“เหลือป่าเขาเอาไว้ ไม่ต้องกลัวจะขาดฟืน” เฟิงเอ่ยขึ้น “เขาต้องมีชีวิตอยู่ก่อน จากนั้นค่อยขบคิดหาวิธีอื่น...”จั๋วซือหรานพอได้ยินคำนี้ ก็เหลือบมองเฟิงหร่านผาดหนึ่ง นางมองออกว่าคุณหนูสิบตระกูลเฟิงคนนี้ แม้จะนิสัยดูหยิ่งทะนงไปบ้างแม้บิดาอยู่ในตระกูลจะไม่ใช่คนที่ฐานะสูงส่ง แต่ตระกูลเฟิงก็ให้ความสำคัญกับความสามารถและพรสวรรค์ของลูกหลานถ้าหากความสามารถพรสวรรค์ของตนเองดี ก็ได้จะได้รับการให้ความสำคัญและเลี้ยงดูอย่างดีจากตระกูลเฟิงหร่านเพราะความสามารถพรสวรรค์ของตนเองไม่เลวนัก ดังนั้นในตระกูลเฟิงแม้จะไม่ได้รับความสำคัญมากเท่ากับเฟิงเหยียน แต่ในกลุ่มคนรุ่นเดียวกันก็ถือว่าไม่เลวแล้วดังนั้นก่อนหน้านี้จึงทำให้จั๋วซือหรานรู้สึกว่า นางมีนิสัยค่อนข้างหยิ่งทะนงแต่หลังจากที่จั๋วซือหรานได้รู้จักคนอย่างเหยียนอี่หลิงและจั๋วหรูซินแล้วอดพูดไม่ได้จิรงๆ ว่าคนอย่างเฟิงหร่านนี่ถือว่าไม่เลวแล้วมองออกไม่ยาก เฟิงหร่านตัดสินใจตรงมาที่นี่หานางก็เพราะเป็นห่วงเฟิงเหยียนจริงๆยิ่งไปกว่านั้นยังมาเปิดเผยเรื่องที่เรียกว่าเป็นความลับของตระกูลเฟิงอีกจั๋วซือหรานหลังจากฟังคำพูดนี้ของเฟิงหร่าน ก็ไม่พูดอะไรอีก
เฟิงหร่านถลึงตาโต ไม่รู้ว่าเพราะกังวลจากในคำพูดของจั๋วซือหรานที่บอกว่าสุขภาพของพี่ชายนางไม่ปกติ หรือว่าเพราะตกตะลึงที่จั๋วซือหรานบอกว่าอาหารรสเลิศพวกนี้นางเป็นคนทำผ่านไปครู่หนึ่ง เฟิงหร่านจึงพูดออกมาคำหนึ่ง “เจ้านี่เป็น...แม่ศรีเรือนจริงๆ นี่ยังทำอาหารอร่อยขนาดนี้ได้ด้วย”“ใช่สิ สร้างประสบการณ์ในบ้าน...” นางพูดพลางมองไปทางเฟิงหร่าน ยกมุมปากขึ้น เอ่ยต่อว่า “สังหารคนชิงทรัพย์ข้าก็ทำได้นะ”เฟิงหร่านถูกรอยยิ้มปากโค้งนี้ของนางแย่จนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง ตะลึงงันไปทั้งตัวเลยทีเดียว ตอนได้สติกลับมา หน้าก็แดงก่ำไปหมดแค่รู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้ ทั้งที่ไม่ได้สวมชุดสีแดงปีศาจแบบที่ปกติสวมแท้ๆร่างในชุดขาวอ่อนนุ่ม ผมสยายรุงรัง แต่ก็ยังมีสื่อถึงความอ่อนโยน ทว่ากลับรู้สึกแปลก ที่ทุกการขยับทุกการยิ้มดุเหมือนจะเย้ายวนราวกับเป็นปีศาจนางเงือก เฟิงหร่านจู่ๆ เข้าใจขึ้นมา ว่าเพราะอะไรพี่ชายที่ไม่เคยญาติดีกับใครเลย แต่กลับปฏิบัติกับหญิงสาวคนนี้แตกต่างออกไปใครจะไปทัดทานไหวกัน?!เฟิงหร่านกระแอมออกมาเสียงหนึ่ง การกระแอมนี้ก็เหมือนดึงวิญญาณตนเองกลับมา จู่ๆ ก็มีปฏิกิริยาขึ้น “พี่ชายของข้าเขา สุขภาพมี
จุดที่เฟิงหร่านมีปฏิกิริยากลับมาว่าผิดปกติก็คือ...“ถ้าหากข้ากลับไปแล้วไม่เกิดสถานการณ์อะไรขึ้น...มันไม่ใช่ว่าข้าถูกอัดเปล่าๆ ไปหรือไรกัน?!” เฟิงหร่านถลึงตาโตและจึงเห็นสาวงามตรงหน้า ยิ้มจนตาหงส์คู่โค้ง ยิ่งงดงามจนไม่อาจหาสิ่งที่มาเทียบเทียมได้พอใบหน้างามมีรอยยิ้ม มือข้างหนึ่งก็ดึงถุงมือของมืออีกข้าง เพื่อให้ถุงมือกระชับขึ้นอีกหน่อยและเอ่ยว่า “ถือเสียว่า...กินของคนอื่นแล้วปากอ่อนไปแล้วกัน คุณหนูเฟิงสือ ต้องผิดใจกันเสียแล้ว”“อุ๊อ๊าๆๆ...!”......ประตูจวนเฟิง ยังคงเป็นเหมือนเมื่อหลายวันก่อน การป้องกันอยู่ในสถานภาพเข้มงวดรัดกุมองครักษ์ที่หน้าประตู เห็นเงาร่างหนึ่งมาแต่ไกล เดินโซเซโงนเงนเข้ามาจึงตะคอกขึ้นว่า “ใครน่ะ!”รอจนร่างที่โซเซโงนเงนค่อยเดินเข้ามาใกล้ เหล่าองครักษ์จึงเห็นได้ชัดขึ้น“คุณหนูสิบ? ท่านกลับมาแล้ว...” องครักษ์เอ่ยขึ้น “แล้วทำไมท่านถึงเป็นเช่นนี้ไปได้?”เฟิงหร่านใบหน้าบวมปูดเขียวช้ำ สีหน้าอึมครึมจั๋วจิ่วนั่น! ลงมือได้...ไม่เจ็บเลยสักนิด!ในใจเฟิงหร่านไม่ได้จงใจพูดแขวะแดกดันอะไร แต่ว่า...มันไม่เจ็บจริงๆ!เฟิงหร่านเองก็ไม่รู้ว่าถุงมือของนางนั้นมีคุณสมบั
ก่อนหน้านี้ตอนที่จั๋วซือหรานได้ยินเรื่องตระกูลเฟิง ก็ยังเคยรู้สึกเสียอกเสียดายอยู่ทว่าตอนนี้...นางรู้สึกแค่ว่าตระกูลเฟิงเป็นพวกโง่เง่าตอนนี้เฟิงหร่านยืนอยู่หน้าประตูตระกูลเฟิงองครักษ์พอเห็นนางไม่ตอบ จึงถามตามขึ้นมาคำหนึ่ง “คุณหนูสิบ ท่านทำไมจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปกัน?”เฟิงหร่านเงยหน้าเหลือบมององครักษ์ “ข้าเป็นอย่างไร จำเป็นต้องมารายงานเจ้าด้วยหรือ?”เสียงของนางก็ไม่มีความอ่อนโยนเลย ราวกับว่าลูกหมาน่ารักอ่อนโยนที่อยู่ในเรือนจั๋วซือหรานก่อนหน้านี้ตอนนี้กลับกลายเป็นสุนัขเฝ้าบ้านดุร้ายตัวหนึ่งที่แทบจะแยกเขี้ยวออกมาแล้วองครักษ์พอได้ยินเสียงเย็นชาของนางก็งงงันไป เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้านอบน้อม “ข้าน้อยมิกล้า เพียงแต่...”องครักษ์หยุดลงครู่หนึ่ง เอ่ยต่อว่า “เหล่าผู้อาวุโสหวังว่าหลังจากคุณหนูสิบกลับมาจากเรือนของแม่นางจั๋วจิ่วแล้ว จะตรงไปพบพวกเขาที่ห้องโถงบรรพบุรุษเลย”สีหน้าเฟิงหร่านไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด น่าจะเพราะฟ้ามืดแล้ว ดังนั้นเหล่าองครักษ์จึงไม่เห็นประกายประหลาดที่แวบผ่านด้วยตาของเฟิงหร่าน“รู้แล้ว” เฟิงหร่านเอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา แบกร่างโซซัดโซเซเดินเข้าไปหลังจากเข้าไประยะหนึ่ง
พอได้ยินคำพูดของเฟิงหร่าน จั๋วซือหร่านก็ถอนใจ “ใจอ่อนสิ อ่อนจนเป็นก้อนโคลนไปแล้ว”“ถ้าอย่างนั้น...” เฟิงหร่านกัดริมฝีปากยังไม่ทันที่ตนเองจะได้เอ่ยอะไร นางก็เห็นว่ารอยยิ้มบนสีหน้าจั๋วซือหรานก่อนหน้านี้ มลายหายสิ้นไปแล้ว ความลึกซึ้งเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้มในดวงตานั่น ก็เหลือเพียงความเย็นชา“แต่ว่าพวกเจ้าทำไมจึงรู้สึกว่า พอข้าใจอ่อนกับเฟิงเหยียน แล้วต้องใจอ่อนกับพวกเจ้าด้วย?”เสียงของจั๋วซือหรานเย็นยะเยือก “ต่อให้พวกตระกูลขุนนางรู้ว่าข้า ‘รักลึกซึ้ง’ ต่อเฟิงเหยียน นั่นมันก็แค่กับเฟิงเหยียนเท่านั้น พวกเขาใช้งานเฟิงเหยียนจนเป็นเช่นนี้ คงไม่ได้คิดว่าข้าจะยอมรับพวกเขาหรอกใช่ไหม”เฟิงหร่านรู้สึกว่าคำพูดนี้ของจั๋วซือหรานมีเหตุผล จึงพยักหน้าเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นเจ้าคิดจะให้ข้าทำอย่างไร”จั๋วซือหรานหรี่ตาลง เลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “เจ้าก็แค่...”......ในโถงศักดิ์สิทธิ์บรรพบุรุษเฟิงหร่านคุกเข่าอยู่ในนั้น ใบหน้าขาวซีด มุมปากสั่นระริกกลุ่มผู้อาวุโสจ้องมองนาง “เฟิงสือ เอาคำพูดของเจ้าเมื่อครู่ เล่าออกมาอีกครั้ง”เฟิงหร่านปากสั่น “เหล่าผู้อาวุโสโปรดระงับความโกรธด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่ได้ตั้งใจจ
ในใจเฟิงหร่านบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร แค่รู้สึกว่า...ตนเองเหมือนจะเคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อนอย่างไรอย่างนั้นเพราะตอนที่อยู่ในเรือนพี่สาวจั๋วก่อนหน้านี้ พี่สาวจั๋วก็ให้นางได้ซ้อมไว้แล้วล่วงหน้าเฟิงหร่านเงยขึ้นมองเหล่าผู้อาวุโส ด้วยท่าทีขึงขัง เอ่ยขึ้นอย่างตั้งใจ “จั๋วจิ่วบอกว่า ตระกูลเฟิงครั้งนี้กระทำการอย่างไม่สำนึกบุญคุณ ไม่เพียงแต่ร่วมมือกับตระกูลจั๋วตระกูลเหยียนใส่ร้ายป้ายสีนางเรื่องโรคระบาด แต่ยังซ่อนตัวพี่ชายเอาไว้ ไม่ยอมให้นางได้พบเจอ”“แล้วยังส่งข้าไปลอบโจมตีนางอีก เรื่องเหล่านี้ นางไม่อาจยอมรับได้ จะแตกหักขั้นเด็ดขาดกับตระกูลเฟิง”เหล่าผู้อาวุโสพอได้ยินคำพูดของเฟิงหร่านก็งงงันไปแล้ว “นางบอกว่าอะไรนะ?”“นางบอกว่าพวกเราซ่อนตัวเหยียนเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ?”“นาง...”“เหยียนเอ๋อร์ไม่ใช่ว่าถูกนางซ่อนตัวเอาไว้หรือไรกัน!”“แล้วนางทำไมถึงยังใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นก่อนล่ะ!”เฟิงหร่านตอนนี้ก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก เพียงเอ่ยต่อว่า “ข้าไม่รู้ นางบอกกับข้าเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังบอกว่า...”เฟิงหร่านมองไปทางเหล่าผู้อาวุโส ถามขึ้นว่า “นางให้ข้ามาถามเหล่าผู้อาวุโส ว่ายังจำสัญญาณที่นางตั้งข
เหล่าผู้อาวุโสตระกูลเฟิงก็หัวร้อนหน้าไหม้กันขึ้นมาเฟิงหร่านมอง และรอตอนที่รู้สึกว่าเวลาใกล้เคียงแล้ว จึงค่อยๆ ยกมือขึ้น เอ่ยปากว่า “เหล่าผู้อาวุโส เพราะ...เพราะว่าข้าถูกนางควบคุมไป จนคายความลับออกมามากมายอย่างควบคุมไม่อยู่ ในนี้ยังรวมถึง เรื่องที่พี่ชายได้รับการลงโทษจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วย...”คำพูดของเฟิงหร่าน ทำเอาผู้อาวุโสทั้งหลายเงียบกันลงมาทันทีพวกเขารู้เรื่องที่เฟิงหร่านไปจวนของจั๋วซือหรานนานแล้ว เดิมทีพวกเขาคิดว่าเฟิงหร่านน่าจะไปบอกความลับกับจั๋วซือหรานเพราะเฟิงหร่านเทิดทูนศรัทธาเฟิงเหยียนมาแต่ไหนแต่ไร จุดนี้ในตระกูลไม่ใช่ความลับอะไรยิ่งไปกว่านั้นเฟิงหร่านเนื่องจากที่พ่อของนางทำงานในโถงศักดิ์สิทธิ์บรรพบุรุษ คิดแล้วจึงน่าจะเข้าใจเรื่องการที่เฟิงเหยียนถูกลงโทษโดยสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกด้วยเหล่าผู้อาวุโสคำนวณไว้แล้วถ้าเฟิงหร่านออกไป จะต้องนำความลับไปบอกแน่ใครจะรู้ ว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ได้เดินตามหมากที่พวกเขาวางเอาไว้เลย!แต่กลับไปทะเลาะกับจั๋วจิ่วมาอีก?! สมองคิดอะไรอยู่กันแน่...แต่ดูแล้ว ก็เหมือนว่าข้อมูลที่จะให้จั๋วจิ่วได้รู้ ก็ถูกจั๋วจิ่วรับรู้ไปแล้วเช่นกันว่าตามหลัก
ผลลัพธ์น่าจะไม่ดีขนาดนี้ แต่ตอนนี้เป็นเฟิงฉี เช่นนั้นผลลัพธ์จึง...เฟิงหร่านพอคิดเช่นนี้ นิ่งงันคำนวณในใจ เวลาน่าจะใกล้เคียงแล้วพี่สาวจั๋วจิ่วบอกว่าประมาณหนึ่งเค่อก็จะบังเกิดผลในใจเฟิงหร่านเพิ่งจะคิด ก็เห็นสีหน้าของผู้อาวุโสเฟิงฉีเปลี่ยนไปแล้วดวงตาของเขาถลึงโต ยางกลับว่าจะทะลักออกมาจากในเบ้าตาอย่างไรอย่างนั้น!บนหน้าผาก บนคอ เส้นเลือดปูดโปน พูดอะไรออกมาไม่ออกแม้แต่คำเดียว จากแก้มที่ตึงก็มองออกไม่ยาก เขาขบฟันแน่นเหมือนกำลังทนความทุกข์ทรมานแสนสาหัส!ผู้อาวุโสเฟิงฮ่วนที่อยู่ข้างๆ ก็สังเกตเห็นความผิดปกติของเขาแล้ว“เฟิงฉี เจ้าเป็นอะไร? เป็นอะไรไหม?” เฟิงฮ่วนถามขึ้นแต่เสียงเขายังไม่ทันขาด เฟิงฉีก็ยืนไม่อยู่แล้ว คุกเข่าลงเสียงดังตุบ!ผู้อาวุโสคนอื่นก็ระแวดระวังขึ้นมาทันที พวกเขาไม่รู้ว่าเฟิงฉีทำไมจึงกลายเป็นเช่นนี้แค่คิดว่า น่าจะเป็นเพราะโรคระบาดกู่ก่อนหน้านี้กระตุ้นให้เกิดขึ้น แค่คิดว่าเฟิงฉีน่าจะกำลังจะกลายพันธุ์!กระทั่งมีคนเอามือทาบไว้บนด้ามกระบี่ตระกูลแล้ว ตั้งท่าเตรียมรับมือไว้ตลอดเวลาส่วนเฟิงฉี ในที่สุดก็หอบหายใจถี่ท่ามกลางความทรมานแสนสาหัสนั่น ดวงตาที่แดงก่ำจากควา
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย