“พวกนี้มัน...อะไรกัน” จั๋วซือหรานกระพริบตาปริบเดิมทีคิดว่านี่เป็นแค่เพราะแรงบันดาลใจชั่วขณะทำให้เห็นสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นก่อนหน้าจั๋วซือหรานต่อให้เจ็บปวดอย่างรุนแรง ก็ยังไม่กล้ากระพริบตาจนกระทั่งพลังความการจดจำที่ยอดเยี่ยมของนาง จัดการจดจำรูปแบบหลักๆ ส่วนใหญ่ของอักขระคำสาปนี้ได้...แต่เนื่องจากรายละเอียดที่มากเกินไป จึงไม่สามารถจดจำได้หมดทุกกระเบียดแต่ภาพหลักๆ ส่วนใหญ่ ก็จดจำได้พอสมควรแล้วจั๋วซือหรานตอนนี้จึงกระพริบตาปริบๆ แต่ยังดีที่หลังจากกระพริบตา อักขระคำสาปเหล่านี้ก็ไม่ได้หายไปในระยะสายตาของนางจั๋วซือหรานหลักๆ สามารถยืนยันได้ ว่าอักขระคำสาปเหล่านี้ของโถงศักดิ์สิทธิ์บรรพบุรุษตระกูลเฟิง คนอื่นไม่มีทางมองเห็นแน่เกรงว่าต่อให้เป็นคนของตระกูลเฟิงเองก็ยังไม่แน่ว่าจะมองเห็น...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว งึมงำเอ่ยขึ้นว่า “แล้วทำไมข้าถึงมองเห็นล่ะ...”นางก้มหน้าลงมองแหวนเสวียนเหยียนบนนิ้วตนเองพอคิดถึงอาการลวกกับความเจ็บปวดจากการแผดเผาผิดปกติก่อนหน้านี้จั๋วซือหรานก็เม้มปาก เป็นเพราะแหวนเสวียนเหยียนหรือ?ตอนที่เห็นอักขระซับซ้อนเหล่านี้...แม้ว่าจั๋วซือหรานจะไม่เคยค้นคว้าอะไรกับโลกของ
ชายชุดดำสีหน้ามืดมน ตอนที่มองจั๋วซือหราน ในสายตาก็มีความเคียดแค้นสลักเข้ากระดูกดำ ดูแล้วเหมือนอยากจะกัดเคี้ยวเลือดเนื้ออย่างไรอย่างนั้นพอเทียบกับสายตาเกลียดชังเข้ากระดูกดำของเขาแล้ว สีหน้ากับสายตาของจั๋วซือหรานกลับดูนิ่งกว่ามากนางยืนเงียบๆ อยู่ที่เดิม มองอีกฝ่ายเงียบๆ ย้อนถามมาคำหนึ่ง “จ้าแน่ใจว่าข้าเข้ามาติดกับดักด้วยตนเอง แต่ไม่ใช่ว่าเจ้ารนมาหาที่ตาย?”ชายชุดดำร้องเชอะเย็นชา สีหน้ามืดมนแต่เดิมยิ่งดูน่ากลัวขึ้นไปอีก เอ่ยต่อว่า “เจ้าขยับตัวไม่ได้แล้ว ยังจะมาทำเป็นปากแข็ง ข้าว่าเจ้านั่นล่ะที่มาหาที่ตาย!”มือของเขาทาบอยู่บนด้ามกระบี่ข้างเอว บนด้ามกระบี่สลักอักษร “จื๋อ” อยู่ตัวหนึ่ง เขายื่นมือชักกระบี่ยาวออกจากฝัก“วันนี้ข้าจะละเลงเลือดเจ้าที่นี่ เพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณของลูกข้า!” เขาคำรามขึ้นเสียงต่ำจั๋วซือหรานมองเขาอย่างเย็นชา เดิมทีก็พอเดาถึงตัวตนฐานะคนผู้นี้ได้ น่าจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับสี่คนที่ร่างกายติดพิษกู่ร้อยไหมจนตายไปก่อนหน้านั้นตอนนี้ คำพูดของเขา ก็ยืนยันการคาดเดาในใจจั๋วซือหรานออกมาแล้วจั๋วซือหรานมองเขานิ่งๆ เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าพูดผิดแล้ว พวกเขาไม่ได้ตายเพราะข้า แ
