ภายใต้การจ้องมองของทุกคน จั๋วซือหรานลากผู้ชนะเลิศหลายสนมตัวสูงและล่ำสัน ซึ่งชื่อเฮยหลิง ออกจากสนามประลองและเดินเข้าไปในห้องด้านในหลังจากประตูห้องด้านในปิดลง ความเงียบในก่อนหน้านี้บนบริเวณของผู้ชมที่ด้านนอกก็พังทลายลงทันใดนั้นเสียงดังไปทั่วผู้คนมักจะรังแกผู้อ่อนแอและหลีกเลี่ยงผู้แข็งแกร่ง เดิมทีพวกเขาคิดว่าจั๋วซือหรานเป็นเพียงคนตัวเล็กที่ถูกรังแกได้ง่าย แต่นางเป็นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์พอดี และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ก็เหมาะสมที่รักษาอาการบ้าคลั่งของเฮยหลิง ณ ปัจจุบันนั่นเป็นเหตุผลที่นางฉวยโอกาสได้ดี ดังนั้นจึงไม่มีใครเอาจริงเอาจังกับนาง แถมนางยังเป็นผู้หญิงอยู่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าไม่ว่าเราจะอยู่ในโลกใดก็ตาม ผู้หญิงมักจะถูกดูถูกด้วยเหตุผลบางอย่างเสมอยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนางต่อสู้กับเฮยหลิง กระบวนการทั้งหมดนั้นก็ดูง่ายเกินไปซึ่งทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกว่านางมีความแข็งแกร่งไม่เพียงพอเท่าไร นางทำได้เพียงเพราะร่างกายของนางเบาเท่านั้นกล่าวโดยสรุป ทุกคนไม่ได้จริงจังกับนาง และพวกเขาเลยกล้าพูดจาหยาบคายกับนางเช่นนั้นในก่อนหน้านี้จนกระทั่งถึงเมื่อครู่นี้ เมื่อนางแสดงความสา
“ เขามาที่นี่จริง ๆ หรือ” ดวงตาของเจ้าสำนักของหอฟ้าดาวแสดงความประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยิ้มเยาะเย้ย "ดูเหมือนว่าเขาได้ยินเรื่องที่เฮยหลิงก่อความวุ่นวาย และอยากเข้ามาชมภาพที่ข้าเอาเรื่องไม่อยู่นะ…”“เขาคือใคร” จั๋วซือหรานได้ยินสิ่งที่เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวพูดในก่อนหน้านี้ และนางเดาออกคร่าว ๆ ว่า 'เปาบุ้นจิ้น' คนนั้นน่าจะเป็นคนจากอีกสองหอ“ช่างมันเถิด” จั๋วซือหรานโบกมือ “พระจันทร์บนใบหน้าของเขาชัดเจนมาก เขากลัวคนอื่นไม่รู้เขามาจากหอเงินจันทร์ใช่ไหม ”เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวพยักหน้าและกล่าวว่า "นั่นคือ เจ้าสำนักของหอเงินจันทร์ ยินเจ๋ออัน"“ยินเจ๋ออัน” จั๋วซือหรานหรี่ตา “ข้าจำชื่อของเขาไว้แล้ว”จั๋วซือหรานจำได้สิ่งที่เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวเพิ่งพูดในเมื่อครู่นี้ เนื่องจากผู้คนจากอีกสองหอต้องการส่วนแบ่งในธุรกิจของสนามฝึกฝนเช่นกัน พวกเขาจึงถือว่าเป็นผู้ควบคุมดูแลสนามฝึกฝน และมักจะมาก่อปัญหาในบางครั้งจั๋วซือหรานบอกเจ้าสำนักของหอฟ้าดาว "ข้าโจมตีกลับทันทีเลย ข้าอาจทำให้คนนี้ขุ่นเคือง... "เมื่อเจ้าสำนักของหอฟ้าดาวได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เขายังคิดอยู่ว่าจั๋วซือหรานกลัวมีปัญหาเข้ามาหานาง
