แชร์

บทที่ 4

ผู้เขียน: ดอกถังร่วงหล่น
เขาเอ่ยถึงตรงนั้นแล้วหยุดมองจิ่งโม่เยี่ยด้วยความเวทนา “ท่านก็จะประสบอุบัติเหตุตายได้ทุกรูปแบบเลยล่ะ ท่านอาจจะกินอาหารติดคอตาย ดื่มน้ำสำลักตาย เดินๆ อยู่ก็สะดุดล้มตาย...”

“เงียบซะ!” จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเย็นชา

เจ้าอาวาสถอนหายใจ “รู้ว่าเจ้าไม่อยากฟังอะไรแบบนี้ ทว่ามันคือความเป็นจริง”

“แม้สวรรค์จะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์ แต่บางครั้งก็อาจจะถูกคนช่วงชิงไปได้เหมือนกัน”

“เมื่อไหร่ที่คนถึงคราวดวงตก ความซวยทั้งหลายแหล่ก็จะประดังประเดเข้ามาหาพร้อมกัน”

“ถึงตอนนั้นคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องลงมือให้เสียแรงเปล่า เพราะเดี๋ยวเจ้าก็ตายแบบไม่รู้ตัวเอง”

“ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนในยามนี้ คือการตามหาตัวผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับให้พบ ปัญหาจะได้คลี่คลาย”

เขาพูดมาถึงตรงนี้แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “แต่สำนักศาสตร์ลี้ลับถูกปิดล้อมเมื่อสิบปีก่อน คนในสำนักล้มตายไปหมดแล้ว จะไปหาผู้เชี่ยวชาญจากที่ไหนกันล่ะ?

“ข้ามองว่า ท่านก็ไปหลับนอนกับว่าที่พระชายาคนใหม่ให้มันจบๆ ไปเถิด เช่นนี้ท่านจะได้ทิ้งสายเลือดเอาไว้สืบสกุลต่อบนโลก...โอ๊ย ช่วยด้วย!”

หลังจากจิ่งโม่เยี่ยถีบเจ้าอาวาสกระเด็น เขาก็ย่างกรายออกจากห้องวิปัสสนาอย่างเชื่องช้า หว่างคิ้วแววตาดูหม่นหมองอึมครึมเหมือนคนเบื่อโลก

คนทั้งเมืองหลวงรู้ว่าเขามีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่พวกเขาคิดว่าเป็นเพราะอาการป่วยหนัก ทั้งที่จริงแล้วเขาถูกคำสาปชั่วร้ายกัดกินพลังชีวิตและช่วงชิงโชคชะตาไปต่างหากละ

ช่วงหลายปีที่ผ่านมาหากไม่ใช่เพราะเจ้าอาวาสหาวิธีมาปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้เขา ป่านนี้เขาก็คงตายไปนานแล้ว

สาเหตุที่เขาเดินทางมาอารามวันนี้ ก็เพราะมันครบกำหนดการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายที่ต้องทำพิธีทุกๆ สิบวัน

แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะบังเอิญเจอว่าที่พระชายาของตนเองที่นี่

เมื่อนึกถึงคำพูดและการกระทำที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงของเฟิ่งชูอิ่งตอนที่อยู่ในห้อง กับดวงตาหลุกหลิกของนางยามเอ่ยเรื่องโกหก ก็อดสบถออกมามิได้ “เจ้าเด็กเลี้ยงแกะ!”

เฟิ่งชูอิ่งยามนี้ออกมาจากอารามเรียบร้อยแล้ว และกำลังมุ่งหน้ากลับไปที่จวนสกุลหลิน ทว่าจู่ๆ ก็จามออกเสียงดังลั่น

นางสูดจมูกเล็กน้อย ก่อนจะฟูมฟายนึกเสียดายเงินทองที่เสียไปกับตัวเองเงียบๆ

แต่หลังจากนางฟูมฟายให้เงินทองพวกนั้นเสร็จแล้ว ก็แอบรู้สึกดีใจ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร วันนี้นางก็รอดจากการถูกจิ่งโม่เยี่ยใช้กระบี่แทงหัวใจ อย่างน้อยๆ ก็รักษาชีวิตเอาไว้ได้

