ปันอวิ๋นไม่พูดอะไรเลย พูดมากก็ผิดมากสมองหญิงของหญิงสาวคนนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ พูดเกินมาสักคำอาจะถูกนางแกะรอยบางอย่างออกมาจากในน้ำเสียงได้เลยปันอวิ๋นเม้มปากนิ่งงันอยู่พักหนึ่งจั๋วหวายล้างหน้ากลับมาแล้ว ปันอวิ๋นก็ยังไม่พูดอะไรจั๋วหวายล้างหน้าจนสะอาด แต่จมูกกับดวงตายังคงแดงรื้นเสียงเองก็ยังมีแววสะอื้นอยู่ แต่น้ำเสียงกลับสงบลงไปไม่น้อย ตั้งใจถามจั๋วซือหรานว่า "ท่านพี่ แล้วต่อจากนี้ พวกเราไปไหนกันล่ะ? เรื่องที่สำนักเมฆาวารีคือจบแล้วใช่ไหม?""จบแล้ว" จั๋วซือหรานเท้าคางบนโต๊ะ ดูเอื่อยๆ เฉื่อยๆใครมาเห็นสภาพนี้ของนาง ก็คงมองไม่ออกว่านางเคยขึ้นไปดีดนิ้วล้มเชลยลงไปตั้งมากมายบนเนินเขาเมฆาวารีแน่นอน"งั้นพวกเรากลับกันไหม?" จั๋วหวายถาม เขาเม้มปาก เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว "ข้าคิดถึงท่านแม่แล้ว"เดิมทียังไม่ได้รู้สึกคิดถึงท่านแม่ขนาดนั้น แต่หลังจากรู้เรื่องของท่านพ่อจั๋วหวายก็รู้สึกคิดถึงท่านแม่ขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้หลายปีมานี้ ความทรมานในใจท่านแม่...จั๋วซือหรานครุ่นคิด "ตาหลักแล้วก็ไม่ใช่จะไม่ได้นะ เดิมทีก็ตัดสินใจไว้แบบนี้นั่นล่ะ แต่ตอนนี้ มีเรื่องอื่นที่อยากไปทำเสียแล้ว"จั๋วซือหรานมองจ
เดิมทีปันอวิ๋นยังรู้สึกลังเลต่อเรื่องที่จั๋วซือหรานคิดจะกลับไปหุบเขาหมื่นพิษพร้อมกับเขาแต่หลังจากที่จั๋วซือหรานยกกับข้าวเหล่านั้นเข้ามา ความคิดของปันอวิ๋นก็ไม่เหลือความลังเลอีกเลยก็แค่กลับหุบเขาหมื่นพิษเองนี่ กลับก็กลับสิวันต่อมาบรรยากาศเศร้าหมองหดหุ่แต่เดิมบนสำนักเมฆาวารี ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงฉับพลันเพราะใครก็คิดไม่ถึง ว่าคนที่ตายไปแล้วแท้ๆ!คนที่ตายไปแล้วและถูกจัดการศพเรียบร้อย แค่รอตั้งศพสักสองสามวัน ก็ไปจัดพิธีฝังพร้อมกันได้พวกนั้นกลับทยอยกัน 'คืนชีพ' ขึ้นมาแล้ว!เหล่าศิษย์ที่เศร้าโศกเสียใจเพราะการตายของพวกเขา หลังจากผ่านความตกตะลึงและความสับสนวุ่นวายไปครู่หนึ่งก็เริ่มดีอกดีใจกันขึ้นมา"ให้ตายเถอะ! พวกเจ้ายังไม่ตาย!""แม่นางจั๋วคนนั้น เดิมทีไม่ได้คิดจะสังหารคนอยู่นี่นี่นา!""ข้าคิดว่าพวกเจ้าตายไปแล้วเสียอีก!""นางออมมือให้แบบนี้ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ!"นี่คือเสียงแห่งความยินดีแต่หลังจากเสียงแห่งความยินดี ก็มีเสียงอื่นปรากฏขึ้นแล้วมาจากคนที่ตายแล้วฟื้นพวกนั้น"คนนอกยังรู้จักออมมือมีเมตตาเลย แต่เจ้าสำนักกลับ...ทอดทิ้งพวกเราหรือ?""ข้ายังคิดว่าข้าจะตายแล้วเสี
อันที่จริงคนของสำนักเมฆาวารีไม่คิดที่จะสร้างความลำบากให้กับจั๋วซือหรานถึงอย่างไรเรื่องของสำนัก พวกเขาเองก็ได้รับข่าวมาแล้วรู้เรื่องที่เพื่อนร่วมสำนักเหล่านั้น 'ตายแล้วฟื้น'และรู้ว่าหญิงสาวตรงหน้านี้ ไม่ได้เป็นคนที่จิตใจโหดเหี้ยมแต่ว่าคนเราก็เป็นเช่นนี้ ถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับคนที่จิตใจโหดเหี้ยมจริง ก็ยังคงไม่กล้าทำอะไรโดยพลการแต่ถ้าที่เผชิญหน้าด้วยไม่ใช่คนจิตใจโหดเหี้ยม ก็จะไม่หวาดกลัวเท่าไรนักดังนั้นพอคิดถึงเรื่องที่นางทำเอาสำนักปั่นป่วน ในใจถ้าจะบอกว่าไม่มีความขุ่นเคืองเลย ก็คงเป็นไปไม่ได้ดังนั้นตอนนางออกจากเมือง ก็จะขวางไว้หน่อยแล้วค่อยปล่อยไปถ้าบอกว่าจะไม่ปล่อยออกไปจริงๆ ก็ไม่เคยคิดแบบนั้นถึงอย่างไร...ใครอยากจะเก็บคนอันตรายแบบนี้ไว้ในสายตาตัวเองกัน?แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่า นางกลับไม่ทนรอเลยไม้แต่น้อยพอไม่ปล่อยผ่านแค่ครู่เดียว นางก็ลงจากรถม้ามาแล้ว!เดินตรงเข้ามาด้านนอกประตูเมืองพอเห็นนางเดินเข้ามาแบบนี้ พวกเขาก็ลนลานขึ้นมาแล้วตอนที่จั๋วซือหรานยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา สีหน้าพวกเขาก็แข็งไปเล็กน้อยยังเป็นหัวหน้าคนคุ้มกัน ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดจั๋วซือหรานมองเขานิ่
นางยังคิดว่า กระบี่อาญาสิทธิ์ของแคว้นชาง มีความหมายแตกต่างกับกระบี่อาญาสิทธิ์ที่นางเข้าใจแต่พอดูแล้ว ความหมายเหมือนจะใกล้เคียงกันอยู่ฟาดฟันทรราชย์เบื้องบน และเหล่าขุนนางกังฉินเบื้องล่าง"ดูแล้ว..." จั๋วหวายเองมีความศรัทธาต่อตัวพี่สาวมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่ากระบี่เล่มนี้ที่อ๋องสำเร็จราชการแทนมอบให้พี่สาวมา จะเป็นเกียรติยศและความโปรดปรานที่สูงส่งจึงพูดเพียงแค่ "ดูท่าอ๋องสำเร็จราชการแทนจะเชื่อมั่นในตัวท่านพี่มาก""อื๋อ?" จั๋วซือหรานเองก็ไม่ได้คิดถึงมุมนี้เลย รู้สึกประหลาดใจจริงๆนางกลอกตามองจั๋วหวาย "เชื่อมั่นรึ?""ใช่เลย ต้องเชื่อมั่นท่านพี่ว่าจะไม่รังแกคนอ่อนแอที่ไม่มีความผิด ถึงได้มอบกระบี่เล่มนี้ให้กระมัง" จั๋วหวายเอ่ยขึ้น แล้วจึงเริ่มเข้ารูปแบบอวยพี่สาวแบบไร้สติ "ท่านพี่ของข้าเก่งที่สุดแล้ว ขนาดท่านอ๋องสำเร็จราชการแทนยังรู้เลย!"จั๋วซือหรานหัวเราะขึ้นมาขบวนรถม้าวิ่งแล่นไปข้างหน้าเรื่อยๆความเร็วไม่ได้เร่งนัก จั๋วซือหรานคอยเข้ามาพักในรถเป็นระยะ พอเบื่อก็ออกไปขี่ม้าดูสบายอกสบายใจดีแต่คนที่ทนไม่ไหวก่อนคือจั๋วหวายเขาขี่ม้ามาด้านนอกหน้าต่างรถม้าจั๋วซือหราน
