เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านดอกท้อ
นกน้อยสีดำไซ้ขนอยู่ข้าง ๆ สวีลู่ชิงที่นั่งหลับตาฟื้นฟูแก่นวิญญาณของตนเองอยู่เงียบ ๆ ส่วนอีนั่ววิ่งเล่นอยู่กับสมุนจอมมารโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
บรรยากาศภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสดชื่นสนุกสนานจนบางทีพวกเขาลืมไปเลยว่าสาเหตุที่ทำให้ทุกคนมาอยู่ร่วมกันในที่แห่งนี้คืออะไร
สวีต้าเฟิงเดินเข้ามาทักทายน้องสาวยามเช้าเหมือนอย่างเคย รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านึกเอ็นดูนางราวกับเป็นเด็กน้อย แต่เวลานี้น้องสาวตัวเล็กในวันวานกลับมีบุตรชายจอมซนเหมือนนางไม่มีผิด
เขาจึงรับหน้าที่ดูแลทั้งคู่ด้วยความเต็มใจ ถึงอย่างนั้นแล้วดวงตาสีฟ้ากลับจ้องมองนกน้อยตรงหน้า
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ (มองหน้าข้า มีเรื่องอันใด)
“...” เทพวายุนิ่งเงียบรู้สึกได้ว่าพลังมารจากตัวนกน้อยกำลังแพร่ออกมา จึงเอื้อมมือไปจับเจ้าถ่านออกมาห่างกายสวีลู่ชิงเพราะกลัวว่าไอมารจะรบกวนการฟื้นฟูของนาง
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ (ปล่อยข้านะ อย่ามาจับ)
เสียงร้องแสบแก้วหูราวกับใครบางคนบ่นระงมทำให้สวีลู่ชิงลืมตามองจึงได้เห็นว่าพี่ชายกำลังถูกเจ้าถ่านจิกมืออยู่
“ท่านพี่ อย่าบีบเจ้าถ่านอย่างนั้นสิเจ้าคะ” นางยื่นมือออกไป ส่งสายตาบอกพี่ชายเป็นนัยว่าให้คืนนกน้อยตัวนั้นให้นาง
“อย่าบอกนะว่า อยู่ด้วยกันไม่กี่วัน เจ้าก็รู้สึกผูกพันกับปีศาจน้อยเสียแล้ว” เทพวายุส่ายหน้าหนักใจที่น้องสาวใจดีจนเกินเหตุ
“เจ้าถ่านเป็นปีศาจน้อยก็จริง แต่ว่าเขาไม่ได้มีพิษภัยอันใด” นางแก้ตัวแทนนกน้อย “ท่านพี่ดูสิ น่ารักออกปานนี้ ข้าจึงรู้สึกผูกพัน”
“เฮ้อ” เขาถอนหายใจแล้วพูดต่อ “เจ้ารู้หรือไม่กลิ่นมารปีศาจโอบล้อมตัวเจ้ามากเพียงใด”
“รู้สิเจ้าคะ พวกเราอยู่ในเขตแดนเดียวกันกับพวกเขานี่ แถมอีนั่วยังอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา ไม่แปลกอันใด”
“สวีลู่ชิง” เทพวายุเรียกนางด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าแยกไม่ออกหรืออย่างไรว่านกปีศาจน้อยของเจ้ามีกลิ่นที่แตกต่างออกไป ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าคุ้นเคยอยู่บ้าง เจ้าไม่สังเกตบ้างหรือ”
ดวงตาสีม่วงแดงจ้องมองคนตรงหน้าแล้วส่งเสียง จิ๊บ จิ๊บ พลางกระโดดเข้าไปอยู่ในอุ้งมือของสวีลู่ชิง ใช้ศีรษะถูไถฝ่ามือของนางออดอ้อนขอความเอ็นดู
จังหวะนั้น อีนั่ววิ่งเข้ามาหามารดาที่ใต้ต้นดอกท้อพลางกอดนางเอาไว้แน่นโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“เป็นอันใดไปหรือ” นางถามไถ่บุตรชาย อุ้งมือข้างขวาพยายามประคองไม่ให้เจ้าถ่านตกลงมา