คราวนี้ก็ถึงเวลาคิดว่าหลังจากนี้นางจะทำอย่างไรต่อไปดี ถึงจะรักษาชีวิตให้ได้ตลอดรอดฝั่ง จะดีที่สุดหากนางสามารถมีชีวิตต่อไปได้แบบยาวๆ เลย

อย่างแรกเลยคือนางห้ามล่วงเกินจิ่งโม่เยี่ย จอมวายร้ายที่เป็นบอสใหญ่สุดของนิยายเรื่องนี้โดยเด็ดขาด

ตอนนี้นางเสียใจอย่างสุดแสน ตอนแรกไม่น่ารังเกียจนิยายน้ำเน่าจนไม่ยอมอ่านต่อเลย...

น้ำเน่าสิดี

หากนางอ่านต่ออีกสักหน่อย ล่วงรู้รายละเอียดของเนื้อหาหลังจากนี้ ก็คงจะไม่ตกเป็นรองถึงเพียงนี้

ตอนนี้นางทำได้เพียงนึกถึงเรื่องราวที่ญาติผู้น้องเมื่อชาติที่แล้วเคยเล่าให้ฟัง พาลรู้สึกว่าหนทางข้างหน้าช่างขมุกขมัวเหลือเกิน

นางก้มมองไข่มุกแวววาวสองเม็ดในมือ ก่อนจะนึกว่าเมื่อนางกลับไปถึงจวนสกุลหลินแล้วจะต้องพบเจอกับเรื่องอะไร จึงตรงดิ่งไปซื้อมีดเล่มหนึ่งจากร้านตีเหล็กที่อยู่ใกล้ๆ

หลังจากซื้อมีดแล้ว ระหว่างทางเดินผ่านร้านขายของชำ นางก็แวะซื้อเชือกป่าน ผงปูนขาวและของอย่างอื่นติดไม้ติดมือมาด้วย

ก่อนจะเดินตามความทรงจำของร่างเดิมไปจนถึงประตูจวนสกุลหลิน แหงนหน้ามองตัวอักษรสีทอง ‘สกุลหลิน’ สองตัวบนป้าย ก่อนจะแค่นเสียงเย็นชาในลำคอ

นางยื่นมือออกไปประสานมุทรา ก่อนจะลากผ่านดวงตาของตนเองอย่างแผ่วเบา เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางก็มองเห็นภาพที่คนปกติทั่วไปมองไม่เห็น

อย่างเช่นว่า ท้องฟ้าเหนือจวนสกุลหลินมีออร่าสีม่วงอ่อนๆ ลอยอยู่ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพวกขุนนางและชนชั้นสูงทั้งหลาย

หมายความว่าเจ้าของที่อาศัยอยู่ในจวนนี้ ครอบครัวรักใคร่ปรองดอง ทำเรื่องอะไรก็ราบรื่น แล้วยังมีโอกาสเลื่อนยศหรือร่ำรวยอีกต่างหาก

และสิ่งที่ทำให้จวนสกุลหลินเจริญรุ่งเรืองและผาสุกได้ขนาดนี้ ก็คือทรัพย์สมบัติมหาศาลที่เฟิ่งชูอิ่งขนติดตัวมาจากจวนสกุลเฟิ่ง กับเส้นสายที่บิดาเฟิ่งทิ้งเอาไว้ให้นาง

ทว่าเวลาสั้นๆ เพียงเจ็ดปี นายท่านหลินที่แต่เดิมไม่เป็นที่รู้จัก กลับเลื่อนยศจากขุนนางธรรมดาขั้นหก กลายเป็นขุนนางขั้นที่สาม ดำรงตำแหน่งรองเจ้ากรมคลังในปัจจุบัน

อีกทั้งในช่วงเจ็ดปีนี้ คนตระกูลหลินก็ปฏิบัติกับเฟิ่งชูอิ่งด้วยท่าทางที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

หลังจากพวกเขาได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ต้องการหมดแล้ว นางก็ถูกขับไล่ไสส่งจากการเป็นแขกคนสำคัญของจวน กลายเป็นแค่เด็กสาวน่าสงสารที่ต้องอยู่ในกระท่อมมุงจาก กินหมั่นโถวเย็นชืดและผักดองเค็มประทังชีวิต

พวกเขาปิดหูปิดตาปล่อยให้คนใช้ในจวนรังแกนาง หลายครั้งยังพยายามจะฆ่านางให้ตาย เพื่อช่วงชิงทรัพย์สมบัติที่บิดามารดาทิ้งไว้ให้นาง

ตอนแรกที่ราชสำนักเสาะหาพระชายาให้อ๋องฉู๋ บรรดาขุนนางใหญ่ในราชสำนักต่างไม่มีใครยอมยกบุตรสาวของตนเองให้แต่งงานกับเขา เพราะว่าที่พระชายาหลายคนก่อนหน้านั้นล้วนตายอย่างเป็นปริศนา นายท่านหลินจึงได้เสนอชื่อนางออกไป

ร่างเดิมมีนิสัยหัวอ่อนชักจูงง่าย และเป็นพวกอ่อนแอไม่สู้คน หลังจากทราบเรื่องดังกล่าว นางก็เสียขวัญจนทำอะไรไม่ถูก

เพื่อเอาตัวรอด นางจึงไปคว้าเฉินเยี่ยนเซิงที่เป็นดั่งฟางเส้นสุดท้าย...

เฟิ่งชูอิ่งสูดหายใจลึกๆ ในเมื่อนางมาที่โลกนี้และใช้ชีวิตแทนร่างเดิม เช่นนั้นนางก็จะทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของนางคืนมาให้หมด!

ในเมื่อคิดจะทวงทุกอย่างของนางคืนมา เช่นนั้นเลือดและโชคชะตาของนางที่ถูกคนสกุลหลินสูบกลืนไปด้วย นางก็ต้องเอาคืนกลับมาเช่นกัน

นางหยิบกิ่งไม้แถวนั้นขึ้นมาวาดค่ายกลแห่งหนึ่งหน้าประตูทางเจ้าจวนสกุลหลิน

ค่ายกลเพิ่งจะถูกวาดเสร็จ ไอเหมันต์เย็นเยียบขุมหนึ่งก็พัดออกมาจากประตูจวนสกุลหลิน ก่อนจะมองเห็นร่างวิญญาณดวงหนึ่งตรงมุมมืดใต้ชายคาของจวน คิ้วเรียวสวยพลันเลิกสูงเล็กน้อย

ยามเฝ้าจวนที่มองเห็นนางยืนอยู่ก็เอ่ยเสียงเย็นชา “คุณหนูต่างสกุลถือกิ่งไม้มาวาดอะไรส่งเดชตรงนี้กัน ท่านไม่สมควรจะมายื่นเหม่ออยู่ตรงนี้มิใช่หรือ?

“นายท่านกับฮูหยินรอท่านอยู่ในห้องนานมากแล้ว ยังไม่รีบเข้าไปคารวะพวกท่านอีก!”

นางไม่สนใจคนเฝ้าประตู แต่กลับได้ยินเสียงอีกฝ่ายค่อนแคะอยู่ด้านหลังด้วยน้ำเสียงดูแคลน “ไม่เคยเห็นใครหน้าด้านขนาดนี้มาก่อนเลย”

“มาอาศัยขอเกาะกินอยู่บ้านคนอื่นเขาแท้ๆ ยังทำตัวเป็นคุณหนูใหญ่ที่ต้องมีคนคอยรับใช้ ป้อนข้าวป้อนน้ำให้อยู่อีก ถุย!”

เฟิ่งชูอิ่งหรี่ตาลงเล็กน้อย ทว่าไม่ได้หันกลับไปต่อปากต่อคำกับคนเฝ้าประตู เชิดหน้าเดินตรงเข้าไปในจวน

สาวใช้บ่าวชายที่มองเห็นนางเดินเข้ามาก็หันไปซุบซิบนินทากัน “ได้ยินว่าเมื่อคืนนางวางแผนจะหนีตามผู้ชาย ก่อนจะหนีตามไปยังยอมหลับนอนกับเขาอีก”

“ทำเรื่องแบบนั้นลงไปแล้วยังมีหน้ากลับมาที่นี่อีก ช่างหน้าไม่อายจริงๆ!”

“นางก็เป็นแค่เด็กกำพร้าที่ไม่มีค่าอะไรเลย ได้แต่งงานกับอ๋องฉู่ก็นับว่าเป็นวาสนามากแล้ว นางกลับกล้าทิ้งงานแต่งหนีตามผู้ชาย!”

“คนแบบนางเนี่ย กลับมาก็รังแต่จะทำให้จวนสกุลหลินสกปรกไปด้วย นางควรจะตายอยู่ข้างนอกมากกว่า!”

เฟิ่งชูอิ่งฟังคำพูดเหล่านั้นด้วยดวงตาที่เย็นชา

วาจาข่มเหง สาปแช่งด่าทอและเปรียบเปรยกระทบกระเทียบพวกนี้ หากนางลองค้นในความทรงจำของร่างเดิมที่ตายไป คงจะขนออกมาวางรวมกันได้เป็นกองเชียวละ

ผู้คนในจวนสกุลหลินปลูกฝังความรู้สึกด้านลบอันรุนแรงใส่ร่างเดิม บีบคั้นจนร่างเดิมรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น

หากคนที่จิตใจอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วต้องพบเจอกับเรื่องแบบนี้ทุกวัน คงได้ถูกกัดดันจนเป็นบ้าเสียสติแน่ การที่ร่างเดิมแค่หม่นหมองเซื่องซึม ก็นับว่าจิตใจเข้มแข็งมากแล้ว

การที่บ่าวรับใช้ในจวนกล้าเช่นนี้กับนาง ก็เพราะมีเจ้านายทั้งหลายคอยถือหางอยู่น่ะสิ

นางทราบว่าเรื่องที่ร่างเดิมหนีตามเฉินเยี่ยนเซิงนั้น เป็นแผนการที่หลินหว่านถิงตั้งใจเตรียมการมาอย่างดี จุดประสงค์เพื่อให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง

ขอแค่นางถูกเฉินเยี่ยนเซิงช่วงชิงความบริสุทธิ์ไป จวนสกุลหลินก็จะสลัดนางทิ้งได้อย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากจะฮุบทรัพย์สมบัติทั้งหมดของนางได้แล้ว ยังไม่ถือเป็นการล่วงเกินอ๋องฉู่ด้วย

แต่เพราะนางทะลุมิติมา ก็เลยไม่ได้เดินตามแผนการที่หลินหว่านถิงวางเอาไว้ แต่หลินหว่านถิงกลับจงใจปล่อยข่าวลือในจวนเหมือนเดิม คงตั้งใจจะบีบให้นางฆ่าตัวตาย

เฟิ่งชูอิ่งกระตุกมุมปากเบาๆ ใครจะอยู่ใครจะตาย มันก็ยังไม่แน่หรอกนะ!

นางเดินมุ่งหน้าไปทางห้องโถงหลักของจวน ระหว่างทางก็คว้ากระบองท่อนหนึ่งขึ้นมาขีดเขียนกำแพงฝั่งซ้ายและขวาของจวนไปด้วย

จวนที่เดิมมีบรรยากาศสงบร่มเย็น กลับมีไอหนาวเหน็บแผ่ออกมาจากรอบด้าน

กว่าเฟิ่งชูอิ่งจะเดินไปถึงห้องโถงหลัก บรรยากาศของจวนสกุลหลินก็เปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิม

นางกวาดตามองห้องโถงหลักที่กว้างขวางและหรูหรา เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะก้าวฉับๆ เข้าไปข้างใน

นางเพิ่งจะก้าวเข้ามาด้านในห้อง ก็ได้ยินเสียงคนตะคอกใส่ทันที “คุกเข่า!”
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 997

    เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 996

    ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 995

    สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 994

    แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 993

    ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 992

    หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status