จั๋วจิ่วต้องจัดการอีกฝ่ายแน่ ๆ และเขาเป็นเพื่อน ตราบใดที่เขาช่วยเหลือนางเมื่อนางต้องการ นั่นหมายความว่าเขากับนางต้องไปสู้กับอีกฝ่ายพร้อมกันจั๋วซือหรานกล่าวถึงสถานการณ์ในก่อนหน้านี้สั้น ๆ นั่นก็คือเรื่องที่นางถอนอาคมหนอนพิษกู่ในค่ายลาดตระเวนและค่ายทหารรักษาการณ์หลังจากได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวขมวดคิ้ว "ดังนั้นเจ้าหมายถึงเมื่อครู่นี้ มีศัตรูแอบซ่อนตัวอยู่ในท่ามกลางของเหล่านักพนันหรือ และคนผู้นั้นสังเกตสถานการณ์ที่นี่ด้วยหรือ"“หากพิจารณาการกระทำของอีกฝ่ายที่เคยทำอะไรกับค่ายลาดตระเวนและค่ายรักษาการณ์ในก่อนหน้านี้ ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น”จั๋วซือหรานกล่าวต่อ "เพียงแต่พวกเขาทราบตัวตนของข้าแล้ว และอีกฝ่ายก็ใส่ความผิดมาใส่ข้าแล้ว ข้าเลยไม่อยากไปหาผู้ที่แอบซ้อนที่เบื้องหลังแล้ว"นางจับคนผู้นั้นที่หน่วยลาดตระเวนได้ แต่ตอนที่นางอยู่ในค่ายรักษาความปลอดภัย เนื้องจากสาถนการณ์ที่นั่นวุ่นวายอย่างมาก นางเลยจับผู้แอบซ้อนไม่ได้สถานการณ์บนอัฒจันทร์ของสนามฝึกฝนนั้นวุ่นวายกว่าค่ายรักษาความปลอดภัยเป็รหลาย ๆ เท่าดังนั้นจั๋วซือหรานจึงไม่ใส่ใจในทางกลับกัน เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวกังวล
โดยไม่คาดคิด ฉากใดที่เขาคาดไว้ไม่ได้ปรากฏขึ้นแต่ปรากฏฉากที่หอฟ้าดาวของหอฟ้าดาวรู้สึกน่าทึ่งยิ่งกว่านั้น ลูกหนามอันสีดำที่ดุ ๆ นั้นอ่อนโยนอย่างกระทันหัน มันกลิ้งไปกลิ้งมา...และถูไปถูมาในมือของจั๋วซือหรานมันดูเหมือน...เหมือนมันกำลังหลงไหลอยู่จั๋วซือหรานบีบลูกเนื้อดำมืด นางยกมันขึ้นและมองมัน“อืม...” นางเอามือแตะที่คางและคิดอยู่ครู่หนึ่งเจ้าสำนักของหอฟ้าดาวเงียบและไม่ส่งเสียงใด ๆ เขาหายใจเบาเล็กน้อยโดยคิดว่าจั๋วซือหรานคงเจอปัญหาใหญ่แล้วโดยไม่คาดคิด จั๋วซือหรานจ้องไปที่ลูกฟู ๆ เนื้อสีดำเข้มในมือของนาง นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า "เรามาเรียกมันว่า 'ขนมงา' กันดีกว่า"เจ้าสำนักของหอฟ้าดาว: "..."ในความเป็นจริง จั๋วซือหรานไม่ได้สังเกตสีหน้าของเขาตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นนางต้องเห็นได้ชัดเจนอย่างแน่นอนว่าเจ้าสำนักของเจ้าสำนักตกใจขนาดไหน...จากนั้น มีฉากที่น่าทึ่งมากเกิด ขึ้นซึ่งทำให้สีหน้าของ เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวพังทลายลงมือของจั๋วซือหรานเปล่งประกายด้วยพลังวิเศษ และนางได้แตะเครื่องหมายบนหางและหน้าท้องของ 'ขนมงา' โดยลบเครื่องหมายดั้งเดิมที่เป็นรูปดอกถูหมี และเปลี่ยนให้เป็นตัวอักษร
นอกจากนี้ยังเป็นเพราะอีกฝ่ายขยันวางแผนให้รอบคอบขนาดนี้ เขาไม่ได้มีกลแค่นี้พิษกู่ร้อยไหมเป็นหลัก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนเบื้องหลังไม่ได้เล่นกลอื่นแม้แต่อาคมหนอนพิษกู่ธรรมดา ๆ ก็เพียงพอที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายอันใหญ่ในเมืองหลวงแล้วและใบสั่งยาที่จั๋วซือหรานเอาให้เจี่ยงเทียนซิงนั้นเป็นใบสั่งยาเพื่อกำจัดอาคมหนอนพิษกู่"เดี๋ยวจะมีข่าวที่ว่าเมืองหลวงกำลังมีโรคระบาด จำเป็นต้องใช้ยารักษาโรค และข่างต่าง ๆ ประมาณนี้ ... "จั๋วซือหรานพูดและเลิกคิ้ว "ข้าคิดไปคิดมา เวลาเร่งรีบเหลือเกิน และร้านขายยาของข้ายังไม่ทันเปิดเลย แม้ว่าทางบ้านคุณตาของข้าได้ทำธุรกิจค้าวัสดุยาก็จริง แต่ธุรกิจของคุณตาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง”“เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เมื่อมีข่าวที่เกี่ยวกับการแพร่กระจายโรคระบาดในเมืองหลวง เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน ตระกูลเหยียนและตระกูลจั๋วน่าจะได้กำไรก่อน”เสียงของจั๋วซือหรานเย็นชาอย่างมาก "ข้ากับพวกเขาไม่เป็นมิตร เงินนี้ ให้สุนัขได้ ดีกว่าให้พวกเขาได้ ดังนั้นเจ้าเอาสูตรนี้..."เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวขมวดคิ้วแน่น "แม้ว่า..."เขากัดริมฝีปาก “แต่...”เขาคิดคำพูดของจั๋วซือหรานอย่างล
“ เจ้าสำนัก ” เฮยหลิงพูดด้วยเสียงต่ำ"อืม"เจี่ยงเทียนซิงตอบและพูดอย่างเบา ๆ "เจ้าไปได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นคนอิสระแล้ว"มีความงุนงงเล็กน้อยในสายตาของเฮยหลิง แต่เขาไม่รู้สึกแปลกใจเลยเจี่ยงเทียนซิงมองเขา และทันใดนั้น เขามีความคิดหนึ่ง "ตอนที่เจ้าบ้าคลั่ง เจ้ารู้เรื่องไหม"ดวงตาอันสีดำของเฮยหลิงเป็นประกาย จากนั้นเขาก็พยักหน้าเล็กน้อย "จำได้ทุกเรื่อง"เจี่ยงเทียนซิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ตกใจมากเขาแค่พยักหน้าและพูดว่า "พอดี ข้าไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม เจ้าเป็นคนอิสระแล้ว แล้วส่วนทำไมเจ้าถึงเป็นคนอิสระได้ ข้าไม่ได้เป็นผู้ตัดสิน"ดวงตาของเฮยหลิงกะพริบอีกครั้ง และดวงตาของเขาซึ่งยังค่อนข้างว่างเปล่า ดูเหมือนจะมีสมาธิในทันใดนั้น"ข้าเข้าใจแล้ว" เฮยหลิงกล่าว "ขอบคุณเจ้าสำนักที่คอยดูแลข้ามาตลอด ข้าขอลาก่อนขอรับ"เจี่ยงเทียนซิงพยักหน้า เขามองเฮยหลิงเดินจากไป แล้วพูดว่า "แม้ว่าบุคคลนั้นจะต่อสู้อย่างดุเดือด แต่จริง ๆ แล้วนางเป็นคนใจอ่อน หากเจ้าไม่มีที่ไปจริง ๆ เจ้าไปหานางก็ได้ ... "ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าของเฮยหลิงก็หยุดลง ราวกับว่าเจี่ยงเทียนซิงพูดถึงเรื่องที่เขาก
อันที่จริง ต่อให้ไม่มีใครพึ่งพาได้ จั๋วซือหรานก็ไม่เคยกลัวมาก่อนนางมีชีวิตมาแล้วสองชาติ ไม่ว่าจะขุมพลังเมื่อตอนไหน ก็ล้วนเป็นความสามารถและฝีมือของตนเองทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใดเลยแต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นซือคงเจาหมิ่นกับซือคงอวี้ที่ก่อเรื่องวุ่นวายนี้ขึ้นจั๋วซือหรานราวกับเป็นเครื่องจักรอนันต์อย่างไรอย่างนั้น ทำงานต่อกันไปถึงสองวันแต่เหล็กตีไปมันก็รู้สึกอ่อนล้า ไหนจะเรื่องที่นางก็เป็นแค่ร่างกายเนื้อ...แม้จะไม่ถึงกับทนไม่ไหว นั่งนั้นมีนิสัยที่จะแบกเรื่องทั้งหมดเอาไว้มาแต่ไหนแต่ไร แต่ว่าพอด้านหลังมีคนที่คอยประคองบ่านางให้ยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว ตอนที่กลิ่นหอมเย็นชื่นใจที่คุ้นเคยลอยเข้ามาในลมหายใจนางจั๋วซือหรานก็ยังรู้สึกได้ถึงความสงบใจ“ท่านอ๋อง...” จั๋วซือหรานเรียกขึ้นแผ่วเบา ผ่อนลมหายใจออกมา พิงหลังเอนเข้าไปยังหน้าอกกว้างแผ่นหนึ่ง“เรื่องที่ตลาดมืด เรียบร้อยแล้วหรือยัง?” เสียงทุ้มต่ำทรงเส่น่ห์ดังขึ้นมาที่ข้างหูนาง“อืม” จั๋วซือหรานขานรับเสียงต่ำมาคำหนึ่ง ส่วนใหญ่น่าจะเพราะเหนื่อยล้า ดังนั้นอันที่จริงจั๋วซือหรานเองก็ยังไม่ทันสังเกต ว่าเสียงของตนเองอ่อนหวานจนดูเหมือนอ้อนไปแล
ก่อนหน้านี้ตอนที่เฟิงเหยียนคลุมผ้าให้ก็ไม่ทันสังเกตขณะนี้ หลังจากที่เขาคลุมผ้าให้กับหญิงสาวในอ้อมกอดแล้ว แขนท่อนหนึ่งของเขาก็โผล่ออกมานอกผ้าคลุมทหารหลายคนเห็นเพียงชายเสื้อสีดำของเขา ส่วนมือของเขากลับไม่เห็นอะไรที่น่าสงสัยแต่ตอนที่ในชายเสื้อเห็นผิวหนังของข้อมือวับแวมออกมา ภาพนั้นก็น่าสะพรึงเอามากๆบาดแผลสีดำไหม้ปรากฏขึ้นต่อเนื่อง ดูโหดร้ายน่ากลัว ราวกับเคยถูกเผาไหม้มาอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นขณะที่หายใจ ยังมีสัญลักษณ์ลายดอกไม้สีทึบหลั่งทะลักขึ้นมาราวกับมีพลังฟื้นฟูที่มหัศจรรย์บางอย่าง ทำให้บาดแผลที่ดำไหม้แต่เดิมที หลังจากสัญลักษณ์ลายดอกไม้นี้หลั่งทะลักขึ้นมา ก็หายเป็นปกติแล้วสลายไปแต่รอยไหม้ที่โหดร้ายเพียงไม่นานก็ปรากฎขึ้นอีก ฟื้นฟูและหายไปอีกครั้งขณะที่หายใจ...เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาเดิมที แค่จะให้เหล่าทหารรู้สึกว่าแปลกประหลาดเท่านั้น ไม่ได้จะให้รู้สึกสะพรึงกลัวขนาดนี้แต่ทหารเหล่านี้ก็นึกออกทันที ว่าบาดแผลเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็น่าจะกระตุ้นความเจ็บปวดที่รุนแรงขึ้นมาบ้างแต่ชายหนุ่มหลอเหล่าตรงหน้าคนนี้ สีหน้าบนใบหน้ากลับไม่เปลี่
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย