หลังจากสำรวจทุกอย่างจนครบ ซูอันจึงกลับออกมานอนพักด้านนอก เนื่องจากนางกลัวว่าคนในครอบครัวกลับมาแล้ว ไม่เจอนางจะเกิดความวุ่นวายอีก แล้วคนที่เรือนใหญ่จะหาเรื่องครอบครัวของนางได้
จนกระทั่งใกล้ถึงเวลาอาหารมื้อเย็น บิดามารดาพร้อมพี่สาวของซูอัน ก็ช่วยกันยกถาดอาหารเข้ามาในห้อง ซึ่งซูอันตื่นมานั่งรอพวกเขาได้เกือบหนึ่งเค่อแล้ว แต่สีหน้าของคนทั้งสามผิดแปลกไป คล้ายกับพบเจอเรื่องราวที่ทำให้ลำบากใจอย่างไรอย่างนั้น
จือเหมยวางถาดถ้วยโจ๊กอย่างเบามือ และรีบเดินเข้าไปดูอาการของซูอันทันที “อันเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงจุดไหนหรือไม่ลูก หากเจ็บที่ใดจงรีบบอกแม่เข้าใจไหม”
ซูอันรู้สึกซาบซึ้งกับความห่วงใยนี้ไม่น้อย เพราะบิดามารดาของนางในโลกนั้น จากไปเร็วในยามที่นางเพิ่งหัดเดินเท่านั้น “ท่านแม่ท่านอย่าห่วงเลยเจ้าค่ะ ข้าสบายดีกว่าเดิมหลายเท่าแล้ว พวกท่านทำงานมาเหนื่อย ๆ ข้าว่าควรรีบกินอาหารหลังจากนั้นพวกท่านสามคนจะได้พักผ่อนให้เร็วขึ้นนะเจ้าคะ”
มู่ถงยิ้มบางให้กับบุตรสาวคนเล็ก ไม่คิดว่าซูอันอยากให้พวกเขาพักผ่อน มากกว่ากลับไปทำงานเช่นแต่ก่อน “ฮูหยินมากินข้าวเถิดประเดี๋ยวโจ๊กหายร้อนแล้วจะไม่อร่อยเอาได้นะ”
“เจ้าค่ะท่านพี่ ไปอันเอ๋อร์เจ้าต้องกินให้มากนะจะได้หายไว ๆ”
“ได้เจ้าค่ะท่านแม่”
ซูอันเดินตามมารดามายังโต๊ะกลางห้อง แต่อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะทั้งหมด ทำเอานางโกรธจนควันออกหูขึ้นมาทันทีทันใด ถ้วยโจ๊กที่มีแต่น้ำใส ๆ แทบนับเม็ดข้าวได้ ไหนจะจานผัดผักที่เรียกว่าเศษผักน่าจะเหมาะกว่า อย่าพูดถึงเนื้อหมู เนื้อไก่ แม้แต่ไข่ไก่สักฟองยังไม่มี
ดวงตาที่แทบลุกเป็นไฟปิดลงและพยายามหายใจเข้าออก เพื่อระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของนางในยามนี้ไว้ก่อน แต่มันก็ยากเสียเหลือเกินมือบางของนางกำเข้าหากันแน่น เมื่อครอบครัวถูกรังแกจะให้นางอดทนต่อไปได้อย่างไร
ฟืด ฟู่
“ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านบอกข้ามาตามตรงเถิดเจ้าค่ะ ว่ามันเกิดอันใดขึ้นกับอาหารมื้อเย็นของพวกเราหรือเจ้าคะ”
ซูอันไม่ต้องการอ้อมค้อมให้เสียเวลา
มู่ถงมองเห็นความเด็ดเดี่ยวในดวงตาของซูอัน เขาก็ไม่กล้าโกหกนางเช่นกัน “เฮ้อ เพราะเรื่องที่ปู่ของเจ้าลงโทษไม่สำเร็จ จึงสั่งลดอาหารของครอบครัวเราเป็นเวลาเจ็ดวัน อีกอย่างทุกคนที่เรือนใหญ่ตัดสินใจจะให้พี่สาวของเจ้า แต่งเป็นอนุคุณชายหวังในอีกห้าวันข้างหน้าที่จะถึงนี้แล้วล่ะอันเอ๋อร์”