ปันอวิ๋นเดิมทียังทำท่าหาวหวอดอยู่ ชะงักค้างไปทันที อากเองก็อ้าค้างอยู่ตรงนั้นสีหน้าบนหน้าค่อยๆ จนใจขึ้นมาไม่ยอมหยุดเสียทีนะตอนนี้ถ้าเขาจะตระหนักได้ว่าแย่ผิดคน มันยังจะทันไหมนะ?แม่นางคนนี้ไม่ใช่แม่นางธรรมดาเลย ไม่ใช่คนธรรมดาเลยจริงๆ!แม่นางปกติทั่วไปถ้าถูกแหย่แบบนี้ คนไหนบ้างที่จะไม่หน้าแดงเขินอายขึ้นมา?แต่นางก็เหลือเกิน ไม่ใช่แค่ไม่หน้าแดงเขินอาย แต่กลับยังเล่นตามน้ำมาอีก จนตอนนี้ยังทำเอา...ทำเอาเขาหน้าแดงเขินขึ้นมาแล้วเนี่ย!ปันอวิ๋นกระแอมเบาๆ "เจ้าก็เลิกพูดเรื่องนี้เสียทีได้ไหม?"จั๋วซือหรานมองเขาตาโค้ง "ได้อย่างไรกัน ถ้าเลิกพูดไปเจ้าหุบเขาจะคิดว่าข้าไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้น่ะสิ"ปันอวิ๋นกัดฟัน ในใจก็แอบคิดว่ารนหาที่เองแท้ๆ!จากนั้น สายตาเขาก็เหลือบมองไปมุมหนึ่งด้านหลังอย่างไม่มีพิรุธก่อนหน้านี้ปันอวิ๋นก็สังเกตเห็นแล้ว ตอนที่จั๋วซือหรานพูดว่า 'สำออยแบบนี้ยังคิดจะแต่งงานกับข้าอีก'ด้านหลังมีร่างในเสื้อคลุมพร้อมหมวกสานอยู่คนหนึ่ง เดิมทีเอาแต่ก้มหน้าดื่มชา แต่พอได้ยินคำพูดนี้ก็เลยหน้าขึ้นมาทันควันปันอวิ๋นสังเกตเห็นแล้ว จั๋วซือหรานไม่มีทางไม่สังเกตเห็นเพียงแต่นา
น่าจะเพราะค่อนข้างกะทันหัน ดังนั้นอีกฝ่ายจึงยังไม่ได้คิดว่าควรตอบอย่างไรทำได้เพียงแหงนตามองชายหนุ่มตรงหน้า ผ่านม่านบางๆ ที่ห้อยลงมาจากขอบหมวกฟางจั๋วหวายสัมปัสได้ถึงสายตาเขาที่ผ่านผ้าคลุมมาตกบนตัวตนเอง จะว่าไปก็ยังมีความรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่จั๋วหวายขมวดคิ้วแน่นขึ้นแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงของคนผู้นี้ จั๋วหวายยืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง อารมณ์ในใจยิ่งซัดสาดมากกว่าเดิมรู้สึกแค่ว่าตัวเองมาเสียเปล่าเสียแล้ว ถ้ารู้แต่แรกคงไม่เข้ามา มองเขาเป็นอากาศธาตุไปก็จบพอคิดถึงจุดนี้ จั๋วหวายก็หมุนตัวจะเดินออกไปตอนนี้เอง กลับได้ยินเสียงของชายที่อยู่ด้านหลังดังลอดเข้ามาเส้นเสียงแหบพร่า ในน้ำเสียงมีความเศร้าและความกร้านชีวิต และยังมีความยินดีกับความเสียดายด้วยเขาเอ่ยขึ้นว่า "โตขึ้นมากเลย"จั๋วหวายรู้สึกว่าตนเองไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ เพราะแค่สี่คำที่อีกฝ่ายพูดมา กลับเหมือนทำให้เท้าของตนเองถูกตอกติดไว้กับพื้นอย่างไรอย่างนั้นตอกไว้สนิท ราวกับขยับเขยื้อนไม่ได้เลยแม้แต่น้อยแล้วจมูกก็เริ่มหน่วงๆ ขึ้นมาในใจจั๋วหวายแอบบอกกับตัวเองว่า: จั๋วหวาย เจ้ามันไม่ได้เรื่อง! เจ้ามีพี่สาวที่เก่งกาจ ที
เหลียนเจินจะอย่างไรก็รู้ถึงความสัมพันธ์ของจั๋วซือหรานกับจั๋วเฮ่ออิงอยู่ ดังนั้นอันที่จริงคิดว่าจั๋วซือหรานจะไม่ค่อยพอใจกับเรื่องนี้ตอนที่มารายงานเรื่องนี้ น้ำเสียงนึงค่อนข้างระมัดระวังและลังเลแต่กลับได้ยินเสียงของนายท่านดังลอดเข้ามาจากในห้อง ดูมีความขบขันหน่อยๆ "อย่างนั้นหรือ อย่างนั้นก็ให้พวกเขาคุยกันไปเถอะ""เอ่อ..." เหลียนเจินคิดไม่ถึง ตอนที่ถอนใจโล่งก็รู้สึกประหลาดใจหน่อยๆ "ข้าคิดว่านายท่านจะโมโหเสียอีก""มีอะไรน่าโมโหกัน เด็กหนุ่มยังมีจิตใจแบบเด็กๆ ท้ายสุดใจก็อ่อนอยู่ดี" จั๋วซือหรานนึกไปถึงน้องชายที่ไม่ว่าจะเวลาไหนก็มักจะมีจิตใจอ่อนโยนเมตตาเสมอจากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมต่อให้ถึงตอนท้ายสุด ก็ยังไม่คิดจะทอดทิ้งพี่สาว เจ้าเด็กใจอ่อนคนนั้น...จั๋วซือหรานดึงสติกลับมา เอ่ยต่อว่า "ข้าไม่ได้ใจอ่อนแบบนั้น แต่นี่มันก็เป็นหน้าที่ที่พี่คนโตต้องมีไม่ใช่รึ ข้าคอยเผชิญหน้าลมฝนของโลกใบนี้อย่างเข้มแข็ง ปกป้องเจ้าเด็กที่จิตใจอ่อนโยนนี้ไว้ก็พอ"เหลียนเจินพอได้ยินคำของนายท่าน ก็รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาหน่อยๆ"ยิ่งไปกว่านั้น..." จั๋วซือหรานชะงักไป แล้วเอ่ยต่อว่า "ต่อให้นั่นจะไม่ใช่พ่อของข้า
แต่ที่จั๋วซือหรานคิดไม่ถึงก็คือ เหลียนเจินกลับให้คำตอบที่นางคาดไม่ถึงมา"ไม่ ไม่ใช่" เหลียนเจินเอ่ยขึ้น"โอ๋?" จั๋วซือหรานรู้สึกคาดไม่ถึง"แม้จะบอกว่าหุบเขาหมื่นพิษไม่เห็นด้วยจริงๆ แต่ก่อนที่หุบเขาหมื่นพิษจะไม่เห็นด้วย เหอจื้อหย่วนก็เปลี่ยนความคิดไปแล้ว หันไปหาสำนักเมฆาวารีแทน"เหลียนเจินเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน "เขารู้สึกว่าสำนักเมฆาวารีมีอนาคตมากกว่า แม้ว่าตอนนั้นข้าจะเข้าใจได้ไม่แม่นยำนักแต่ตอนนั้นเหอจื้อหย่วนบอกว่าคำพูดเหล่านั้นก็เดาได้ไม่ยาก เขาเหมือนรู้ถึงเบื้องหลังกับธุรกิจของสำนักเมฆาวารี รู้สึกว่าถ้าหากหันเข้าหาสำนักเมฆาวารี จะมีอนาคตมากกว่า"จั๋วซือหรานมุมปากกระตุก สิ่งแรกที่คิดออกคืออักขระคำสาปประหลาดทั้งตัวสุ่ยจิ้งหลาน กับหุ่นเชิดความมืดที่สลายกลายเป็นฝุ่นหลังจากที่ถูกบูชายัญก็ดูจะมีอนาคตจริงๆ จั๋วซือหรานนึกขึ้นมาอย่างแดกดันเหลียนเจินเอ่ยต่อว่า "แต่ว่าต่อมาหุบเขาหมื่นพิษก็ปฏิเสธเหอจื้อหย่วน แต่เหอจื้อหย่วนตอนนั้นเนื่องจากได้รับคำตอบที่เกือบแน่นอนแล้วจากสำนักเมฆาวารี ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจต่อเรื่องนี้ แล้วยังพูดกันในจวนอีกว่า...""อื๋อ?" จั๋วซือหรานส่งเสียงสงสัยขึ้นม
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"