลางคืนวันนั้น อีนั่วกำลังเข้านอนไปพร้อมมารดา เจ้านกน้อยตัวเดิมกระโดดโหยงเหยงเพราะบินไม่ได้เข้าไปนั่งนิ่งอยู่ตรงหมอนของสวีลู่ชิงด้วย
“ท่านแม่จะให้เจ้าถ่านนอนด้วยอย่างนั้นหรือขอรับ” มารน้อยเอ่ยถามมารดา ไม่พอใจที่มีผู้อื่นเข้ามาวุ่นวายความสงบสุขของเขาเพราะปกติมักจะนอนข้างมารดามาแต่ไหนแต่ไร
“ตั้งชื่อนกน้อยว่าถ่านหรืออีนั่ว” นางถามลูกชายนึกขบขัน
“ขอรับ ขนสีดำขลับ ดวงตาสีม่วงแดง ชื่อเจ้าถ่านดีแล้วขอรับ”
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
“ข้าว่าเจ้าถ่านคงจะไม่พอใจ ดูสิ บ่นพึมพำใหญ่เลย” นางส่ายหน้าแล้วใช้มือโอบนกน้อยขึ้นมาดูใกล้ ๆ จึงได้เห็นว่าดวงตาของมันมีสีม่วงแดงอย่างที่อีนั่วบอกจริง ๆ
“ถ้าไม่พอใจนักข้าจะส่งไปภพมารเดี๋ยวนี้”
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
“อีนั่ว อย่าใจร้ายกับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเลย หากส่งเจ้าถ่านไปที่นั่นแล้วถูกใครทำร้ายเข้าจะทำอย่างไร อย่างน้อยรอให้หายดีก่อนได้หรือไม่” นางพยายามโน้มน้าวใจมารน้อยเพราะนึกสงสารนกที่บาดเจ็บตรงหน้า “นี่ก็ดึกมากแล้ว นอนกันเถอะ ถ้าเจ้าไม่อยากเห็นเจ้าถ่าน เดี๋ยวแม่จะวางไว้ตรงกองผ้ามุมห้อง”
คืนนั้น นกน้อยค่อย ๆ กลายร่างเป็นเงาดำมืดตามเดิมแต่คราวนี้ใช้รูปร่างเหมือนชายผู้หนึ่งขยับเข้าใกล้สวีลู่ชิงจากด้านหลังแล้วโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขนพลางกระซิบ “ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก เยว่ชิง”
คุณหนูสกุลสวีตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงร้องของพวกเขาภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ตะลึงงันจนทำอะไรไม่ถูก หันไปดูบิดาทางซ้าย กวาดตามองไล่เลี่ยมาทางขวา มารดาและพี่ชายกลับอยู่ในอาการไม่ต่างกัน“ท่านพ่อ ท่านแม่” นางตะโกนเสียงดังเรียกสติพวกเขา พยายามประคองใครคนหนึ่งขึ้นมา ร้องเรียกทหารนอกคุกที่ยืนเฝ้าเวรยามด้วยความกลัวสุดขีดทุกคนที่มาถึงต่างมองหน้ากันเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักโทษชั้นสูง หากแต่ประเมินแล้วว่าอาการที่แสดงออกมาเหมือนโดนพิษอะไรสักอย่างจึงทำท่าครุ่นคิดขึ้นมาทันใด“ข้าขอร้อง ตามหมอมารักษาครอบครัวข้าได้หรือไม่” นางอ้อนวอนคนตรงหน้า น้ำตาเอ่อคลอเบ้า“แต่ว่า...” หนึ่งในนั้นลังเลเพราะไม่รู้ว่าคนสกุลสวีถูกใบสั่งจากผู
หลังจากถูกจับตัวไปครบเจ็ดวันทางการยังคงไม่ได้ข้อมูลใดเพิ่มเติมจากคนสกุลสวี พวกเขายืนยันอย่างเดิมเหมือนทุกครั้งว่าตนเองบริสุทธิ์ใจ ไม่เคยคิดร่วมมือกับผู้ใดก่อกบฏอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่คำพูดของพวกเขาเป็นเพียงลมปากไร้หลักฐานใด ๆ จึงไม่มีใครเชื่อ อีกทั้งคนเหล่านั้นยังทำหูทวนลมเพราะเป็นพวกเดียวกันกับขุนนางชั่วคืนนั้น“ท่านพ่อ ท่านพี่” สวีลู่ชิงกระซิบเรียกคนทั้งสองที่นิ่งงันสลบไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าและลำตัวมีแต่รอยเขียวช้ำเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเสื้อผ้าเป็นทางคุณชายสวีลืมตามองผู้เป็นน้องสาว นึกโกรธตัวเองไม่น้อยที่เป็นต้นเหตุทำให้ครอบครัวต้องมาผจญความลำบากเช่นนี้ เขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะตกหลุมพรางง่ายดายเพียงนั้น“พวกเขาทำอันใดเจ้าหรือไม่
