"เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นน่ะ เอาเป็นว่า...เรื่องมันยาวมาก" จั๋วเฮ่ออิงถอนหายใจยาว จากนั้นจึงเอ่ยว่า "จริงด้วย พาข้าเข้าไปหน่อยได้ไหม ข้ามีเรื่องด่วนต้องไปหาเสี่ยวอวิ๋น"จั๋วอวิ๋นฉีรู้ ว่าเสี่ยวอวิ๋นในคำพูดลุงเก้า หมายถึงสะใภ้เก้าลุงเก้ากับสะใภ้เก้ารักกันดีมาแต่ไหนแต่ไร เข้ากันได้ดีรักใคร่กลมเกลียวและด้วยเหตุนี้ ตอนข่าวที่ลุงเก้าตายตอนนั้นส่งกลับมา สะใภ้เก้าแทบจะตายตามกันไป ถ้าไม่ใช่ยังมีลูกอยู่สองคน...แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ นางก็ยังดูเหมือนตายไปแล้วรอบหนึ่งอย่างไรอย่างนั้นจั๋วอวิ๋นฉีพยักหน้าหงึกหงัก เอ่ยขึ้นว่า "ข้าจะพาท่านไป!สะใภ้เก้าถ้าเห็นท่านกลับมา คงจะดีใจมากแน่ๆ ตอนนั้น...ที่ข่าวท่านรบจนตัวตายส่งกลับมา สะใภ้เก้าเกือบจะปลิดชีพตามท่านไปแล้ว ถ้าไม่ใช่ซือหรานกับเสี่ยวหวายยังเล็กล่ะก็..."จั๋วเฮ่ออิงหลายวันนี้ รู้สึกกลัดกลุ้มเพราะเรื่องของลูกๆ มากอันที่จริงไม่ค่อยได้คิดถึงทางภรรยาเท่าไรตอนนี้ ได้ยินคำพูดของจั๋วอวิ๋นฉีชั่วพริบตา จั๋วเฮ่ออิงก็รู้สึกว่า ในใจเหมือนถูกมีดกรีดผ่าอย่างไรอย่างนั้น เจ็บปวดรวดร้าว!จั๋วอวิ๋นฉีดีใจสุดๆ หลังจากทักทายเหล่าคนคุ้มกันแล้ว ก็นำจั๋วเฮ่ออิงเข้
เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบมาตลอด ในที่สุดก็ผ่อนช้าลงจั๋วเฮ่ออิงยังหยุดอยู่ที่เดิม ยกมือขึ้นมาจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมที่ยุ่งเหยิงของตนเองจั๋วอวิ๋นฉีไม่รู้เขาเดินนำไปข้างหน้าก่อนแล้วรอจนตอนที่จั๋วเฮ่ออิงตามขึ้นไป จั๋วอวิ๋นฉีก็เดินเข้าไปในสวนจี๋หย่าย่วนแล้ว เดินเข้าไปด้วยพลางเรียกขึ้นอย่างอบอุ่น "ป้าสะใภ้เก้า""อวิ๋นฉีมาแล้วหรือ..." เสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังออกมาจากด้านในสวนจี๋หย่าย่วนคุ้นเคยเหลือเกินตอนที่ได้ยินเสียงนี้ ใจของจั๋วเฮ่ออิงก็เต้นรัวจนผิดปกติตึงเครียดจนปากคอแห้งผากจั๋วอวิ๋นฉีเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม "ไม่ใช่แค่ข้านะ ลองเดาสิว่าข้าพาใครมา?""เจ้ามาทุกครั้งก็ชอบเอาของมาให้ข้า ข้าบอกว่าไม่ต้องแล้วแท้ๆ ข้าไม่ได้ขาดเหลืออะไรหรอก" เซี่ยอวิ๋นซีกำลังรดน้ำต้นไม้ในสวนพวกนี้ล้วนถูกย้ายมาจากสมุนไพรเหล่านั้นที่นางปลูกไว้ในเรือนของจั๋วซือหรานเซี่ยอวิ๋นซีรู้ว่าลูกสาวชอบ จึงคิดจะนำมาปลูกไว้ในสวนจี๋หย่าย่วนหน่อยอันที่จริงก่อนหน้านี้เซี่ยอวิ๋นซีส่วนใหญ่อยู่ในเรือนของลูกสาวมากกว่า แต่จั๋วอวิ๋นฉีไปเยี่ยมนางค่อนข้างลำบาก แล้วเขาก็ไปเยี่ยมอยู่บ่อยๆ ก็เพราะไม่ค่อยวางใจที่เซี่ยอวิ๋นซีอยู่ท
เซี่ยอวิ๋นซีอ้าปากพะงาบ แต่กลับไม่มีเสียงออกมา!ดังนั้น ร่างกายจึงขยับไปก่อนคำพูดเซี่ยอวิ๋นซีเดินตรงไปหาเขา ไม่กล้าเข้าใกล้นัก เหมือนยังคงกลัวจะทำลายภาพมายานี้ลงไปกระทั่งยื่นมือ ก็ยังทำได้แค่ลากมือเบากลางอากาศเหมือนลูบใบหน้าที่ขมุกขมอมของชายหนุ่มนางยิ้มพร้อมน้ำตา "ข้าเคยคิดมาหลายครั้ง ถ้าหากท่านยังมีชีวิตอยู่ จะมีหน้าตาแบบไหน...น่าจะเป็นแบบนี้กระมัง""เสี่ยวอวิ๋น..." จั๋วเฮ่ออิงมองหญิงสาวตรงหน้าตาแดงรื้นตนเองพลาดอะไรไปบ้างนี่...เสียงของเขาสั่นเครือขึ้นมา "ข้ากลับมา...ช้าไปหน่อย"เซี่ยอวิ๋นซีตอนนี้ ความไม่อยากเชื่อในสมองเหล่านั้น ในที่สุดก็ค่อยๆ ตกตะกอนลงไปนางเดินขึ้นหน้าไปหลายก้าว ในที่สุดก็มาอยู่ตรงหน้าจั๋วเฮ่ออิงยกมือขึ้นมา ลูบเบาๆ ที่ชายเสื้อเขาก่อนหลังจากพบว่าตนเองแตะต้องเขาได้จริงๆความรู้สึกที่เก็บซ่อนมานาน ในที่สุดก็เอ่อทะลักออกมาจึงยกมือขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่ใช่แค่ลูบเบาๆ แล้ว นางกำหมัด ทุบลงไปที่หน้าอกของเขา"ท่าน...ท่าน....ท่านไปอยู่ไหนมา...ยังมีชีวิต...ยังมีชีวิตอยู่แล้วทำไม...ทำไมไม่กลับมากัน?! ท่านไปอยู่ที่ไหนมา..."จั๋วเฮ่ออิงพูดไม่ออกเลยสักคำทำได้แ
"ตอนนั้นข้าบาดเจ็บหนักในสนามรบ หลังจากตื่นมาก็ไม่รู้วันคืน ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน และไม่รู้กระทั่งชื่อสกุลตัวเอง พวกเขาบอกข้าว่า สถานที่นั้นชื่อว่าสำนักเมฆาวารี ตั้งอยู่ที่รอยต่อของพรมแดนใต้กับแคว้นชาง เป็นสำนักที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในท้องถิ่นนั้น..."จั๋วเฮ่ออิงเล่าเรื่องราวตอนนั้นออกมาอย่างละเอียดเขาไม่มีความทรงจำก่อนหน้าอยู่นาน ต่อให้ภายหลังในที่สุดก็นึกออกมาแล้ว ความทรงจำก็ยังขาดๆ หายๆดังนั้นช่วงนี้ อันที่จริงเขาก็พยายามรวบรวมความทรงจำและเรื่องในอดีตปะติดปะต่อเข้าด้วยกันอยู่ตลอดตอนนี้ถือว่าสามารถเล่าออกมาได้อย่างราบรื่นแล้ว กระทั่งตอนที่เจอกับจั๋วหวายก่อนหน้า เขายังไม่ได้เล่าให้ชัดเจนเลยจั๋วอวิ๋นฉีฟังเงียบๆ อยู่ข้างๆ แต่พอได้ยินก็อึ้งไป!ใครจะไปคิด ตอนนั้นที่พูดกันว่าลุงเก้าหายไปอย่างไร้ร่องรอยไม่เจอกระทั่งศพ น่าจะตายไปในสนามรบแล้ว กลับมาเจอกับเรื่องแบบนี้?จั๋วอวิ๋นฉีอึ้งไปแล้ว แต่เขาก็ยังเอียงตามองอาสะใภ้เก้าสีหน้าบนหน้าอาสะใภ้เก้ากลับยังคงสงบนิ่งอยู่ตลอดไม่มีท่าทีตกตะลึงใด สีหน้าเองก็ไม่มีอาการด้วยกระทั่งหลังจากจั๋วอวิ๋นฉีได้ยินว่าลุงเก้าถู
เซี่ยอวิ๋นซีสูดหายใจลึก "เอาล่ะ ส่วนี้ข้าฟังจบแล้ว ยังมีอีกไหม?"จั๋วเฮ่ออิงอันที่จริงยังอยากจะขอโทษนาง ง้อนางดีดีแต่ตอนนี้ ยังไม่ใช่เวลาจริงๆเขาเองก็รีบกลับมาก็เพราะเรื่องที่เร่งด่วนกว่าจั๋วเฮ่ออิงพยักหน้า "ยังมี ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าเรื่องของข้าอีกร้อยเท่า"นิ้วของเซี่ยอวิ๋นซีเคาะเบาๆ บนโต๊ะ ริมฝีปากเม้ม สีหน้าตึงเครียดขึ้นมาแล้ว"เสี่ยวหวายหรือ?" เซี่ยอวิ๋นซีพอคิดถึงเรื่องที่ลูกชายถูกเอาไปทำผู้ทดลองยา ใจก็เหมือนถูกกรีดแทงแม้จะเชื่อมั่นในลูกสาว แต่ก็ยังหวาดกลัวอยู่ ถ้าหากช้าเกินไปล่ะ ถ้าหากสถานการณ์ไม่สู้ดีล่ะ?แต่นางกลับเห็นจั๋วเฮ่ออิงส่ายหัว สีหน้าขรึมลง เสียงเองก็ขรึมด้วย "หรานหรานต่างหาก"สีเลือดบนหน้าเซี่ยอวิ๋นซี พริบตานี้ซีดลงมาทันที......จั๋วหวายอยู่หน้าเตา บนจมูกมีเขม่าดำอยู่หน่อยๆจวงอี๋ไห่เตือนเขา "คุณชายเสี่ยวหวาย ท่านไปพักเถอะ ที่นี่ข้าจัดการก็พอแล้ว""ข้าอยากจะรอที่นี่" จั๋วหวายเม้มปากแน่น ดวงตาเบิกโพลง แดงก่ำเล็กน้อย เหมือนจะร้องไห้ได้ตลอดเวลา "ข้ากำลังคิด...ข้าแค่จ้องมองยาของท่านพี่ ข้าก็สบายใจ"ชายหนุ่มในที่สุดก็ทนไม่ไหว ยกมือขึ้นมาเช็ดตาแม้น้ำ
จั๋วหวายเกือบจะสำรอกออกมาแล้ว!"ถ้าจะอาเจียนก็ออกไปอาเจียนซะ ถ้าทำกู่กล่องนี้ของข้าพัง ข้าจะจับเจ้าแขวนห้อยหัวซะเลย" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายหมุนตัวพุ่งออกไป สูดลมหายใจลึกหลายครั้งกว่าจะสงบลงมาได้ จากนั้นจึงเตรียมตัวเตรียมใจ ตอนที่เข้าไปอีกครั้งก็ไม่มีกระทบกระเทือนอย่างแรงแบบก่อนหน้าแล้วแต่สายตากลับไม่ได้มองไปยังแผ่นกระดานที่มีของดิ้นกระแด่วๆ นั่นมองแล้วขนลุกสุดๆ"มีเรื่องอะไร?" ปันอวิ๋นถามขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายเอ่ยเสียงต่ำ "ท่านรู้..." เขาสูดจมูก ถามออกไปว่า "ท่านรู้จักเฟิงเหยียนใช่ไหม?"ปันอวิ๋นเดิมทีกำลังป้อนอาหารเจ้าพวกดุ๊กดิ๊กพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ การเคลื่อนไหวก็หยุดลงมา ไม่หันไปมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นเรียบๆ ว่า "ทำไมล่ะ?""ข้าอยากเจอเขา ข้าอยากจะถามเขา ว่าทำไมทำแบบนี้กับพี่ของข้า" จั๋วหวายขอบตาแดงรื้นเขาสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมา "ข้าเองก็อยากจะถามเขา ว่าช่วยพี่ข้าได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ หรือก็คือเขาเป็นผู้ชายทรยศ ไม่ยินยอม เช่นนั้นเขามาบอกกับท่านพี่ได้ไหม ว่าให้เลิกแล้วต่อกันจบๆ ไป"ปันอวิ๋นพอได้ยินคำนี้ จะฟังความเสียใจในใจจั๋วหวายไม่ออกได้อย่างไรกั
ราวกับว่า...ต่อให้นางจะดูอ่อนแอเหมือนกดให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียวแต่ยังคงไม่ยอมให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอ ยังคงทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าหากอยากจะเป็นศัตรูกับนาง ก่อนนางตายก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกันตอนนี้รอยยิ้มที่ดูเกียจคร้านไม่ใส่ใจ กลับยิ่งดูสงบนิ่งมั่นคงราวกับยกของหนักได้อย่างสบายนางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน "ใครจะรู้ล่ะ? อาจจะขาดหนูไม้ไผ่อยู่กระมัง"ปันอวิ๋นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่พอได้ยินหนูไม้ไผ่สองคำนี้ เขาก็รู้แล้ว ว่าตอนที่เขาไปทิ้งจดหมายที่บ้านไม้ไผ่ นางก็เดาได้แล้วว่าเขาทำอะไรเพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์กว่าจิ้งจอกเสียอีกปันอวิ๋นจุ๊ปาก "เจ้านี่ถึงตายไป สมองก็คงจะแล่นอยู่อย่างนี้สินะ?"จั๋วซือหรานแค่เหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร มุมปากกลับยกโค้งขึ้นบางๆหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วนางก็ขมวดขึ้นบางๆ"ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้านาง จึงขมวดคิ้วเดินเข้ามา สองมือประคองบ่านางไว้อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าทรมานจากหน้านางนัก นางมักจะทำเป็นเหมือนไม่เป็นไรเสมอแต่ตอนนี้ บนสีหน้า กลับดูทรมานขึ้นอย่างชัดเจนจากนั้น นางก็เหมือนจะยืน
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"