ส่วนจั๋วซือหราน กลับขยับนิ้วเพียงเบาๆ เท่านั้น“ไม่มีอะไร” นางเอ่ยขึ้น “ก็แค่...ไม่ใช่ว่าการจะรับมือคนทั้งหมดข้าต้องลงมือด้วยตนเอง”ขณะที่ประโยคนี้ของนางพูดออกมา เฟิงจื๋อก็เห็นว่านางยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง นิ้วขาวนวลทั้งห้ากางแบออกเฟิงจื๋อถลึงตาโตมองในฝ่ามือนาง “เจ้า...เจ้า...นี่มัน...!”ในฝ่ามือนางมีแมลงสีขาวนวล กึ่งโปร่งใส ขนาดเท่ากับฝ่ามือตัวจ้ำม่ำตัวหนึ่งอยู่! ยิ่งไปกว่านั้นบนตัวของแมลงยังมีหนวดสัมผัสอีกมากมาย ตอนนี้ดูแล้วอ่อนยวบยวบ ราวกับเป็นขนอ่อนๆ นุ่มฟูอย่างไรอย่างนั้นพังพาบอยู่ในฝ่ามือนาง ดูแล้ว เหมือนเป็นสัตว์ที่ไม่มีอันตรายต่อมนุษย์แต่กลับยังคงทำให้เฟิงจื๋อขนลุกชูชัน เพราะเขารู้ว่าความจริงไม่มีทางเป็นเช่นนี้!สิ่งของที่อยู่ในมือนาง ดูอันตรายกว่าที่มองเห็นร้อยเท่าหมื่นเท่า!เสียงของจั๋วซือหรานยังคงเรียบเฉย “เจ้าไม่ใช่คิดว่าตระกูลเฟิงทั้งสี่คนนั้นที่ติดพิษกู่มานานแล้ว จะยังมีชีวิตรอดต่อไปได้ใช่ไหม? เช่นนั้นเจ้าก็ลองดุเองเลย ว่าติดพิษกู่ร้อยไหมนานๆ แล้วจะยังรอดได้หรือเปล่า”เฟิงจื๋อถ้าหากพูดว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นตัวแม่ของกูพิษร้อยไหม จึงไม่รู้ว่าแมลงกู่ในฝ่ามือของ
เฟิงจื๋อมองออกถึงแสงไฟสีขาววูบนี้ในพริบตา นี่คือไฟวิเศษของเฟิงช่าน...เปลวเพลิงอู๋ซื่อ!นี่มันเปลวเพลิงอู๋ซื่อของลูกชายข้า! ทำไมจึงมาอยู่กับเจ้า!” เฟิงจื๋อเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึงจั๋วซือหรานเอ่ยเสียงเรียบ “ต้องพูดอย่างไรดีล่ะ ตอนนั้นแมลงกู่รวมเข้าด้วยกันกับชีพจรหัวใจเขาแล้ว ทำให้ไฟวิเศษ พลังวิญญาณ แทบะจถูกดูดซับไปจนเกลี้ยงแล้ว ดังนั้น ตอนที่ข้าลอกเอาแมลงกุ่ออกมาจากศพเขา บนตัวแมลงกู่จึงมีไฟวิเศษของเขาอยู่ด้วย...”เสียงของจั๋วซือหรานนิ่งมาก เอ่ยต่อว่า “โอ้ แต่ว่าเจ้าคงไม่เชื่ออยู่แล้วนี่นะ เจ้ารู้สึกแต่ว่าข้าเป็นคนทำให้เขาตาย ไม่ใช่พิษแมลงกู่ที่ทำเขาตาย ช่างมันเถอะ”จั๋วซือหรานมองเฟิงจื๋อ “จั๋วซือหรานอย่างข้าถูกใส่ร้าย ถูกสาดน้ำสกปรกใส่บ่อยจะตายไป ดังนั้นจะเพิ่มเจ้ามาอีกสักคนก็คงไม่ต่างกันเท่าไร”“เจ้า...!” เฟิงจื๋อถลึงตามองนาง“ลูกชายเจ้าตายไปก็คู่ควรให้เห็นใจอยู่” ดวงตาของจั๋วซือหรานเย็นชาลง น้ำเสียงก็ค่อยๆ ไม่เหลือบความอบอุ่นอยู่อีก ถ้าหากบอกว่าเสียงก่อนหน้นี้คือเย็นชาล่ะก็ ตอนนี้เสียงของนางคือเย็นเยียบเลยทีเดียวจั๋วซือหรานมองเฟิงจื๋ออย่างเย็นชา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นเยียบ “จะมาใส่
ต่อให้เขาอยากจะเก็บกระบี่ของตนเอง ก็ทำไม่ได้แล้วไม่เพียงเท่านี้ ต่อให้เขาอยากจะรีบถอยหนี ก็ทำไม่ได้ด้วยเช่นกันตอนนี้ เป็นเขาที่ขยับไม่ได้แล้วดวงตาของเฟิงจื๋อเบิกกว้าง ในสายตาที่ตกตะลึงของเขา เขามองเห็นสาวงามสดสวยที่อยู่ตรงหน้าของเขาซึ่งไม่ขยับตัวอยู่นานคิ้วของนางเลิกขึ้นเป็นเส้นโค้งบางๆจากนั้น มือของนางก็ค่อยๆ ยกขึ้นบางทีคงเป็นเพราะยังโดนผลกระทบของค่ายกลอยู่ ดังนั้นท่าทางการยกมือจึงค่อนข้างเชื่องช้าไปบ้างแต่ก็เข้าขับเด่นกับชุดแดงของนาง สีหน้าสงบหางตาที่เกียจคร้าน ในท่าทางกลับเผยความสง่างดงามออกมาเป็นเช่นนี้ พอนางยื่นมือ แขนขว้างหนึ่งก็คว้าหมับเข้าที่คางของเฟิงจื๋อส่วนมืออีกข้าง ก็กดลงไปที่ปากของเขาเฟิงจื๋อม่านตาหดลง ดวงตาเบิกกว้าง แต่กลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว เรี่ยวแรงที่จะดิ้นรนก็ไม่มีราวกับเป็น...หุ่นเชิดไม้ตัวหนึ่งและประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขา ยังคงได้ยิน ยังคงมองเห็นเฟิงจื๋อได้ยินสาวงามตรงหน้าคนนี้ ที่มุมปากมีรอยยิ้มโค้ง เส้นเสียงฟังดูอ่อนนุ่ม ราวกับกำลังปลอบเอาใจอะไรอย่างอย่างอยู่นางเอ่ยขึ้นว่า “รู้แล้วรู้แล้ว เจ้าขนมชาม ไม่ต้องน้อยใจไป ไม่ได้นานขนา
จั๋วซือหรานถึงแม้จะไม่รู้ว่าโถงศักดิ์สิทธิ์บรรพบุรุษตระกูลเฟิงปกติแล้วเป็นแบบไหน แต่วันนี้ดูเงียบสงบอย่างเห็นได้ชัดเป็นไปได้ว่าเฟิงจื๋อกันคนออกไปเพื่อจะล่อนางมาที่นี่ เพื่อคิดจะรับมือกับนาง วางสถานการณ์เช่นนี้เฟิงจื๋อน่าจะรู้สึกว่าสถานการณ์นี้มั่นใจไปได้เก้าส่วนแล้ว ด้านในโถงศักดิ์สิทธิ์บรรพบุรุษนี้จึงไม่มีอะไรอยู่เลย...เอาเปรียบจั๋วซือหรานเสียจริงเฟิงจื๋อหลังจากที่ออกไปภายใต้การควบคุมของเจ้าชามขนม ความรู้สึกเชื่องช้าเหมือนจมอยู่ในบึงโคลนบนตัวจั๋วซือหรานก็สลายหายไปอย่างรวดเร็วนางค่อยๆ ยกมือยกเท้าขยับเขยื้อนตัวอยู่ครู่หนึ่งพอยืนยันว่าความรู้สึกเชื่องช้าเหล่านั้นสลายหายไปหมดแล้ว จั๋วซือหรานก็เดินอย่างไม่เร่งรีบ ตรงไปยังโถงศักดิ์สิทธิ์บรรพบุรุษแห่งนี้ในโถงศักดิ์สิทธิ์บรรพบุรุษ มีป้ายวิญญาณเรียงอยู่เป็นแถวๆ ด้านหน้าสว่างไสวไปด้วยโคมไฟที่จุดสว่างไว้หลายใบแสงไฟโยกไหว แต่กลับยังคงไม่สว่างอย่างที่ควรเป็นป้ายวิญญาณเป็นแถวๆ ด้านใน ให้ความรู้สึกบีบคั้นอย่างชัดเจนและคิดว่าคนที่ขี้ขลาดหน่อย อยู่ในสถานที่เช่นนี้จิตใจคงจะลนลานไปหมดแต่ว่าจั๋วซือหราน...ไม่ใช่คนเช่นนั้นสองมือขอ
