ดินแดนสุญญตา
สถานที่ที่อยู่ระหว่างภพมารและภพสวรรค์ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าที่รกร้างว่างเปล่าจะมีมารที่มีพลังชั่วร้ายแอบซ่อนตัวอยู่นับพันปี
ขณะที่กงจื่อเย่กำลังต่อสู้กับหลิ่งปินเพื่อแย่งชิงเทพดารากลับมา กองทัพสวรรค์ของเทพสงครามและสวีต้าเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นเข้าร่วมการศึกสงครามในครั้งนี้
ในสายตาของเทพเซียนที่อยู่ตรงนั้น พวกเขาต่างมองว่าศัตรูที่เป็นภัยต่อสามภพมากที่สุดคือกงจื่อเย่ อดีตจอมมารที่เพิ่งจะสูญสลายไปไม่นาน
ไม่ว่าจะมองอย่างไร ร่างกายและพลังที่สมบูรณ์เกินกว่าที่ควรคงเป็นเพราะเขาเร่งกลืนกินพวกเดียวกันอย่างแน่นอน ทั้งยังไม่รู้ว่าสติยังคงอยู่ครบถ้วนหรือเลือนหายแล้วใช้สัญชาตญาณนำทางอยู่กันแน่
“ช้าก่อน” สวีต้าเฟิงออกคำสั่งห้ามทหารสวรรค์เคลื่อนไหวก่อนดูลาดเลาฉากการต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า แล้วหารือกับเทพปฐพีว่า “โจมตีมารตนนั้นก่อน สวีลู่ชิงตกอยู่ในอันตราย หากนางปลอดภัย ข้าเชื่อว่ากงจื่อเย่จะสงบอารมณ์ลงได้”
“เหตุใดไม่สังหารไปพร้อมกันเลยเล่า” เทพปฐพีผู้มีนิสัยทะลวงทุกอย่างที่ขวางหน้าโดยไม่แยแสถามด้วยความสงสัย “เพราะเขาเป็นสามีน้องสาวเจ้า เจ้าจึงขอร้องให้ข้าไว้ชีวิตอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าก็รู้ว่าไม่ใช่เช่นนั้น” เทพวายุส่ายหน้า
“ท่านลุง ช่วยท่านแม่เร็วเข้า” อีนั่วเห็นสวีต้าเฟิงยังคงนิ่งงันถกเถียงกับเทพปฐพีจึงตะโกนเสียงดังข้ามมาจากอีกฝั่งหนึ่งพลันร่ายพลังมารที่บิดาเคยสอนไว้ถล่มหลิ่งปินช่วยเขาอีกแรง
“เฮ้อ” เทพวายุถอนหายใจ “ข้าไม่รู้ด้วยแล้ว เอาเป็นว่านางคือผู้เดียวที่จอมมารยอมสยบ เพราะฉะนั้นแล้วห้ามปล่อยให้นางเป็นอันใดไปเด็ดขาด”
เทพปฐพียิ้มมุมปากแล้วส่งสัญญาณให้กองทัพสวรรค์เคลื่อนพลโจมตีหลิ่งปินและบริวารที่เป็นเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว
มารตนนั้นไม่ใช่พวกไม่มีความคิด เมื่อเห็นว่าตนเองตกอยู่ในอันตรายจึงใช้สวีลู่ชิงเป็นโล่กำบัง บังคับให้นางร่ายอาคมคุ้มกันเขาจากกองทัพสวรรค์
แววตาของมันดุดันไม่แพ้ใคร แสยะยิ้มชั่วร้ายเหมือนทุกอย่างกำลังเข้าแผนที่วางไว้พลางคิดในใจว่า จะเป็นอย่างไรหนอหากได้กินเทพเซียนพวกนั้นจนพุงกาง วันนั้นข้าคงจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครเทียบเทียม
ฝันไปเถอะ กงจื่อเย่เจาะเข้าไปในความคิดของมันได้อย่างง่ายดายด้วยพลังของมารตนก่อนหน้าที่เขาสังหารพลางรวบรวมสิ่งที่เขามีทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวโจมตีหลิ่งปินไม่ยั้งมือจนร่างของมันกระเด็นลอยไปไกลแล้วโอบรับสวีลู่ชิงกลับมาในอ้อมแขนตนเอง
พลังมารในแก่นวิญญาณของเขาแทบเอ่อล้นเกินที่จะรับไหว เดิมทีต้องค่อย ๆ กลืนกิน ใช้เวลาหลายร้อยหลายพันปีสำหรับพลังมหาศาลแต่เขากลับรับทุกสิ่งทุกอย่างมาทั้งหมดในไม่กี่ชั่วยาม
“เจ้า...” สวีลู่ชิงมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง พลังเทพบรรพกาลในแก่นวิญญาณของนางกำลังสั่นไหวบังคับให้นางสังหารเขา
กงจื่อเย่เองรู้สึกได้ว่าอันตรายที่เขากลัวที่สุดกำลังคืบคลานเข้ามาจึงพยายามควบคุมมันให้อยู่ในกำมือ
เทพดาราเอื้อมมือแตะกลางหน้าอกของเขาแล้วร่ายอาคมช่วยควบคุมความชั่วร้ายอีกแรง “อดทนอีกสักนิดได้หรือไม่” นางกล่าวกับคนตรงหน้า
“ท่านแม่” อีนั่วรีบวิ่งมาหาทั้งคู่ด้วยความเป็นห่วง คอยเฝ้าระวังไม่ให้หลิ่งปินฉวยโอกาสลอบทำร้ายบิดามารดาในเวลานี้
เมื่อเทพปฐพีเห็นว่าจอมมารอยู่ในมือของเทพดาราแล้วจึงพุ่งความสนใจมาที่มารอีกตนอย่างเต็มที่ สั่งกองทัพกระหน่ำจัดการมันอย่างไม่ปรานี ท้ายที่สุดแล้วมารร้ายหนึ่งตนที่ถูกจอมมารถล่มใส่จนบาดเจ็บ ไม่เหลือแรงสู้ทหารสวรรค์หลายร้อยได้จึงพ่ายแพ้ไป
“เฮ้อ” สวีลู่ชิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาสีฟ้าจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา รู้สึกลึก ๆ ในใจว่าเป็นห่วงเขาแต่ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
“เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ” จอมมารเอ่ยถามคนตรงหน้า
“...” นางไม่ตอบเพราะกำลังสับสนว่าความรู้สึกนั้นเป็นของนางหรือเป็นเพราะถูกจอมมารเจ้าเล่ห์ทำเสน่ห์ให้หลงใหล
กงจื่อเย่ยิ้มด้วยความสดใสเปลี่ยนจากมารชั่วร้ายที่พร้อมทำลายสามภพเป็นเพียงบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังมองคนรักของตนอย่างลึกซึ้งพลางสวมกอดนางแนบแน่นไม่สนสายตาของผู้ใด
“ท่านลุง ไม่เป็นอันใดแล้วขอรับ” เขาเอ่ยปากบอกให้สวีต้าเฟิงแน่ใจ แม้เห็นกับตาว่าพลังชั่วร้ายสงบลงแล้วแต่ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจอมมารคิดสิ่งใดอยู่
ทว่า กงจื่อเย่รู้ดีว่ายามที่พลังมารเปี่ยมล้นเช่นนี้ ทางเดียวที่จะรักษาแก่นวิญญาณของสวีลู่ชิงเอาไว้ได้และไม่ทำให้นางถูกพลังเทพบรรพกาลบังคับให้กำจัดเขา จอมมารจะต้องเสียสละสลายพลังทั้งหมด
เขาจึงคิดจัดการตัวเองอย่างที่เคยทำเมื่อไม่นานมานี้ คิดจะเป็นเพียงนกน้อยที่คอยอยู่เคียงข้างนาง แต่ก่อนจะไปขอจุมพิตนางสักหน่อยคงดี
ริมฝีปากของเขาสัมผัสคนตรงหน้าที่ไม่ทันได้ตั้งตัว รสจูบแผ่วเบาจนทำให้สวีลู่ชิงเคลิบเคลิ้มโดยไม่รู้ตัว
สวีต้าเฟิงและเทพปฐพี รวมถึงทหารสวรรค์กลายเป็นพยานในครั้งนี้ สนามรบเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นสนามรักไปโดยปริยาย
“เจ้าคิดว่ายังน่าห่วงอีกหรือไม่ ข้าบอกแล้วว่าตราบใดที่นางปลอดภัย เจ้ามารนั่นไม่กล้าก่อเรื่องใดหรอก” สวีต้าเฟิงหันไปมองเทพปฐพีที่ยังคงกำอาวุธเทพในมือไว้แน่นเผื่อว่ามารเจ้าเล่ห์คิดลอบโจมตี
“ยังวางใจไม่ได้หรอก เจ้าไม่เห็นหรือว่าที่แห่งนี้ยังมีมารน้อยอีกตน หลานเจ้าน่ะ ไม่อันตรายจริงหรือ” เขาเอ่ยถามบ้างแต่สวีต้าเฟิงยืนยันหนักแน่นว่าเขาควบคุมอีนั่วไม่ให้ก่อเรื่องได้
“ข้าถึงบอกอย่างไรเล่าว่าถ้านางยังอยู่ ทั้งจอมมาร มารน้อยจะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว” เทพวายุยืนยันคำเดิมหลังจากสังเกตอีนั่วมานาน หลานชายของเขาดูเป็นเด็กน้อยธรรมดาเท่านั้น ไม่มีทีท่าจะใช้พลังมารโดยไม่จำเป็น
“เฮอะ” เทพปฐพีสบถเล็กน้อยก่อนถอนกำลังนำตัวหลิ่งปินไปกักขังเพียงชั่วพริบตา
ดินแดนแห่งนี้จึงมีเพียงแค่จอมมาร สวีลู่ชิงและมารน้อยอยู่กันสามคนตามลำพัง
“เจ้าจูบข้าทำไม” สวีลู่ชิงพยายามดันหน้าอกเขาออก
แววตาของจอมมารเศร้าสลดเล็กน้อย “จูบลาไม่ได้หรือ ข้าจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าอีกนานเลย”
“ครั้งที่แล้วเจ้าก็พูดเช่นนี้”
“ยอมให้ข้าหน่อยไม่ได้หรือ เยว่ชิง”
“สวีลู่ชิงต่างหาก” นางแย้งขึ้นมาทันใดเพราะจำชีวิตในชาติก่อนที่เป็นอู๋เยว่ชิงไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ภรรยาข้า ดูแลตัวเองให้ดีนะ ข้าหวังว่าแก่นวิญญาณของเจ้าจะปลอดภัย” น้ำเสียงของเขาจริงใจยิ่งกว่าครั้งใด เทพดาราไม่นึกเลยว่าจอมมารชั่วร้ายเปลี่ยนแปลงตนเองไปได้มากเพียงนี้
“อีนั่ว ข้าฝากเจ้าดูแลนาง” เขาเอื้อมมือลูบศีรษะมารน้อยอย่างอ่อนโยน “ต่อจากนี้ไปจะไม่มีมารปีศาจตนไหนกล้าทำร้ายเจ้ากับนางได้อีกแล้ว”
“ขอรับ” มารน้อยรับปากแล้วกอดสวีลู่ชิงแทนกงจื่อเย่ สายตาอาลัยอาวรณ์เล็กน้อยแม้จะยังโกรธบิดาอยู่บ้าง
“คิดถึงข้าบ้างนะ” กงจื่อเย่เอ่ยราวกับขอร้องให้จดจำเขาไว้ในใจ รอยยิ้มสุดท้ายแสนอบอุ่นปรากฏบนใบหน้าจอมมารที่เคยร้ายกาจในวันวานก่อนที่ร่างกายของเขาจะสลายหายไปต่อหน้าต่อตาทั้งคู่
สุดท้ายแล้ว สามภพคงจะสงบสุขไปอีกนานแสนนานเพราะกงจื่อเย่กำจัดมารปีศาจที่คิดเป็นภัยในวันข้างหน้าจนเหี้ยนเหลือแต่เพียงไข่มังกรที่มีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ แต่เพราะมันช่วยเหลือเขาให้ได้พบที่ซ่อนจึงได้รับการยกเว้นให้รอดชีวิตอยู่ใต้พิภพดังเดิม
เสียงเศร้าสร้อยพัดผ่านตามสายลมอ้อนวอนคนรักของตนเอง
“อย่าลืมข้าเลยนะ”
“ข้ารักเจ้า”
“ภรรยาของข้า”
“ลู่ชิง”
แม้นางจะไม่เชื่อคำพูดของเขาแต่อดไม่ได้ที่จะสัมผัสถึงความรู้สึกจากก้นบึ้งหัวใจของจอมมาร
คุณหนูสกุลสวีตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงร้องของพวกเขาภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ตะลึงงันจนทำอะไรไม่ถูก หันไปดูบิดาทางซ้าย กวาดตามองไล่เลี่ยมาทางขวา มารดาและพี่ชายกลับอยู่ในอาการไม่ต่างกัน“ท่านพ่อ ท่านแม่” นางตะโกนเสียงดังเรียกสติพวกเขา พยายามประคองใครคนหนึ่งขึ้นมา ร้องเรียกทหารนอกคุกที่ยืนเฝ้าเวรยามด้วยความกลัวสุดขีดทุกคนที่มาถึงต่างมองหน้ากันเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักโทษชั้นสูง หากแต่ประเมินแล้วว่าอาการที่แสดงออกมาเหมือนโดนพิษอะไรสักอย่างจึงทำท่าครุ่นคิดขึ้นมาทันใด“ข้าขอร้อง ตามหมอมารักษาครอบครัวข้าได้หรือไม่” นางอ้อนวอนคนตรงหน้า น้ำตาเอ่อคลอเบ้า“แต่ว่า...” หนึ่งในนั้นลังเลเพราะไม่รู้ว่าคนสกุลสวีถูกใบสั่งจากผู
หลังจากถูกจับตัวไปครบเจ็ดวันทางการยังคงไม่ได้ข้อมูลใดเพิ่มเติมจากคนสกุลสวี พวกเขายืนยันอย่างเดิมเหมือนทุกครั้งว่าตนเองบริสุทธิ์ใจ ไม่เคยคิดร่วมมือกับผู้ใดก่อกบฏอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่คำพูดของพวกเขาเป็นเพียงลมปากไร้หลักฐานใด ๆ จึงไม่มีใครเชื่อ อีกทั้งคนเหล่านั้นยังทำหูทวนลมเพราะเป็นพวกเดียวกันกับขุนนางชั่วคืนนั้น“ท่านพ่อ ท่านพี่” สวีลู่ชิงกระซิบเรียกคนทั้งสองที่นิ่งงันสลบไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าและลำตัวมีแต่รอยเขียวช้ำเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเสื้อผ้าเป็นทางคุณชายสวีลืมตามองผู้เป็นน้องสาว นึกโกรธตัวเองไม่น้อยที่เป็นต้นเหตุทำให้ครอบครัวต้องมาผจญความลำบากเช่นนี้ เขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะตกหลุมพรางง่ายดายเพียงนั้น“พวกเขาทำอันใดเจ้าหรือไม่
จากนั้นไม่นานใต้เท้าสวี ฮูหยินและสวีลู่ชิงถูกนำตัวออกมาจากจวน นางหันมองบ้านที่เคยอยู่ เวลานี้ผู้คนในนั้น บ่าวรับใช้ เสี่ยวมู่กำลังดิ้นรนบอกว่าตนเองไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นระหว่างถูกควบคุมตัวไปสอบสวน พวกเขาต้องเดินผ่านตลาดและหมู่บ้าน แม้จะเป็นสถานที่คุ้นเคยแต่ครั้งนี้ความรู้สึกนั้นกลับไม่เหมือนเดิมเพราะแววตาที่ชาวบ้านมองมากำลังกล่าวโทษว่าพวกเขาเป็นคนทรยศต่อบ้านเมืองสวีลู่ชิงเดินรั้งท้ายขบวนจึงตกเป็นเป้าโจมตีได้ง่ายเมื่อชาวบ้านคนหนึ่งขว้างสิ่งของเพื่อจะลงโทษนางให้สมกับความผิดที่ได้ทำทว่า ใครบางคนกลับพุ่งตัวเข้ามาโอบกอดนางไว้ไม่ยอมให้ของเหล่านั้นเฉียดร่างกายแม้เพียงเสี้ยว“คุณหนู” น้ำเสียงห่วงใยทำให้สวีรู้ชิงรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่ในความฝัน &ldquo
ปิ่นหยกลายดอกโบตั๋นจึงปรากฏบนเรือนผมของคุณหนูสกุลสวีนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเจ้าของดวงตาสีม่วงแดงมองคนตรงหน้าไม่วาง ยิ้มกว้างปลื้มใจที่นางรับของขวัญจากเขาไปราวกับรับความรักที่เขามีให้ไปด้วยสวีลู่ชิงรู้สึกได้ว่าคนผู้นั้นจริงใจกับนางมากแค่ไหน แม้จะให้สถานะเป็นเพียงสหายแต่ก็ยอมปักปิ่นให้เขาได้ชื่นใจเวลานี้นางไม่เคยได้ออกไปเยี่ยมเขาที่นอกหมู่บ้านอีกเลย เพราะกงจื่อเย่มักแอบมาหานางในยามซวีทุก ๆ สองหรือสามวันเพื่อนำดอกซือเมิ่งสีฟ้าที่นางโปรดปรานมาให้“ทำงานทั้งวันไม่เหนื่อยหรืออย่างไรจึงมาหาข้าถึงจวน” สวีลู่ชิงเอ่ยถามคนข้างกาย รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจทำงานมากแค่ไหนและพยายามมาหานางถึงที่นี่ทั้ง ๆ ที่เดินทางมายากลำบากนัก“ไม่เหนื่อยเลยขอรับ” เ
สวีต้าเฟิงไม่ได้ลงมาตามจับหลานชายของตัวเองเพียงเท่านั้นแต่ยังมาเตือนกงจื่อเย่ผู้เป็นบิดาของมารน้อยด้วยสีหน้าจริงจังเหมือนทุกครั้งจอมมารนิ่งเฉยเพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องการพูดเรื่องอะไร แต่มักทำหูทวนลมอยู่ร่ำไป คิดอยากทำตามใจตัวเองตามประสาเป็นทุนเดิม“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าอย่ายุ่งเกี่ยวกับโชคชะตาของนาง เหตุใดเจ้าถึงไม่ฟังข้าบ้างเล่า” เทพวายุพยายามข่มใจลดน้ำเสียงลงราวกับวอนขอให้อีกฝ่ายทำตามที่เขาบอก“เจ้ามาโทษข้าเรื่องอันใด ไม่เห็นหรือว่าข้าอยู่ในสภาพแทบพิการ ต่ำต้อย ไม่มีชื่อเสียงเงินทอง มิหนำซ้ำสุขภาพยังย่ำแย่ทรุดโทรมจะมีเวลาไปสร้างเรื่องอันใดให้เจ้าหนักใจอีก” กงจื่อเย่นิ่วหน้าพูดตามความจริง“ดาบเขี้ยวอสูรของเจ้าบินว่อนภพสวรรค์สร้างความแตกตื่นให้ผู้คนบนนั้นคิดว่าเจ้าจะยึดคร
ช่วงจังหวะนั้นเสี่ยวมู่ถูกบ่าวสกุลลั่วกันออกมาไม่ให้เข้าไปวุ่นวายใกล้เจ้านายทั้งสอง สวีลู่ชิงจึงได้อยู่กับคุณชายลั่วตามลำพังอย่างเงียบ ๆครั้นเดินไปจนถึงพุ่มดอกไม้สีฟ้าแล้ว เขาชี้ให้นางดูพื้นดินข้างล่าง ดอกไม้จุดเล็ก ๆ พลิ้วไหวไปตามลมล่องลอยขึ้นฟ้า ทว่า มันไม่ใช่ดอกซือเมิ่งที่นางโปรดปรานบุรุษร่างสูงเข้าประชิดตัวนางเพื่อแต้มบุหงายั่วยวนแต่ไม่ทันได้ทำอย่างนั้น บ่าวสกุลลั่วกลับวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาเจ้านายด้วยความกลัวสุดขีด“คุณชาย!” เสียงตะโกนของบ่าวคนหนึ่งทำให้เขาตกใจจนเผลอปล่อยขวดเล็ก ๆ หล่นพื้น “คุณชาย!”สวีลู่ชิงหรี่ตามองกลุ่มคนที่กำลังวิ่งมาทางนาง ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นจนกระทั่งได้ยินเสียงที่บอกว่า “งูขอรับ งูดำตัวใหญ่&rd