จากนั้นไม่นานใต้เท้าสวี ฮูหยินและสวีลู่ชิงถูกนำตัวออกมาจากจวน นางหันมองบ้านที่เคยอยู่ เวลานี้ผู้คนในนั้น บ่าวรับใช้ เสี่ยวมู่กำลังดิ้นรนบอกว่าตนเองไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นระหว่างถูกควบคุมตัวไปสอบสวน พวกเขาต้องเดินผ่านตลาดและหมู่บ้าน แม้จะเป็นสถานที่คุ้นเคยแต่ครั้งนี้ความรู้สึกนั้นกลับไม่เหมือนเดิมเพราะแววตาที่ชาวบ้านมองมากำลังกล่าวโทษว่าพวกเขาเป็นคนทรยศต่อบ้านเมืองสวีลู่ชิงเดินรั้งท้ายขบวนจึงตกเป็นเป้าโจมตีได้ง่ายเมื่อชาวบ้านคนหนึ่งขว้างสิ่งของเพื่อจะลงโทษนางให้สมกับความผิดที่ได้ทำทว่า ใครบางคนกลับพุ่งตัวเข้ามาโอบกอดนางไว้ไม่ยอมให้ของเหล่านั้นเฉียดร่างกายแม้เพียงเสี้ยว“คุณหนู” น้ำเสียงห่วงใยทำให้สวีรู้ชิงรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่ในความฝัน &ldquo
ปิ่นหยกลายดอกโบตั๋นจึงปรากฏบนเรือนผมของคุณหนูสกุลสวีนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเจ้าของดวงตาสีม่วงแดงมองคนตรงหน้าไม่วาง ยิ้มกว้างปลื้มใจที่นางรับของขวัญจากเขาไปราวกับรับความรักที่เขามีให้ไปด้วยสวีลู่ชิงรู้สึกได้ว่าคนผู้นั้นจริงใจกับนางมากแค่ไหน แม้จะให้สถานะเป็นเพียงสหายแต่ก็ยอมปักปิ่นให้เขาได้ชื่นใจเวลานี้นางไม่เคยได้ออกไปเยี่ยมเขาที่นอกหมู่บ้านอีกเลย เพราะกงจื่อเย่มักแอบมาหานางในยามซวีทุก ๆ สองหรือสามวันเพื่อนำดอกซือเมิ่งสีฟ้าที่นางโปรดปรานมาให้“ทำงานทั้งวันไม่เหนื่อยหรืออย่างไรจึงมาหาข้าถึงจวน” สวีลู่ชิงเอ่ยถามคนข้างกาย รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจทำงานมากแค่ไหนและพยายามมาหานางถึงที่นี่ทั้ง ๆ ที่เดินทางมายากลำบากนัก“ไม่เหนื่อยเลยขอรับ” เ
สวีต้าเฟิงไม่ได้ลงมาตามจับหลานชายของตัวเองเพียงเท่านั้นแต่ยังมาเตือนกงจื่อเย่ผู้เป็นบิดาของมารน้อยด้วยสีหน้าจริงจังเหมือนทุกครั้งจอมมารนิ่งเฉยเพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องการพูดเรื่องอะไร แต่มักทำหูทวนลมอยู่ร่ำไป คิดอยากทำตามใจตัวเองตามประสาเป็นทุนเดิม“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าอย่ายุ่งเกี่ยวกับโชคชะตาของนาง เหตุใดเจ้าถึงไม่ฟังข้าบ้างเล่า” เทพวายุพยายามข่มใจลดน้ำเสียงลงราวกับวอนขอให้อีกฝ่ายทำตามที่เขาบอก“เจ้ามาโทษข้าเรื่องอันใด ไม่เห็นหรือว่าข้าอยู่ในสภาพแทบพิการ ต่ำต้อย ไม่มีชื่อเสียงเงินทอง มิหนำซ้ำสุขภาพยังย่ำแย่ทรุดโทรมจะมีเวลาไปสร้างเรื่องอันใดให้เจ้าหนักใจอีก” กงจื่อเย่นิ่วหน้าพูดตามความจริง“ดาบเขี้ยวอสูรของเจ้าบินว่อนภพสวรรค์สร้างความแตกตื่นให้ผู้คนบนนั้นคิดว่าเจ้าจะยึดคร
ช่วงจังหวะนั้นเสี่ยวมู่ถูกบ่าวสกุลลั่วกันออกมาไม่ให้เข้าไปวุ่นวายใกล้เจ้านายทั้งสอง สวีลู่ชิงจึงได้อยู่กับคุณชายลั่วตามลำพังอย่างเงียบ ๆครั้นเดินไปจนถึงพุ่มดอกไม้สีฟ้าแล้ว เขาชี้ให้นางดูพื้นดินข้างล่าง ดอกไม้จุดเล็ก ๆ พลิ้วไหวไปตามลมล่องลอยขึ้นฟ้า ทว่า มันไม่ใช่ดอกซือเมิ่งที่นางโปรดปรานบุรุษร่างสูงเข้าประชิดตัวนางเพื่อแต้มบุหงายั่วยวนแต่ไม่ทันได้ทำอย่างนั้น บ่าวสกุลลั่วกลับวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาเจ้านายด้วยความกลัวสุดขีด“คุณชาย!” เสียงตะโกนของบ่าวคนหนึ่งทำให้เขาตกใจจนเผลอปล่อยขวดเล็ก ๆ หล่นพื้น “คุณชาย!”สวีลู่ชิงหรี่ตามองกลุ่มคนที่กำลังวิ่งมาทางนาง ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นจนกระทั่งได้ยินเสียงที่บอกว่า “งูขอรับ งูดำตัวใหญ่&rd