ตอนที่จั๋วซือหรานพูดประโยคนี้ ไฟเทียนทั่วทั้งโถงศักดิ์สิทธิ์ก็สว่างวาบขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ไม่มีลม แต่ไฟเทียนกลับโยกไหวราวกับกำลังจะดับมอดลงได้ทุกขณะ!ท่ามกลางเส้นแสงวูบวาบเช่นนี้ บนพื้นที่กว้างขวางของโถงศักดิ์สิทธิ์ สัญลักษณ์สีทึบรูปหนึ่ง กลับยิ่งดูแจ่มชัดขึ้นท่ามกลางเส้นแสงเช่นนี้นั่นเป็น...สัญลักษณ์รูปร่างนกสีแดงทึบ เพียงแต่ขนนกของหางทั้งเก้าเส้น ล้วนเป็นลักษณะเปลวเพลิง...หงส์แดง!จั๋วซือหรานแน่นอนว่าสังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้ ถ้าเป็นคนที่ความกล้าน้อยหน่อย พอเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ในที่ที่มีป้ายวิญญาณมากขนาดนี้ คงได้ตกใจจนเยี่ยวเล็ดไปแล้วแต่จั๋วซือหราน ไม่ใช่คนธรรมดา!นางแค่รู้สึกว่าสถานการณ์ประหลาดนี้มีจุดผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้หวาดกลัวลนลานแต่อย่างใด กระทั่งไม่ตึงเครียดเสียด้วยซ้ำนางเลิกคิ้วขึ้น “ดูท่าจะเดาออกแล้ว พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดง...ไม่สิ พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงถูกท่านอ๋องที่ทั้งหน้าตาดีทั้งน่าสงสารของข้าสืบทอดไปแล้ว แล้วยังทรมานเขาไปไม่น้อย นั่นจะต้องไม่ใช่พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดง”“สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดวงใจแห่งหงส์แดง...น่าจะมีไว้ใช้ควบคุมท่านอ๋องที่ทั้งหน้าตาตีทั
“แต่จะให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตาหน่อยก็ได้”สิ่งของที่เป็นรูดำๆ ชิ้นหนึ่ง ชี้ไปที่ตำแหน่งหัวใจของเฟิงอวี้เฟิงอวี้มองเห็นสิ่งของรูดำ ชิ้นนี้ แม้จะไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ก็เหมือนจะเข้าใจขึ้นรางๆตอนนั้นหลังจากที่พวกเฟิงช่านเฟิงจู๋พิษกู่กำเริบขึ้นมา ในถ้ำใต้ดินนั่น...ตอนที่จั๋วซือหรานเข้ามาคลายวงล้อม ใช้อุปกรณ์แปลกประหลาดอย่างหนึ่งที่มีเสียงดังมาก และคลี่คลายทั้งสี่คนนั้นอย่างรวดเร็วเฟิงอวี้รู้สึกขึ้นด้วยสัญชาตญาณ ว่าสิ่งของในมือจั๋วซือหรานนั้นอันตราย “นี่มันอะไร?” เฟิงอวี้ขมวดคิ้วคิดจะชักกระบี่ประจำตระกูลของตนเองออก แต่ว่าตอนนี้เอง กลับไม่สามารถดึงออกมาได้! หญิงสาวคนนี้ไม่ใช่แค่แพทย์หรอกหรือ?!พละกำลังมหาศาล...หลังจากนั้น ก็เห็นนิ้วที่นางถือสิ่งของดำๆ มีรูนี้ขยับปัง!เสียงดังขึ้นมา แต่แตกต่างกับเสียงดังที่เฟิงอวี้เข้าใจอย่างมาก นี่เป็นเสียงที่เบาลงหน่อย ฟังแล้วดูทุ้มๆ ต่ำๆเฟิงอวี้ก้มลงมองหน้าอกตนเองอย่างงงงัน “เจ้า...”เพราะรู้ว่าเจ้าสิ่งนี้อันตราย ดังนั้นเฟิงอวี้อันที่จริงก็ถอยห่างออกมาด้วยสัญชาตญาณแล้วแต่คิดไม่ถึงว่าจะเลี่ยงแค่แค่จุดสำคัญ ไม่สามารถเลี่ยงการโจมตีได้อย่าง
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย