หน้าหลัก / วาย / มู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ / ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่หุบเขาปีศาจ 4

แชร์

ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่หุบเขาปีศาจ 4

ผู้เขียน: พิมพ์สีทอง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-08-13 15:05:50

“เรื่องนี้ก็พอเข้าใจ แต่ข้าไม่เข้าใจว่าตัดแขนเสื้อจะเสียหายตรงไหน ในวังหลวงพวกเชื้อสายพระวงค์ก็ร่วมสุขสมกับพวกขันทีอยู่แล้ว อีกอย่างเรื่องความรักไม่เห็นจะผิดเลย”

“น้องสี่เรื่องของภายในวังหลวงเจ้าไม่ควรนำมาพูด เรามีหน้าที่ต้องทำคงต้องแยกกันแค่นี้”

น้ำเสียงจริงจังของผู้ที่เงียบมาตลอดทำให้มู่เหรินรู้สึกขนลุก จากที่ได้ยินและสัมผัสกลิ่นอายมีด้วยกันสี่คนและไม่น่าจะใช่สามัญชนธรรมดาเสียด้วย ความฉลาดหลักแหลมของพวกเขาเริ่มทำให้หวาดหวั่น เขาเหลือบมองหลิงหวางที่ยังนั่งทานต่อเงียบๆ ทว่าใบหูก็คงตั้งใจฟังไม่ต่างจากเขา

แม้เขาจะไม่หันไปมองทว่าเขาก็จดจำกลิ่นอายของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี ทั้งสี่ลุกขึ้นจากไปแล้วเขาจึงตั้งใจทานอาหารอีกครั้งลางสังหรณ์เขาบอกว่าพวกนั้นมาสืบข่าวเขาอย่างแน่นอนแต่จะมาจากแคว้นใดนั้นเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน

หลังจากทานอาหารมื้อเช้าจบลงมู่เหรินก็ได้หาซื้อหมั่นโถวกับผลไม้ไว้สำหรับเดินทางอีกครั้ง ก่อนจะเดินมาหยุดที่ร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่งภายในเมือง เขาถอนหายใจอย่างทำใจอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปในร้านพร้อมเลือกชุดสตรีสีขาวมาสองชุด จากนั้นจึงหา
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
บทที่ถูกล็อก

บทล่าสุด

  • มู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ   น้ำตาที่หลั่งริน สวรรค์ก็มิอาจเห็นใจ...2

    “หลับให้สบายเถอะท่านอาโม่เซียน ภาระนี้หลานจะรับไว้เอง” หลังจากเหตุการณ์การประลองในครั้งนั้นก็ผ่านมาได้ห้าวันแล้ว และในถ้ำเขาเซียงรุ้งหลังตำหนักเจ้าสำนักก็ถูกปิดตาย รวมทั้งอดีตเจ้าสำนักที่หมดลมหายใจไปภายในถ้ำแห่งนั้น ใบหน้าที่อิ่มเอมและหมดห่วงก็ไม่มีใครได้พบเห็นอีกเลย ที่แห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ต้องห้ามที่ศิษย์สายนอกและในไม่สามาสามารถมาเยือนได้แม้จะมีผู้คนสงสัยทว่าก็ไม่มีใครกล้าท้าทาย มู่เหรินเดินมายังถ้ำเขาเซียงรุ้งอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น ทว่าหน้าถ้ำกลับมีใครคนหนึ่งที่คุ้นเคยยืนอยู่ที่นั่นเงียบๆ ร่างสูงสง่างามดูขาวบริสุทธิ์แต่ก็แฝงไว้ด้วยความโดดเดี่ยวอย่างไร้ที่สุดทำให้เขารู้สึกสะท้อนใจ แม้ว่าไม่ได้เจอกันนานเท่าไรศิษย์พี่เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนไป แต่ว่าเหตุใดศิษย์พี่หมิงตงฟางถึงได้มาที่แห่งนี้ได้และอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์อันใดกับท่านอาโม่เซียน ดอกท้อที่บานสะพรั่งหลุดร่วงปลิวกับสายลมราวกับรับรู้ความเจ็บปวดของผู้ที่ยืนอยู่หน้าถ้ำ การจากไปของท่านอาโม่เซียนมู่เหรินเองก็เสียใจไม่แพ้ผู้ใดเพราะเขาเองที่เป็นต้นเหตุที่ให้อีกฝ่ายจากไปเร็วกว่าที่ควรจะเป็น

  • มู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ   น้ำตาที่หลั่งริน สวรรค์ก็มิอาจเห็นใจ...1

    หลังจบการประลองมู่เหรินก็ได้กลับมาเดินลมปราณภายในตำหนักของเจ้าสำนัก แม้ภายนอกเขาจะไม่บาดเจ็บ ทว่าภายในก็บอบซ้ำจำต้องรักษาอาการบาดเจ็บอย่างน้อยสามวันเพื่อให้พลังลมปราณกลับมาเหมือนเดิม ทว่าขณะที่กำลังนั่งฝึกลมปราณได้เพียงครึ่งวันเขาก็ต้องลืมตาขึ้นมองไปยังผู้ที่มองมาที่เขาอย่างเงียบงัน ดวงตาที่มีความเศร้าโศกอย่างลึกซึ้งจนไม่อาจคาดเดาได้ว่าเหตุใดถึงใช้แววตาเช่นนั้นมองเขา ดวงตาหม่นแสงเพียงแวบก่อนจะส่งยิ้มอ่อนโยนให้เหมือนทุกครั้งเหมือนที่ผ่านมา “ข้ารบกวนเจ้าหรือ” มู่เหรินส่ายหน้าก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหาคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู พลังชีวิตที่เหลือน้อยลงจนแทบใจหาย เขาเดินไปจูงแขนท่านอาโม่เซียนมานั่งบนโต๊ะก่อนจะรินน้ำชาให้แม้มันจะไม่ได้ช่วยให้พลังชีวิตอีกฝ่ายฟื้นฟูแต่เขาเองก็อยากทำอะไรให้อีกฝ่ายบ้างแม้เรื่องเล็กน้อยก็ตาม “อยากรู้ไหมว่าทำไมถึงข้าเอ็นดูเจ้ามากกว่าคนในตระกูลมู่อื่นๆ” มู่เหรินมองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ เมื่อก่อนเขาเคยสงสัยทว่าเมื่อเห็นพลังชีวิตที่เหลือน้อยจนแทบไม่มีเรี่ยวแรงพูดเขาก็ไม่อยากรับรู้ แต่เหมือนท่านอาโม่เซียนอยากจะเล่า

  • มู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ   คำขอร้องของอดีตเจ้าสำนัก 2

    แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจให้บานปลายแต่พลังวัตรร้อยปีที่นำมาใช้ให้เสมอหลิวปันก็มาเกินกว่าที่จะควบคุมเพราะเขาเองก็พึ่งได้รับมันมาไม่ถึงอาทิตย์ด้วยซ้ำไป หากมีเวลากว่านี้พลังของเขาคงจะเสถียนมากกว่านี้ “ได้” “เพลิงพิโรจน์ทำลายล้าง!” “เหมันต์นิรันดร์กาล!” เปรี้ยง! ตูม!!! พลังลมปราณของทั้งคู่พุ่งทะยานโจมตีกันอย่างรุนแรง อากาศสั่นไหวและฉีกขาดแหวกโจมตีไปเบื้องหน้าอย่างไรที่สิ้นสุด ภูเขาในตำหนักสั่นไหวอย่างน่าตื่นตระหนก โม่เซียนกางอาคมออกมาป้องกันอย่างทันท่วงที ทว่าแรงโจมตีของทั้งคู่มิได้อ่อนด้อยยิ่งยามนี้ตนถ่ายทอดพลังวัตรให้มู่เหรินหมดแล้วจึงเหมือนกล้ำกลืนกำลังตนเองเต็มทน มุมปากมีโลหิตไหลซึม แม้ทั้งคู่จะดูเหมือนไร้ความคิดที่จะทำลายสำนักไปด้วย แต่โม่เซียนรู้ดีว่าหากไม่ทำเช่นนี้เรื่องราวก็ไม่จบลงและอาจมีการประลองกับเหล่าอาวุโสคนอื่นๆ จนครบตำหนักเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ การโจมตีเพียงคนเดียวอย่างเต็มกำลังนั้นประหยัดเวลาและแรงกายมากกว่า ซึ่งหลิวปันเองก็รู้ข้อนี้ถึงได้แสดงพลังออกมาอย่างเต็มที่เพื่อให้มู่เหร

  • มู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ   คำขอร้องของอดีตเจ้าสำนัก 1

    ทันทีที่ประมุขกล่าวจบบรรยากาศรอบกายพลันกดดันอย่างน่าตกใจ พลังลมปราณที่เผยออกมาของหลิวปันมีพลังวัตรมากกว่าร้อยปี ใบหน้าลูกศิษย์ฝ่ายในเปลี่ยนไปผู้คนที่อยู่ใกล้เวทีต่างถอยห่างออกไปนับสิบจ้างเพราะทนแรงกดดันไม่ไหว ใบหน้างดงามราวกับสวรรค์สร้างของประมุขคนใหม่ยังนิ่งเรียบไม่มีอาการของความหวั่นเกรงหรือแม้ขมวดคิ้วด้วยความกังวล บ่งบอกความมั่นใจ แม้จะมีพลังวัตรมากกว่า แต่พื้นฐานยังนับว่าไม่แน่นมากเท่าเจ้าตำหนักเนื่องจากเป็นพลังวัตรที่ถูกถ่ายทอดมิใช่ฝึกฝนด้วยตนเอง ทว่าพลัมลมปราณที่ฝึกฝนมานั้นกลับมิได้อ่อนด้อยทำให้ยืนหยัดได้อย่างภาคภูมิ ในมือของหลิวปันปรากฏกระบี่ที่มีเปลวเพลิงออกมาอย่างน่าพรั่นพรึง เช่นเดียวกับมู่เหรินที่ในมือมีกระบี่เฉิงหยิ่งที่แผ่ไอเย็นเยียบจนผนึกบนเวทีให้กลายเป็นน้ำแข็ง ภาพเบื้องหน้าดูงดงามทว่ามันน่าสะพรึงกลัวเมื่อความร้อนเย็นปะทะกัน แม้ทั้งคู่ยังมิทันได้ลงมือทว่าแค่การจ้องตา กลับทำให้อากาศรอบกายสั่นไหวไปกับแรงกดดันอันน่าตื่นตระหนกนี้ ทันใดนั้นร่างของหลิวปันก็เลือนหายวับไปจากจุดที่อยู่ และมาปรากฏเบื้องหน้าของมู่เหรินความเร็วมากเช่นนี้ทำให้ผู้

  • มู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ    เจ้าสำนักหมื่นเมฆา 2

    มู่เหรินผ่ายมือเชื้อเชิญอีกฝ่ายขึ้นมาบนเวที ซึ่งหลิวเป้าจื่อทะยานขึ้นบนเวทีอย่างพลิ้วไหว ในมือมีกระบี่ชั้นยอดที่พร้อมจะพุ่งเข้ามาหาทุกเมื่อ เขายังยืนนิ่งมองไปยังท่านอาโม่เซียนให้เป็นผู้ตัดสินส่วนอาวุโสท่านอื่นๆที่มาร่วมด้วยต่างยืนนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงกิริยาใดๆ มีเพียงเจ้าตำหนักชูชิวกงเท่านั้นที่ขมวดคิ้วมุ่นและทำสีหน้าจนใจคล้ายกับไม่เห็นด้วยกับบุตรชายตนที่หาเรื่องคนที่ไม่สมควรยุ่งเกี่ยวมากที่สุด “แม้ท่านจะมีพลังวัตรที่มากกว่าข้า ข้าก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ” มู่เหรินหันกลับมามองคนที่ยืนอยู่ห่างไปสี่จ้างอย่างด้วยสีหน้าเรียบเฉยยิ่งเพ่งพิจยิ่งรู้สึกว่าเด็กนี่มันเอาแต่ใจจริงๆ หากลงมือหนักก็จะเป็นการรังแกเด็กเท่านั้น เขาจึงปิดกั้นพลังวัตรสามร้อยปีตนไว้ “เฮอะ สำหรับข้าไม่จำเป็นต้องใช้พลังวัตร แค่พลังลมปราณที่ฝึกฝนมาตลอดชีวิตข้าเจ้าก็ไม่อาจทำให้ข้าบาดเจ็บได้” มู่เหรินเค่นเสียงตอบกลับอย่างเย็นชาสำหรับเด็กที่ไร้ซึ่งเหตุผลเขาก็ไม่อยากจะยุ่งด้วยเท่าไร แต่ในเมื่อต้องการรู้ความสามารถเขาจะตอบสนองให้ ในมือขวาปรากฏกระบี่เฉิงหยิ่งที่เขาสามารถเรียกเก็บหลอมห

  • มู่เหรินจอมคนอัจฉริยะ    เจ้าสำนักหมื่นเมฆา 1

    ณ หุบเขาสูงชันของหุบเขาลึกลับซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักหมื่นเมฆา เวลานี้ศิษย์ในตำหนักตั้งแต่รุ่นแรกจนกระทั่งรุ่นสุดท้ายได้มารวมตัวกันอย่างเกือบครบถ้วน จะยังขาดบางคนที่ติดภารกิจสำคัญจนไม่สามารถปลีกตัวมาได้เท่านั้น ภายในห้องลานฝึกสนามใหญ่เต็มไปด้วยศิษย์น้อยใหญ่ตั้งแต่ศิษย์หลักจนกระทั่งศิษย์ลำดับขั้นผู้รับใช้ซึ่งมีจำนวนกว่าห้าพันคน ซึ่งมีอายุห้าขวบปีไปถึงวัยกลางคน ความมีระเบียบและใบหน้าเคร่งขรึมของเด็กวัยห้าขวบปีทำให้ผู้ที่จะมารับตำแหน่งประมุขพรรคถึงกับสะท้านใจ เด็กวัยนี้สมควรกินอิ่นนอนหลับเที่ยวเล่นตามประสาเด็ก ทว่ากลับถูกนำมาฝึกฝนจนกลายเป็นคนเคร่งขรึมตั้งแต่วัยเพียงแค่นี้ แต่ความเป็นจริงที่โหดเหี้ยมของโลกแห่งนี้มู่เหรินได้แต่ทำใจยอมรับเพราะเด็กพวกนั้นก็ล้วนไร้ญาติขาดมิตรอยู่เพียงตัวคนเดียวทั้งนั้น ท่านอาโม่เซียนช่างมีความสามารถสรรหาผู้คนจริงๆ “ศิษย์ขอคารวะท่านประมุข” เสียงตะโกนก้องมากกว่าห้าพันดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ทุกคนล้วนคุกเข่าทำความเคารพอย่างสูงสุด โดยที่มิมีใครกล้าเอ่ยถามไถ่ถามสิ่งที่ค้างคาใจว่าทำไมมู่เหรินถึงได้มาเป็นประมุขพรรคทั้งๆ ที่ฝี

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status