เมื่อได้ยินเสียงมารน้อย สติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็กลับมาสมบูรณ์ แม้จะพยายามส่งกระแสจิตหาอีนั่วสักเท่าใด เขากลับไม่ได้ยินเสียงจากอีกฝ่ายเลย
“มันผู้ใดกล้าทำร้ายลูกเมียข้า” พลังมารชั่วร้ายแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ ความโกรธกราดเกรี้ยวยิ่งทำให้พลังที่อยู่รอบตัวเขากลายเป็นยาพิษชั้นดีบ่อนทำลายสัตว์อสูรทีละนิด
จอมมารสูบกลืนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าเขาเข้าไปโดยไม่รู้ตัวแทบจะหลงลืมไปชั่วขณะว่าเขาคือผู้ใด พลันลึก ๆ ในใจเหมือนมีสายลมพริ้วไหวพัดผ่านต้นไม้แห่งชีวิตของเขา ดวงตาสีม่วงแดงจึงค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ
“เยว่ชิงหรือ” เขาพึมพำสัมผัสความรู้สึกนั้น “เป็นเจ้าจริงหรือ”
เขาหลับตาลงปล่อยใจหลงใหลกับสัมผัสอบอุ่นนั้นชั่วขณะ เมื่อพึงพอใจแล้วจึงกลับมาเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรตนนั้นต่อพลางเร่งมือฉกฉวยเอาพลังของมันมาให้เร็วที่สุดจะได้รู้กันเสียทีว่ามันผู้ใดกล้ายุ่งกับคนของเขา
จ่าฝูงสัตว์อสูรไม่เหลือเรี่ยวแรงต่อกร ครั้งสุดท้ายที่มันโดนดาบประจำกายจอมมารตวัดผ่าน ร่างหนาล้มตึงกับพื้นที่เต็มไปด้วยเลือดแดงฉาน
จอมมารไม่รอช้าร่ายอาคมยึดเอาพลังสัตว์อสูรมาเป็นของตน แม้จะยังไม่รู้ได้ว่าใครจับตัวพวกเขาไปแต่อย่างน้อยครั้งนี้เขาก็สัมผัสได้แล้วว่าจะสูบกลืนกินพลังจากผู้ใดเป็นลำดับต่อไป
กงจื่อเย่แสยะยิ้มกางมือแล้วร่ายอาคมคิดสวาปามมารปีศาจและสัตว์อสูรที่อยู่รอบเขาทั้งหมดในคราวเดียว เขาจำเป็นต้องแข็งแกร่งให้มากพอเพื่อปะทะกับศัตรูทั้งห้าในไม่ช้า
“นายท่าน” โจวเหวินหลงปรากฏตัวต่อหน้าเขาก่อนใคร แต่ไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกจอมมารบีบคอ “นายท่าน”
หลิวอิงอิงและเฉินซือหยางที่ตามมาทีหลังแทบจะหนีไม่ทันแต่พอรู้ตัวว่าไม่มีทางหนีพ้นจึงเอ่ยปากขอให้เจ้านายของตนใจเย็น
“นายท่าน พวกข้าพยายามปกป้องนายน้อยกับนายหญิงแล้ว แต่ว่าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมากเสียจนตั้งตัวไม่ทัน แม้แต่เทพวายุยังรับมือไม่ได้เจ้าค่ะ” หลิวอิงอิงเล่าเรื่องราวตามความเป็นจริงด้วยสีหน้ากังวล
“แล้วอย่างไร” เขาถามอย่างไม่แยแส
“เวลานี้ สวีต้าเฟิงกลับสวรรค์เตรียมกองทัพเพื่อค้นหานางแล้วขอรับ” เฉินซือหยางเหลือบตามองมังกรดำที่ยังถูกบีบคอจนแทบจะสิ้นลม
“ไร้ประโยชน์สิ้นดี” จอมมารตวาดเสียงดังลั่นแล้วเหวี่ยงร่างมังกรดำไปอีกทางหนึ่ง โจวเหวินหลงสูดหายใจเฮือกใหญ่คิดว่าชีวิตตัวเองคงจะสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้
“...” สมุนทั้งสามนิ่งเงียบรอฟังคำสั่งไม่กล้าเอ่ยปากแม้แต่นิดเดียวเพราะกลัวจะทำให้เขาไม่พอใจมากกว่าเดิม
“แยกย้ายกันไปตามหา”
พวกเขามองหน้ากันเพราะคิดว่าจะได้ยินคำสั่งมากกว่านี้แต่ในเมื่อจอมมารพยายามสะกดอารมณ์ของตัวเองได้อยู่ก็ควรจะพยักหน้ารับรู้แล้วรีบไปจากตรงนั้นเสียดีกว่า
กงจื่อเย่ใช้พลังของสัตว์อสูรตนนั้นตรวจสอบมารที่แข็งแกร่งตามลำดับแล้วมุ่งหน้าไปยังป่าดอกท้อของจิ้งจอกพันปีทันที
การปรากฏตัวของเขาสร้างความแตกตื่นให้เผ่าปีศาจยิ่งนัก เวลานี้กงจื่อเย่ไม่ปิดบังตัวตนว่าเขายังมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ราวกับประกาศให้ผู้ที่จับตัวอีนั่วกับสวีลู่ชิงได้รู้ว่ามันถูกหมายหัวเรียบร้อยแล้ว
เมื่อไปถึงป่าดอกท้อ เขาไม่รีรอทักทาย ไม่กล่าวคำใดทั้งสิ้น ตรามารปรากฏกลางหน้าผากกงจื่อเย่ ร่ายอาคมปิดล้อมไล่ล่าปีศาจจิ้งจอกเหมือนหมาป่าต้อนลูกแกะไม่หยุดไม่หย่อน กลืนกินพลังของพวกนั้นราวกับมารหิวโหยที่ทำอย่างไรก็ไม่มีวันเติมเต็มความกระหายได้
เสียงกรีดร้องของผู้พ่ายแพ้ดังระงม ยอมละทิ้งศักดิ์ศรีของปีศาจผู้แข็งแกร่งหนึ่งในหกลำดับก้มศีรษะร้องขอชีวิตจอมมารเลือดเย็น
ยิ่งสัมผัสกับพลังชั่วร้ายมากขึ้น กงจื่อเย่ยิ่งรู้สึกสนุกสนานกับการเข่นฆ่าเหมือนเช่นวันวาน แม้ส่วนหนึ่งลึก ๆ ของใจจะคอยห้ามปรามตัวเองเอาไว้ก็ตาม
ทุกครั้งที่เขารับพลังมารปีศาจมา ตัวตนของเขาจะแข็งแกร่งมากขึ้น พลังความชั่วร้ายแทบกลับมาเป็นเหมือนจอมมารคนเดิมที่เพิ่งถือกำเนิด
กงจื่อเย่ไล่สังหารมารในตำนานลำดับที่สอง สาม สี่ จนสิ้นซาก เกิดข่าวลือสะพัดไปทั่วว่าจอมมารกงจื่อเย่กลับมามีชีวิตอีกครั้งทำให้พวกปลาซิวปลาสร้อยที่คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่หดหัวกลับเข้าที่ของตนในทันที
สิ่งมีชีวิตในภพมารแทบหายไปเกินครึ่ง ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลยว่าจอมมารสามารถกัดกินพวกเดียวกันได้อย่างง่ายดาย
ข่าวลือไม่ได้จำกัดอยู่ในภพมารเท่านั้น พลังเหลือล้นที่กงจื่อเย่ซึมซับในรวดเดียวคล้ายกับจะระเบิดออกมาในเร็ววันหากเขาไม่สามารถควบคุมมันได้ สามภพคงเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน
ทหารสอดแนมของกองทัพสวรรค์จึงรายงานเรื่องราวโกลาหลในภพมารให้เทพปฐพีได้รับรู้โดยเร็ว พลันเรียกหารือกับเทียนจวินและผู้อาวุโสเพื่อเตรียมรับมือก่อนที่จะสายไป
สวีต้าเฟิงไม่คิดว่าจอมมารจะฟื้นตัวกลับมาได้เร็วเพียงนั้น หากสิ่งที่เขาคิดถูกต้อง เหตุผลที่ทำให้มารปีศาจอย่างเขารีบร้อนกลืนกินพลังชั่วร้ายคงเป็นเพราะการหายตัวไปของสวีลู่ชิงและอีนั่ว เทพวายุจึงเบี่ยงประเด็นจากการป้องกันรับมือเป็นบุกค้นหาบุคคลสูญหายคงจะดีกว่า
ถ้าจอมมารได้รู้ว่าคนรักของตนยังปลอดภัยและความรู้สึกที่มีต่อนางไม่แปรเปลี่ยน เขาคงยอมสลายตัวตนและพลังอีกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้สวีลู่ชิงถูกพลังเทพบรรพกาลบังคับให้นางสังหารเขาตามคำทำนาย
กงจื่อเย่เดินทางมาถึงดินแดนใต้พิภพตามสัญชาตญาณของสัตว์อสูรที่รับรู้ได้ว่าที่แห่งนี้มีมารผู้ยิ่งใหญ่อีกตนหนึ่งพลันคิดไปว่ามันต้องเป็นผู้ที่จับอีนั่วกับมารดามาแน่ ๆ
ทว่า การคาดเดาของเขากลับผิดคาดเพราะมารตนนี้ยังเป็นแค่เพียงไข่ใบใหญ่ที่ยังไม่ฟักตัวออกมาเสียด้วยซ้ำ
เขาเอื้อมมือไปแตะพื้นผิวไข่สีทองอย่างแผ่วเบาแทนการเตะไข่แตกเพราะหงุดหงิดจึงรอดตัวไปเพราะไข่ใบนั้นคือไข่มังกรมีตัวอ่อนอาศัยอยู่ข้างในอย่างสงบ
จอมมารคิดในใจ มังกรที่เป็นครึ่งเทพครึ่งมารจากยุคบรรพกาลอย่างนั้นหรือ
สายฟ้าแลบปรากฏรอบเปลือกไข่ดังกระหึ่มฟาดเข้าหากงจื่อเย่โดยไม่ทันตั้งตัว จอมมารเตรียมจะทุบไข่ใบใหญ่ให้แตกเพราะโมโหแต่ต้องยั้งมือเอาไว้เพราะเห็นภาพราง ๆ ของอีนั่วถูกมัดห้อยหัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง
มารน้อยในภาพภวังค์ตะโกนลั่น สีหน้าทั้งเกรี้ยวกราดและสั่นกลัวระคนกัน
“ปล่อยข้า”
“อย่าทำอะไรท่านแม่นะ”
“ท่านแม่!!!”
เสียงแผดร้องของบุตรชาย อีกทั้งไม่รู้ว่าชะตาของสวีลู่ชิงเป็นอย่างไรทำให้จอมมารเผลอระเบิดพลังชั่วร้ายที่สะสมมาไม่กี่ชั่วยามพุ่งไปหาอีกฝ่ายผ่านภาพมโนที่มังกรน้อยสร้างขึ้นมา
ท้องฟ้ากระหึ่มดังลั่น สายฟ้าผ่าลงมาไม่ขาดสาย เบื้องหน้าของจอมมารคือบุตรชายที่ถูกมัดเป็นเหยื่อล่อ อีกทางหนึ่งคือเทพดาราที่กำลังถูกมารที่ไม่ปรากฏในบัญชีรายชื่อทรมานจนกระอักเลือดเปรอะเปื้อนใบหน้างดงาม
มารตนนี้ร้ายกาจที่สุดในบรรดาที่เขาเคยพบเจอ มันสามารถอำพรางตนเองไม่ให้ผู้ใดรับรู้ตัวตนของมันได้หลายพันปี เพียงแต่วันนี้มันกลับโลภมากอยากครอบครองพลังที่ไม่ใช่ของมันจึงคิดหลอมรวมอีนั่วและลิ้มรสเลือดเนื้อเทพชั้นสูงให้อิ่มหนำ
แววตากงจื่อเย่ดุร้ายกว่าเดิมหลายสิบเท่า ร่ายอาคมตัดเชือกมัดมารให้อีนั่วเป็นอิสระพร้อมกับพุ่งตัวเข้าหาสวีลู่ชิงในพริบตา
มารตนนั้นมีนามว่าหลิ่งปิน ไม่ยอมให้ผู้ใดมาแย่งเหยื่ออันโอชะของตนจึงสะบัดพลังเกี่ยวตัวเทพดาราเข้าหาตนเอง
“อย่าริอาจแตะต้องนาง” เสียงตะโกนดังลั่นเรียกสติของสวีลู่ชิงกลับมาทันใด
เทพดาราไม่เคยคิดเลยว่าจะได้พบหน้าจอมมารเร็วถึงเพียงนี้ ใครกันเล่าบอกว่าเขาจะสลายไปพันปีหมื่นปี
พลังเทพบรรพกาลที่อยู่ในตัวนางตื่นขึ้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามารปีศาจที่ร้ายที่สุดคือกงจื่อเย่ เห็นทีครั้งนี้ทั้งนางและเขาจำต้องสลายไปพร้อมกันกระมัง
คุณหนูสกุลสวีตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงร้องของพวกเขาภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ตะลึงงันจนทำอะไรไม่ถูก หันไปดูบิดาทางซ้าย กวาดตามองไล่เลี่ยมาทางขวา มารดาและพี่ชายกลับอยู่ในอาการไม่ต่างกัน“ท่านพ่อ ท่านแม่” นางตะโกนเสียงดังเรียกสติพวกเขา พยายามประคองใครคนหนึ่งขึ้นมา ร้องเรียกทหารนอกคุกที่ยืนเฝ้าเวรยามด้วยความกลัวสุดขีดทุกคนที่มาถึงต่างมองหน้ากันเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักโทษชั้นสูง หากแต่ประเมินแล้วว่าอาการที่แสดงออกมาเหมือนโดนพิษอะไรสักอย่างจึงทำท่าครุ่นคิดขึ้นมาทันใด“ข้าขอร้อง ตามหมอมารักษาครอบครัวข้าได้หรือไม่” นางอ้อนวอนคนตรงหน้า น้ำตาเอ่อคลอเบ้า“แต่ว่า...” หนึ่งในนั้นลังเลเพราะไม่รู้ว่าคนสกุลสวีถูกใบสั่งจากผู
หลังจากถูกจับตัวไปครบเจ็ดวันทางการยังคงไม่ได้ข้อมูลใดเพิ่มเติมจากคนสกุลสวี พวกเขายืนยันอย่างเดิมเหมือนทุกครั้งว่าตนเองบริสุทธิ์ใจ ไม่เคยคิดร่วมมือกับผู้ใดก่อกบฏอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่คำพูดของพวกเขาเป็นเพียงลมปากไร้หลักฐานใด ๆ จึงไม่มีใครเชื่อ อีกทั้งคนเหล่านั้นยังทำหูทวนลมเพราะเป็นพวกเดียวกันกับขุนนางชั่วคืนนั้น“ท่านพ่อ ท่านพี่” สวีลู่ชิงกระซิบเรียกคนทั้งสองที่นิ่งงันสลบไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าและลำตัวมีแต่รอยเขียวช้ำเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเสื้อผ้าเป็นทางคุณชายสวีลืมตามองผู้เป็นน้องสาว นึกโกรธตัวเองไม่น้อยที่เป็นต้นเหตุทำให้ครอบครัวต้องมาผจญความลำบากเช่นนี้ เขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะตกหลุมพรางง่ายดายเพียงนั้น“พวกเขาทำอันใดเจ้าหรือไม่
จากนั้นไม่นานใต้เท้าสวี ฮูหยินและสวีลู่ชิงถูกนำตัวออกมาจากจวน นางหันมองบ้านที่เคยอยู่ เวลานี้ผู้คนในนั้น บ่าวรับใช้ เสี่ยวมู่กำลังดิ้นรนบอกว่าตนเองไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นระหว่างถูกควบคุมตัวไปสอบสวน พวกเขาต้องเดินผ่านตลาดและหมู่บ้าน แม้จะเป็นสถานที่คุ้นเคยแต่ครั้งนี้ความรู้สึกนั้นกลับไม่เหมือนเดิมเพราะแววตาที่ชาวบ้านมองมากำลังกล่าวโทษว่าพวกเขาเป็นคนทรยศต่อบ้านเมืองสวีลู่ชิงเดินรั้งท้ายขบวนจึงตกเป็นเป้าโจมตีได้ง่ายเมื่อชาวบ้านคนหนึ่งขว้างสิ่งของเพื่อจะลงโทษนางให้สมกับความผิดที่ได้ทำทว่า ใครบางคนกลับพุ่งตัวเข้ามาโอบกอดนางไว้ไม่ยอมให้ของเหล่านั้นเฉียดร่างกายแม้เพียงเสี้ยว“คุณหนู” น้ำเสียงห่วงใยทำให้สวีรู้ชิงรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่ในความฝัน &ldquo
ปิ่นหยกลายดอกโบตั๋นจึงปรากฏบนเรือนผมของคุณหนูสกุลสวีนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเจ้าของดวงตาสีม่วงแดงมองคนตรงหน้าไม่วาง ยิ้มกว้างปลื้มใจที่นางรับของขวัญจากเขาไปราวกับรับความรักที่เขามีให้ไปด้วยสวีลู่ชิงรู้สึกได้ว่าคนผู้นั้นจริงใจกับนางมากแค่ไหน แม้จะให้สถานะเป็นเพียงสหายแต่ก็ยอมปักปิ่นให้เขาได้ชื่นใจเวลานี้นางไม่เคยได้ออกไปเยี่ยมเขาที่นอกหมู่บ้านอีกเลย เพราะกงจื่อเย่มักแอบมาหานางในยามซวีทุก ๆ สองหรือสามวันเพื่อนำดอกซือเมิ่งสีฟ้าที่นางโปรดปรานมาให้“ทำงานทั้งวันไม่เหนื่อยหรืออย่างไรจึงมาหาข้าถึงจวน” สวีลู่ชิงเอ่ยถามคนข้างกาย รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจทำงานมากแค่ไหนและพยายามมาหานางถึงที่นี่ทั้ง ๆ ที่เดินทางมายากลำบากนัก“ไม่เหนื่อยเลยขอรับ” เ
สวีต้าเฟิงไม่ได้ลงมาตามจับหลานชายของตัวเองเพียงเท่านั้นแต่ยังมาเตือนกงจื่อเย่ผู้เป็นบิดาของมารน้อยด้วยสีหน้าจริงจังเหมือนทุกครั้งจอมมารนิ่งเฉยเพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องการพูดเรื่องอะไร แต่มักทำหูทวนลมอยู่ร่ำไป คิดอยากทำตามใจตัวเองตามประสาเป็นทุนเดิม“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าอย่ายุ่งเกี่ยวกับโชคชะตาของนาง เหตุใดเจ้าถึงไม่ฟังข้าบ้างเล่า” เทพวายุพยายามข่มใจลดน้ำเสียงลงราวกับวอนขอให้อีกฝ่ายทำตามที่เขาบอก“เจ้ามาโทษข้าเรื่องอันใด ไม่เห็นหรือว่าข้าอยู่ในสภาพแทบพิการ ต่ำต้อย ไม่มีชื่อเสียงเงินทอง มิหนำซ้ำสุขภาพยังย่ำแย่ทรุดโทรมจะมีเวลาไปสร้างเรื่องอันใดให้เจ้าหนักใจอีก” กงจื่อเย่นิ่วหน้าพูดตามความจริง“ดาบเขี้ยวอสูรของเจ้าบินว่อนภพสวรรค์สร้างความแตกตื่นให้ผู้คนบนนั้นคิดว่าเจ้าจะยึดคร
ช่วงจังหวะนั้นเสี่ยวมู่ถูกบ่าวสกุลลั่วกันออกมาไม่ให้เข้าไปวุ่นวายใกล้เจ้านายทั้งสอง สวีลู่ชิงจึงได้อยู่กับคุณชายลั่วตามลำพังอย่างเงียบ ๆครั้นเดินไปจนถึงพุ่มดอกไม้สีฟ้าแล้ว เขาชี้ให้นางดูพื้นดินข้างล่าง ดอกไม้จุดเล็ก ๆ พลิ้วไหวไปตามลมล่องลอยขึ้นฟ้า ทว่า มันไม่ใช่ดอกซือเมิ่งที่นางโปรดปรานบุรุษร่างสูงเข้าประชิดตัวนางเพื่อแต้มบุหงายั่วยวนแต่ไม่ทันได้ทำอย่างนั้น บ่าวสกุลลั่วกลับวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาเจ้านายด้วยความกลัวสุดขีด“คุณชาย!” เสียงตะโกนของบ่าวคนหนึ่งทำให้เขาตกใจจนเผลอปล่อยขวดเล็ก ๆ หล่นพื้น “คุณชาย!”สวีลู่ชิงหรี่ตามองกลุ่มคนที่กำลังวิ่งมาทางนาง ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นจนกระทั่งได้ยินเสียงที่บอกว่า “งูขอรับ งูดำตัวใหญ่&rd