ซูอันหันไปทางพี่สาวที่แสนดีของนาง โดยมีคำถามเพื่อการตัดสินใจบางอย่าง “พี่หญิงท่านบอกข้าได้หรือไม่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ท่านเต็มใจหรือไม่เต็มใจที่จะแต่งเป็นอนุ อย่าคิดห่วงความรู้สึกของผู้อื่น จงคิดถึงความต้องการของท่านเท่านั้น เพราะการแต่งงานครั้งนี้คือการตัดสินความสุขที่ท่านต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต”
เยี่ยนหลิงเงยหน้าสบตากับน้องสาว แน่นอนว่านางไม่มีทางเต็มใจ หากมีหนทางให้หลบหนีได้นางจะไม่ลังเล “อันเอ๋อร์พี่ย่อมไม่เต็มใจแต่งเป็นอนุภรรยา สตรีใดบ้างไม่อยากแต่งงานอย่างมีเกียรติ ยืนเคียงข้างกับสามีอย่างสง่าผ่าเผยเล่า แต่คนเรือนใหญ่ข่มขู่ท่านพ่อไม่ยอมเลิกรา หากพี่ไม่ยอม ท่านพ่อท่านแม่รวมถึงเจ้าจะลำบากหนักยิ่งกว่าที่เป็นอยู่อีกเท่าตัวนะ”
ซูอันเข้าใจดีเรื่องการกดดันในยุคโบราณ ที่เห็นบุตรหลานเป็นเครื่องมือเพื่อหนุนตระกูล แต่กับนางแล้วไม่มีทางให้เยี่ยนหลิงพี่สาวที่แสนดีคนนี้ ต้องอยู่กับความอัปยศอดสูไปตลอดชีวิต
“ท่านพ่อเจ้าคะ หากข้าต้องการให้ท่านตัดขาดกับตระกูลนี้ ท่านมีความกล้ามากพอที่จะทำเพื่อพวกเราหรือไม่ แม้ว่าหลังจากตัดขาดความสัมพันธ์และออกจากผังตระกูล พวกเราต้องใช้ชีวิตเร่ร่อน แต่บางทีอาจมีความสุขมากกว่าอยู่ในตระกูล ที่เต็มไปด้วยคนเห็นแก่ผลประโยชน์ก็ได้นะเจ้าคะ บอกตามตรงข้าไม่อยากทนเป็นทาส ให้พวกเขากลั่นแกล้งรังแกอีกแล้วเจ้าค่ะ”
มู่ถงถูกภรรยาและบุตรสาวทั้งสอง จ้องมองเพื่อรอฟังการตัดสินใจของเขาอยู่เงียบ ๆ เมื่อน้ำเสียงที่จริงจังของซูอันเอ่ยถาม มู่ถงที่เห็นคนในครอบครัวต้องอดทนมานาน เขาจึงตัดสินใจตอบซูอันโดยไม่มีความลังเลใด ๆ ทั้งสิ้น
“อันเอ๋อร์พวกเราอดทนกันมานานเกินไปแล้ว ครั้งนี้พวกเขารังแกครอบครัวของเรามากจริง ๆ บุตรหลานที่โปรดปรานกลับรักษาไว้ แต่คิดส่งหลิงเอ๋อร์ไปตกนรกแทน พ่อไม่มีทางให้เป็นเช่นนั้นแน่ลูกรัก”
“ดี! เช่นนั้นช่วยกันเก็บข้าวของที่จำเป็นนะเจ้าคะ หรือจะเอาไปแค่เสื้อผ้าเท่าที่มีก็ได้ เมื่อพร้อมแล้วพวกเราจะไปที่เรือนใหญ่กันเจ้าค่ะ” ซูอันไม่มีทางปล่อยให้คนในเรือนใหญ่ได้สมหวัง
“ได้! อันเอ๋อร์นั่งรออยู่นี่ก่อนก็แล้วกัน พวกเราสามคนจะจัดการเรื่องเก็บข้าวของเอง ถึงอย่างไรก็ไม่มีสมบัติอันใดในเรือนหลังนี้อยู่แล้ว ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อก็เก็บทั้งหมดเสร็จ” มู่ถงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เขาคิดทบทวนจากคำพูดของซูอันก็เห็นว่า ถ้าเขาไม่เข้มแข็งจะปกป้องครอบครัวของตนได้อย่างไร
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
แต่ซูอันมิได้นั่งรอเฉย ๆ นางขอแท่งเหล็กที่เหมาะมือ ผ่านจีจี้ที่สรรหามาให้นางจากในมิติ เพราะคนเรือนใหญ่หากพูดคุยด้วยถ้อยคำดี ๆ ย่อมไม่มีทางปล่อยครอบครัวของนางเป็นแน่
ไม่ถึงหนึ่งเค่อทุกคนก็กลับมา พร้อมห่อผ้าขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ เมื่อเห็นว่าพวกเขาพร้อมจะก้าวออกจากที่นี่ ซูอันจึงถือแท่งเหล็กเดินนำหน้าไปยังเรือนใหญ่ทันที
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เท่าไหร่ ยิ่งได้ยินเสียงพูดคุยที่ดูจะมีความสุข ของครอบครัวใหญ่ที่ไม่มีพวกนางอยู่ในนั้น นอกจากนี้ยังเป็นการพูดคุยระหว่างการกินอาหารอีกด้วย
ซูอันหยุดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เนื่องจากด้านหน้าห้องมีบ่าวอยู่สองสามคนคอยเฝ้าดูแล ไม่ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปวุ่นวายด้านในห้องกินอาหาร แต่นั่นใช้ไม่ได้กับเจ้าแม่มาเฟียเช่นนาง
“ท่านพ่ออยู่ตรงนี้ดูแลท่านแม่กับพี่หญิงรอข้า เมื่อใดที่ด้านในสงบ ข้าจะเรียกท่านพ่อเข้าไปด้านในเองเจ้าค่ะ”
“อืม ระวังตัวด้วยนะอันเอ๋อร์” มู่ถงรับปากพร้อมกับเป็นห่วงบุตรสาว
“เจ้าค่ะ”
ในขณะที่หลิวเฟยและเหล่าบุตรหลานสายหลัก กำลังกินอาหารเย็นในห้องโถงใหญ่ เสียงหัวเราะและบทสนทนาที่ดังก้อง พวกเขากำลังมีความสุข มิได้สนใจเสียงตุบตับที่ดังอยู่ด้านนอกห้องโถงใหญ่สักนิด ซูอันเดินเข้ามาในห้องนั้น ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ทันทีที่นางผลักประตูออกทุกสายตาหันมามองนางเป็นจุดเดียวกัน
“ซูอัน! เจ้าไม่มีสิทธิ์เข้ามาในห้องนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต!” หลิวชางหรงตะโกนเสียงดัง แต่หญิงสาวกลับยืนนิ่งดวงตาแข็งกร้าว
ซูอันมองไปที่โต๊ะอาหารซึ่งเต็มไปด้วยอาหารดี ๆ ในขณะที่ครอบครัวของนางต้องทนกินเศษข้าว ซูอันไม่มีคำแก้ตัวหรือคิดจะตอบกลับลุงรองผู้นี้ แต่นางกลับทำสิ่งที่ตรงกันข้ามต่อหน้าทุกคนแทน
ครืด ครืด โครม! เพล้ง! กรี๊ดดด!
‘ในเมื่อครอบครัวข้าไม่ได้กินอาหารดีๆ พวกเจ้าก็ไม่ควรจะได้กินเช่นกัน!’
โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารดี ๆ ถูกซูอันใช้แท่งเหล็กทุบถ้วยชามจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ กระเด็นกระดอนไปทั่วพื้น สร้างความตกใจให้คนในห้องอาหารนี้อย่างมาก
“หยุดเดี๋ยวนี้นะนางคนอกตัญญู! เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำลายข้าวของถึงที่นี่ ไม่กลัววะ..” หลิวฉางฮุ่ยลุงใหญ่ของซูอันยังพูดไม่จบ ก็ถูกเท้าของนางถีบไปที่ท้องเต็มแรง
ปึก! โครม!
หลิวชางหรงคิดเข้าไปช่วยพี่ชายก็ถูกแท่งเหล็กฟาดกลับมา ทำให้เขาบาดเจ็บที่หัวไหล่ทันที คนพวกนี้คิดว่ามีจำนวนมากกว่าย่อมจัดการซูอันได้ จึงพยายามเข้าไปยื้อยุดแต่แล้วก็ถูกซูอันทุบตีจนเจ็บตัวกันทุกคน
หลิวเฟยที่ล้มกระแทกกับพื้นอย่างแรง ทั้งยังรับน้ำหนักจากร่างของภรรยาอย่างหลิวเหมยเซียง ทำให้เจ็บมากกว่าคนอื่นอยู่มาก แต่ยังมิวายต่อว่าซูอันอีกเช่นเคย “เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรซูอัน ไม่พอใจกับคำสั่งของข้าที่มีต่อครอบครัวของเจ้างั้นรึ!”
ซูอันยืนถือแท่งเหล็กมองกลุ่มคนตรงหน้านิ่ง ๆ “ข้าเพียงแค่สงสัยว่าพวกเจ้ากินอาหารมื้อนี้ลงได้อย่างไร ในขณะที่ครอบครัวของข้าต้องลำบากเพราะความเห็นแก่ตัวของพวกเจ้า!”
เสียงของหลิวฉางฮุ่ยดังขึ้นพร้อมหัวเราะเยาะ “เจ้าเป็นเพียงสายรองมีสิทธิ์อะไรมาเรียกร้อง ที่พวกเจ้ามีที่ซุกหัวนอนอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะพวกเราสายหลักคอยดูแลให้ที่พักมิใช่รึ!”
ซูอันเดินตรงไปหาหลิวฉางฮุ่ย นางฟาดแท่งเหล็กลงพื้นอย่างแรง จนเกิดเสียงดังทำให้ทุกคนสะดุ้งอีกครั้ง เพล้ง! “คอยดูแลงั้นหรือ พวกเจ้าทำอะไรบ้างนอกจากใช้ประโยชน์จากผู้อื่น! คนที่เหนื่อยล้าและเสียสละคือครอบครัวของข้า คนที่พวกเจ้าเอาแต่กดขี่ดูถูกมาตลอด!”
หลิวซิ่วอิงภรรยาของหลิวชางหรง พยายามพูดขึ้นเพื่อแก้ตัว “เจ้ากล้ากล่าวหาพวกเราแบบนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่มีสายหลักพวกเจ้าก็คงเป็นขอทะ..!"
ขวับ!! เพียะ! โอ๊ยยย เพียะ! โอ๊ยยย
“อิงเอ๋อร์! /ท่านแม่!”
ซูอันยืนหัวเราะอย่างเย็นชาหลังจากสั่งสอนหลิวซิ่วอิง “ที่ซุกหัวนอน? สิ่งที่พวกเจ้าให้คือความกดขี่ประหนึ่งทาสและความอัปยศ คนอย่างพวกเจ้าไม่สมควรใช้ชีวิตอย่างสุขสบายด้วยซ้ำ!”
“นายท่านหลิวจงฟังคำพูดของข้าให้ดี อีกห้าวันข้างหน้าจะไม่มีการแต่งงานของพี่สาวข้าเกิดขึ้น ท่านจะหาวิธีรับหน้าคหบดีหวังเช่นไรก็แล้วแต่ท่าน และสิ่งที่สำคัญที่สุดของวันนี้ก็คือ ท่านต้องมอบหนังสือตัดขาดแยกบ้าน รวมถึงตัดชื่อของครอบครัวข้าออกจากผังตระกูลเสีย หากไม่ยอมทำตามแต่โดยดีแล้วละก็ คืนนี้พวกท่านทุกคนคงจะนอนกองบนพื้น เป็นร่างที่ไร้ดวงวิญญาณตลอดไป!”
“นี่เจ้าพูดอันใดออกมารู้ตัวหรือไม่ซูอัน!” หลิวเหมยเซียงผู้เป็นย่าถามด้วยความตกใจ
ซูอันแค่ชำเลืองไปมองและยังยืนยันคำพูดเดิม “หึ แน่นอนข้าย่อมรู้ตัวว่าพูดสิ่งใดอยู่ ข้ามีเวลาจำกัด รบกวนนายท่านผู้เฒ่าหลิวกรุณาช่วยตัดสินใจโดยเร็วจะดีกว่า อย่าได้คิดหาทางรั้งพวกข้าเอาไว้ที่นี่อีก”
เมื่อคำข่มขู่ที่หมายจะเอาชีวิตดังขึ้น และพวกเขารู้ว่าซูอันไม่มีทางพูดเล่น จึงหันไปมองหลิวเฟยผู้นำตระกูลเป็นการกดดัน เพราะทุกคนต่างเห็นแก่ตัวไม่มีใครอยากตายอยู่แล้ว หลิวเฟยมองบุตรหลานที่กดดันตนเอง สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจพยักหน้าตกลง เพื่อเขียนหนังสือแยกบ้านพร้อมการตัดขาด และลบชื่อครอบครัวของซู่ลี่ออกจากผังตระกูล
“ท่านพ่อเจ้าคะ เข้ามาทำให้ทุกอย่างจบลงโดยเร็วเถิดเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นว่าหลิวเฟยตอบรับแล้ว จึงเรียกบิดาเข้ามาเพื่อจัดการให้ถูกขั้นตอนเสีย
พอปรากฏร่างของหลิวมู่ถงในห้องโถงใหญ่ เขารับรู้ได้ถึงสายตาไม่พอใจและอาฆาตแค้นได้ฉับพลัน แต่ยังคงมีท่าทีสงบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ สายตาตัดพ้อของมู่ถงมองไปยังผู้เป็นบิดา
“ที่ข้ายอมอดทนเพราะท่านคือบิดาที่ให้กำเนิด แต่ท่านกลับจิตใจดำมืด หลอกลวงท่านแม่ด้วยต้องการใช้ฝีมือการปักผ้าของนาง ข้าเคยคิดว่าสักวันหนึ่งท่านจะทำดีกับลูกคนนี้บ้าง แม้จะไม่ดีเท่าพี่น้องคนอื่น ๆ ก็ตาม แต่วันแล้ววันเล่ากลับยิ่งเลวร้าย ยามนี้ความอดทนของข้ามันได้สิ้นสุดลงแล้ว ต่อไปภายหน้าไม่ว่าจะยากลำบาก อดมื้อกินมื้ออยู่ข้างถนน ข้ากับครอบครัวจะไม่กลับมาขอความช่วยเหลือจากท่านแน่”
มู่ถงพูดจบก็คุกเข่าก้มคำนับ อำลาหลิวเฟยเป็นครั้งสุดท้าย ทุกคนล้วนคาดไม่ถึงว่าคนที่ยอมมาตลอดหลายปี จะเด็ดเดี่ยวเมื่อหมดความอดทนได้จริง ๆ เนื่องจากซูอันยืนจังก้ามือถือแท่งเหล็กไว้ ทำให้คนในห้องโถงใหญ่ไม่กล้าขยับตัว
สุดท้ายหลิวเฟยจึงให้พ่อบ้านนำหนังสือสาแหรกของตระกูลมาให้ จากนั้นได้ขีดลบชื่อครอบครัวมู่ถงออก ตามด้วยหนังสือตัดความสัมพันธ์ ไม่ขอยุ่งเกี่ยวอันใดต่อกันอีกตลอดไป