“เปล่าขอรับ ข้าเพียงอยากกอดท่านแม่” เขาบอกนางด้วยท่าทีสบาย ๆ “ท่านลุง ไม่ต้องห่วงเรื่องเจ้าถ่านหรอกขอรับ ข้ารับปากว่าจะไม่ปล่อยให้มันมาทำอะไรท่านแม่ได้อีกเด็ดขาด”
มารน้อยยิ้มมุมปากเพราะรู้ว่าเวลานี้พลังมารของเขากล้าแกร่งกว่าบิดาหลายเท่า เสียงหัวเราะคิกคักมีเลศนัยทำให้สมุนจอมมารที่ยืนอยู่นอกประตูรั้วแอบยิ้มขบขัน
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
นกน้อยส่งเสียงเจื้อยแจ้ว คำพูดเหล่านั้นมีเพียงอีนั่วเข้าใจคนเดียวจึงหัวเราะร่าอย่างมีความสุข
“เจ้าถ่านบอกอันใดหรือ ถึงได้ยิ้มจนแก้มแดง” สวีลู่ชิงลูบศีรษะมารน้อยอย่างรักใคร่ รู้สึกผูกพันกับเขาโดยไม่รู้ตัว เวลานี้เชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่าเขาคือลูกของนางจริง ๆ
“ความลับขอรับ” เขาเอ่ยปากสีหน้าระรื่นพลางยักคิ้วให้นกน้อยตรงหน้า
“อีนั่ว เจ้าช่างร้ายกาจนัก” กงจื่อเย่ส่งกระแสจิตพูดคุยกับบุตรชาย “แต่เอาเถอะ อย่างไรเจ้าก็เป็นลูกข้าจะร้ายกาจก็คงเหมือนข้ากระมัง”
คืนนั้น
อีนั่วนำเจ้าถ่านไปไว้ในห่อผ้ากองใหญ่ตรงมุมหนึ่งของห้องอันเป็นที่ประจำแม้จะรู้ว่ากลางดึกนกน้อยตัวนั้นมักย่องมานอนข้างมารดาของตนก็ตาม
แม้จะต่อต้านเพราะยังไม่หายโกรธ แต่เมื่อได้อยู่ร่วมกันแบบนี้ก็ทำให้เขานึกถึงวันวานที่สงบสุขจนมองข้ามเรื่องที่บิดาชอบแอบอุ้มมารดาไปนอนอีกห้องหนึ่งเพียงสองคนก็ตาม
ดวงตาสีฟ้ากลมใสมองนกน้อยในกองผ้าแล้วบอกว่า “คืนนี้ข้าอยากนอนกับท่านแม่ ท่านพ่อห้ามพาท่านแม่ไปที่ใด”
“อีนั่ว อีกไม่นานข้าต้องไปแล้ว เจ้าไม่เห็นใจข้าบ้างหรือ ข้าต้องอยู่ตัวคนเดียว ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้กลับมา” กงจื่อเย่เรียกร้องความเห็นใจจากบุตรชาย
เขาได้ข่าวมาว่าภพมารกำลังปั่นป่วน พวกมารปีศาจที่อยู่กันมานานพยายามช่วงชิงอำนาจกันและเวลานี้ไม่รู้ว่าพวกมันดำเนินการไปถึงไหนแล้วบ้าง
ในฐานะผู้ปกครองภพมาร เขาจำเป็นต้องฟื้นพลังที่สูญเสียไปทั้งหมดให้กลับมาโดยเร็ววันเพราะไม่อย่างนั้นแล้ว อีนั่วอาจจะตกอยู่ในอันตรายเพราะถูกพวกมันตามล่าชิงพลังมารของเขา
อีกทั้งยังไม่รู้ว่าพวกเทพเซียนบนสวรรค์จะล่วงรู้หรือไม่ว่าสายเลือดจอมมารยังคงมีชีวิตอยู่
หากผู้ใดบังเอิญรู้เข้าว่าอีนั่วมีพลังร้ายกาจแฝงอยู่ อาจจะทำให้พวกนั้นกลัวจนลอบมาสังหารอีนั่วอย่างที่เคยทำกับเขาก็เป็นได้
ทางเลือกเดียวที่กงจื่อเย่จะทำได้ในเวลานี้คือเร่งทำทุกอย่างให้กลับสู่ภาวะปกติ ถ้าจอมมารทรงพลังอย่างเขายังคงอยู่ก็จะไม่มีผู้ใดกล้าหือ
“อีนั่ว ขอเวลาข้าอีกสักห้าหกวันได้หรือไม่ ให้ข้าได้อยู่กับนางนาน ๆ ตอนที่ข้าอยู่คนเดียวจะได้ไม่เดียวดายเกินไป” น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยถามบุตรชายขอความเห็นใจ
“...”
แววตาสีม่วงแดงของนกน้อยเศร้าสลดลง คอตกราวกับสิ้นหวังที่บุตรชายไม่อนุญาตให้นอนข้างสวีลู่ชิง
“ก็ได้” อีนั่วเอ่ยกับเขา “ท่านพ่ออยากทำอันใดก็ตามใจเถิด ช่วงนี้ข้านอนคนเดียวก็ได้”
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
นกน้อยส่งเสียงร้องด้วยความดีใจ สองขาเล็ก ๆ กระโดดเหยง ๆ วนไปวนมาอยู่ตรงนั้น
หลังจากทุกคนเข้านอนกันเรียบร้อยแล้ว ร่างเงามืดก็ขยายใหญ่ขึ้นเป็นร่างเดิมของจอมมาร เอื้อมมือช้อนตัวสวีลู่ชิงที่หลับใหลออกไปนอนอีกห้องโดยที่นางไม่รู้ตัวเพราะถูกอาคมหลับฝันสะกดเอาไว้
ไม่กี่วันต่อมา เวลาที่ผ่านร่วงโรยไปทำให้กงจื่อเย่นึกเสียดายไม่น้อยเพราะเขาอยากอยู่กับครอบครัวให้นานกว่านี้
ร่างนกน้อยมีท่าทีอาลัยอาวรณ์จนสวีลู่ชิงอดไม่ได้ที่จะลูบปีกสีดำแผ่วเบา
“ข้าอยู่ที่แห่งนี้เสมอ หากเจ้าอยากกลับมาเมื่อใด ข้าก็ยินดี”
จิ๊บ จิ๊บ
“เจ้าถ่านบอกว่าทำธุระเสร็จแล้วจะรีบกลับมาขอรับ”
อีนั่วบอกนางไปตามตรง แล้วเสริมอีกว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกขอรับ ไม่มีผู้ใดทำอันตรายมันได้หรอก” ก่อนจะพูดต่อในใจว่า ท่านแม่ควรจะห่วงผู้ที่กล้ามีเรื่องกับจอมมารอย่างท่านพ่อมากกว่า
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
เสียงนกน้อยดูจริงจังขึ้นมาทันใด สวีลู่ชิงและคนที่เหลือจึงอยากรู้ว่าเจ้าถ่านพูดอะไร
อีนั่วจึงบอกไปว่า “เจ้าถ่านบอกว่าลาก่อนขอรับ หากวันข้างหน้าได้พบกันอีกจะต้องตอบแทนที่ท่านแม่ช่วยเหลือ”
ดวงตาสีม่วงแดงมองบุตรชาย นกน้อยถอนหายเฮือกใหญ่ “ข้าบอกว่าข้ารักนาง เหตุใดจึงพูดผิดเพี้ยนไปเล่าอีนั่ว”
รอยยิ้มหยอกล้อปรากฏบนใบหน้ามารน้อย พวกเขาพ่อลูกมักจะเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ชอบแข่งกับอีกฝ่ายว่าสวีลู่ชิงรักตนเองมากกว่า
จุดเริ่มต้นของเรื่องพวกนี้ก็มาจากกงจื่อเย่ทั้งนั้น เมื่อก่อนทำไปโดยไม่รู้ความ แต่เวลานี้นึกเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสวีลู่ชิงได้เมื่อใดก็มักจะโอ้อวดให้อีนั่วฟังเสมอ อย่างเช่นคำพูดที่มักจะพูดบ่อย ๆ “นางรักเจ้า แต่รักข้ามากกว่า”
ครั้งนี้อีนั่วจึงได้ทีแกล้งบิดาให้หายหงุดหงิดใจเพราะเขาเป็นเพียงผู้เดียวที่เข้าใจคำพูดของเจ้าถ่าน
“บอกนางไปตามตรงไม่ได้หรือ อีนั่ว” น้ำเสียงขอร้องเอ่ยกับคนตรงหน้าก่อนจะจากไปเพราะถึงเวลาแล้ว
หากแต่บุตรชายเข้าใจความรู้สึกบิดาของตนเป็นอย่างดี ถึงจะอยากแกล้งเขาบ้างแต่ก็เห็นใจอยู่หนึ่งส่วนจึงพูดไปว่า “ท่านพ่อกลับมาครั้งหน้าก็บอกรักท่านแม่เองเถิด”
ดวงตาสีม่วงแดงของนกน้อยกระพริบปริบ ๆ “หายโกรธข้าสักหนึ่งส่วนแล้วใช่หรือไม่ ระหว่างนี้ดูแลแม่เจ้าดี ๆ อย่าซุกซน เชื่อฟังพวกเขาด้วย ข้าจะรีบกลับมาหา” กงจื่อเย่ฝากฝังทั้งคู่ไว้กับสมุนจอมมารทั้งสามพลางร่ายพลังมารที่มีอยู่ทั้งหมดปกป้องคนสำคัญของตัวเองโดยไม่รีรอก่อนจะส่งเสียงร้องจิ๊บ จิ๊บแล้วโบยบินสู่ท้องฟ้ากว้างใหญ่
คุณหนูสกุลสวีตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงร้องของพวกเขาภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ตะลึงงันจนทำอะไรไม่ถูก หันไปดูบิดาทางซ้าย กวาดตามองไล่เลี่ยมาทางขวา มารดาและพี่ชายกลับอยู่ในอาการไม่ต่างกัน“ท่านพ่อ ท่านแม่” นางตะโกนเสียงดังเรียกสติพวกเขา พยายามประคองใครคนหนึ่งขึ้นมา ร้องเรียกทหารนอกคุกที่ยืนเฝ้าเวรยามด้วยความกลัวสุดขีดทุกคนที่มาถึงต่างมองหน้ากันเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักโทษชั้นสูง หากแต่ประเมินแล้วว่าอาการที่แสดงออกมาเหมือนโดนพิษอะไรสักอย่างจึงทำท่าครุ่นคิดขึ้นมาทันใด“ข้าขอร้อง ตามหมอมารักษาครอบครัวข้าได้หรือไม่” นางอ้อนวอนคนตรงหน้า น้ำตาเอ่อคลอเบ้า“แต่ว่า...” หนึ่งในนั้นลังเลเพราะไม่รู้ว่าคนสกุลสวีถูกใบสั่งจากผู
หลังจากถูกจับตัวไปครบเจ็ดวันทางการยังคงไม่ได้ข้อมูลใดเพิ่มเติมจากคนสกุลสวี พวกเขายืนยันอย่างเดิมเหมือนทุกครั้งว่าตนเองบริสุทธิ์ใจ ไม่เคยคิดร่วมมือกับผู้ใดก่อกบฏอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่คำพูดของพวกเขาเป็นเพียงลมปากไร้หลักฐานใด ๆ จึงไม่มีใครเชื่อ อีกทั้งคนเหล่านั้นยังทำหูทวนลมเพราะเป็นพวกเดียวกันกับขุนนางชั่วคืนนั้น“ท่านพ่อ ท่านพี่” สวีลู่ชิงกระซิบเรียกคนทั้งสองที่นิ่งงันสลบไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าและลำตัวมีแต่รอยเขียวช้ำเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเสื้อผ้าเป็นทางคุณชายสวีลืมตามองผู้เป็นน้องสาว นึกโกรธตัวเองไม่น้อยที่เป็นต้นเหตุทำให้ครอบครัวต้องมาผจญความลำบากเช่นนี้ เขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะตกหลุมพรางง่ายดายเพียงนั้น“พวกเขาทำอันใดเจ้าหรือไม่
จากนั้นไม่นานใต้เท้าสวี ฮูหยินและสวีลู่ชิงถูกนำตัวออกมาจากจวน นางหันมองบ้านที่เคยอยู่ เวลานี้ผู้คนในนั้น บ่าวรับใช้ เสี่ยวมู่กำลังดิ้นรนบอกว่าตนเองไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นระหว่างถูกควบคุมตัวไปสอบสวน พวกเขาต้องเดินผ่านตลาดและหมู่บ้าน แม้จะเป็นสถานที่คุ้นเคยแต่ครั้งนี้ความรู้สึกนั้นกลับไม่เหมือนเดิมเพราะแววตาที่ชาวบ้านมองมากำลังกล่าวโทษว่าพวกเขาเป็นคนทรยศต่อบ้านเมืองสวีลู่ชิงเดินรั้งท้ายขบวนจึงตกเป็นเป้าโจมตีได้ง่ายเมื่อชาวบ้านคนหนึ่งขว้างสิ่งของเพื่อจะลงโทษนางให้สมกับความผิดที่ได้ทำทว่า ใครบางคนกลับพุ่งตัวเข้ามาโอบกอดนางไว้ไม่ยอมให้ของเหล่านั้นเฉียดร่างกายแม้เพียงเสี้ยว“คุณหนู” น้ำเสียงห่วงใยทำให้สวีรู้ชิงรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่ในความฝัน &ldquo
ปิ่นหยกลายดอกโบตั๋นจึงปรากฏบนเรือนผมของคุณหนูสกุลสวีนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเจ้าของดวงตาสีม่วงแดงมองคนตรงหน้าไม่วาง ยิ้มกว้างปลื้มใจที่นางรับของขวัญจากเขาไปราวกับรับความรักที่เขามีให้ไปด้วยสวีลู่ชิงรู้สึกได้ว่าคนผู้นั้นจริงใจกับนางมากแค่ไหน แม้จะให้สถานะเป็นเพียงสหายแต่ก็ยอมปักปิ่นให้เขาได้ชื่นใจเวลานี้นางไม่เคยได้ออกไปเยี่ยมเขาที่นอกหมู่บ้านอีกเลย เพราะกงจื่อเย่มักแอบมาหานางในยามซวีทุก ๆ สองหรือสามวันเพื่อนำดอกซือเมิ่งสีฟ้าที่นางโปรดปรานมาให้“ทำงานทั้งวันไม่เหนื่อยหรืออย่างไรจึงมาหาข้าถึงจวน” สวีลู่ชิงเอ่ยถามคนข้างกาย รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจทำงานมากแค่ไหนและพยายามมาหานางถึงที่นี่ทั้ง ๆ ที่เดินทางมายากลำบากนัก“ไม่เหนื่อยเลยขอรับ” เ
สวีต้าเฟิงไม่ได้ลงมาตามจับหลานชายของตัวเองเพียงเท่านั้นแต่ยังมาเตือนกงจื่อเย่ผู้เป็นบิดาของมารน้อยด้วยสีหน้าจริงจังเหมือนทุกครั้งจอมมารนิ่งเฉยเพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องการพูดเรื่องอะไร แต่มักทำหูทวนลมอยู่ร่ำไป คิดอยากทำตามใจตัวเองตามประสาเป็นทุนเดิม“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าอย่ายุ่งเกี่ยวกับโชคชะตาของนาง เหตุใดเจ้าถึงไม่ฟังข้าบ้างเล่า” เทพวายุพยายามข่มใจลดน้ำเสียงลงราวกับวอนขอให้อีกฝ่ายทำตามที่เขาบอก“เจ้ามาโทษข้าเรื่องอันใด ไม่เห็นหรือว่าข้าอยู่ในสภาพแทบพิการ ต่ำต้อย ไม่มีชื่อเสียงเงินทอง มิหนำซ้ำสุขภาพยังย่ำแย่ทรุดโทรมจะมีเวลาไปสร้างเรื่องอันใดให้เจ้าหนักใจอีก” กงจื่อเย่นิ่วหน้าพูดตามความจริง“ดาบเขี้ยวอสูรของเจ้าบินว่อนภพสวรรค์สร้างความแตกตื่นให้ผู้คนบนนั้นคิดว่าเจ้าจะยึดคร
ช่วงจังหวะนั้นเสี่ยวมู่ถูกบ่าวสกุลลั่วกันออกมาไม่ให้เข้าไปวุ่นวายใกล้เจ้านายทั้งสอง สวีลู่ชิงจึงได้อยู่กับคุณชายลั่วตามลำพังอย่างเงียบ ๆครั้นเดินไปจนถึงพุ่มดอกไม้สีฟ้าแล้ว เขาชี้ให้นางดูพื้นดินข้างล่าง ดอกไม้จุดเล็ก ๆ พลิ้วไหวไปตามลมล่องลอยขึ้นฟ้า ทว่า มันไม่ใช่ดอกซือเมิ่งที่นางโปรดปรานบุรุษร่างสูงเข้าประชิดตัวนางเพื่อแต้มบุหงายั่วยวนแต่ไม่ทันได้ทำอย่างนั้น บ่าวสกุลลั่วกลับวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาเจ้านายด้วยความกลัวสุดขีด“คุณชาย!” เสียงตะโกนของบ่าวคนหนึ่งทำให้เขาตกใจจนเผลอปล่อยขวดเล็ก ๆ หล่นพื้น “คุณชาย!”สวีลู่ชิงหรี่ตามองกลุ่มคนที่กำลังวิ่งมาทางนาง ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นจนกระทั่งได้ยินเสียงที่บอกว่า “งูขอรับ งูดำตัวใหญ่&rd