ทันใดนั้นพวกองครักษ์ก็รวบตัวนางไว้ได้ ไทเฮาเดินเข้ามาช้า ๆ แล้วแสยะยิ้มเย็นเยียบ “ลั่วชิงยวน เจ้าคิดว่าเจ้าฉลาดนักรึ?”“สิ่งที่ตัวข้าต้องการคือชีวิตของเจ้า บัดนี้เจ้าเสนอหน้ามาเอง แล้วตัวข้าจะปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร?”“เจ้าลอบสังหารตัวข้า จึงถูกองครักษ์ของตัวข้าสังหารในที่เกิดเหตุ จากนั้นตัวข้าก็จะแอบปล่อยลั่วเยวี่ยอิงไปเงียบ ๆ ฟู่เฉินหวนย่อมมิติดใจเอาความเรื่องนี้เป็นแน่”“เจ้าคิดจริงหรือว่าเจ้าจะสามารถคุกคามข้าได้?”“เจ้ามันก็แค่สวะโสโครก!”ทันใดนั้น นางกำนัลก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน “กราบทูลไทเฮา ฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ”สีหน้าของไทเฮาแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน รีบสั่งการทันที “รีบขังลั่วชิงยวนไว้ก่อน”ลั่วชิงยวนถูกผลักไปยังกำแพงมุมหนึ่งทันใดนั้นประตูกลก็เปิดออกเผยให้เห็นทางเข้าลับลั่วชิงยวนถูกผลักเข้าไปในความมืดมิดอย่างแรงประตูปิดลงอีกครั้ง ความมืดกลืนกินทุกสิ่งให้เหลือเพียงความมืดสนิทดวงตาของลั่วชิงยวนยังมิคุ้นชินกับความมืดจึงมองอะไรมิเห็นเลยมีเสียงลากกรอบแกรบดังมาจากพื้นรอบ ๆ ฟังแล้วชวนขนลุกยิ่งนักทันใดนั้น ข้อเท้าของลั่วชิงยวนก็ถูกบางสิ่งรัดแน่นมือซีดเซียวกำข้อเท้าของ
มือที่อยู่ใต้ชายแขนเสื้อกำแน่นลั่วชิงยวนมองไทเฮาด้วยสีหน้ายั่วยุ “พาตัวคนของหม่อมฉันมา หากไทเฮายังต้องการจะแก้ตัวก็อธิบายเรื่องห้องลับนี้ให้กระจ่างเสียก่อนเถิดเพคะ”เซียวซูรีบเข้าไปช่วยพยุงลั่วเยวี่ยอิงจักรพรรดิรีบพูดว่า “มิทราบว่าอาการของเสด็จพี่สามเป็นเช่นไรบ้าง ข้าจะไปเยี่ยมตำหนักอ๋องพร้อมกับเจ้า”จากนั้นทุกคนก็ออกไปจากพระตำหนักโช่วสี่ไทเฮาโกรธแค้นจนต้องระบายอารมณ์ด้วยการปาข้าวของ “ลั่วชิงยวน!”ทุกคนพาลั่วเยวี่ยอิงกลับตำหนักเมื่อมาถึงประตูตำหนัก ลั่วชิงยวนเห็นเงาร่างในชุดดำแวบหนึ่งในเงามืดจึงให้ฟู่จิ่งหานเข้าไปก่อน ส่วนนางเดินไปในความมืดเพียงลำพัง“เจ้ากล้าช่วยลั่วเยวี่ยอิงออกมาจริง ๆ”“ข้าประเมินเจ้าต่ำไป”น้ำเสียงของเหยียนหน่ายซินเย็นชา แฝงไปด้วยความมิยอมแพ้ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ “เรามิใช่พวกเดียวกัน เจ้าเลิกคิดเรื่องร่วมมือกับข้าเสียเถิด”“ฟู่เฉินหวนให้สิ่งที่เจ้าต้องการมิได้”เหยียนหน่ายซินยกยิ้มเย้ยหยัน “ดูเหมือนเจ้าจะยังคงถือว่าข้าเป็นคู่แข่งทางความรักอยู่ จึงได้คอยระแวงข้าเช่นนี้”“เช่นนั้นรึ?”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง “เจ้าน่ะหรือ? ยังมิคู่ควรหรอก”กล่าวจบ
“จริงสิ หม่อมฉันสืบเรื่องต้นเหตุของการสิ้นพระชนม์ของหมู่เฟยของท่านพบแล้วเพคะ” จนถึงบัดนี้ ลั่วชิงยวนจึงได้เอ่ยปากเล่าความจริง นางหยิบสมุดเล่มน้อยขึ้นมามอบให้กับฟู่เฉินหวน ฟู่เฉินหวนเปิดอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ ยิ่งอ่านก็ยิ่งตระหนก เมื่ออ่านจบก็กำหมัดแน่น “คนผู้นี้... เป็นคนแคว้นหลีหรือ?” ลั่วชิงยวนพยักหน้า “หม่อมฉันสงสัยว่าตระกูลเหยียนคงคิดการใหญ่มาแต่ต้น วางแผนหลอกลวงเขามาโดยตลอด” แววตาดุดันคมกริบราวกับคมมีดของฟู่เฉินหวนฉายแววมุ่งสังหาร “ตระกูลเหยียน!” ลั่วชิงยวนเห็นดังนั้นจึงกล่าวเสริม “เรื่องชาติกำเนิดของเซิ่งไป่ชวน ขอให้ท่านอ๋องช่วยปิดเป็นความลับด้วยเถิดเพคะ” “เพราะอย่างไรเสีย เขาก็เป็นผู้บริสุทธิ์” ฟู่เฉินหวนพยักหน้า “ได้” ......ฝ่ายไทเฮามิได้ติดใจเอาความเรื่องของลั่วเยวี่ยอิงอีก เพราะอย่างไรเสียลั่วเยวี่ยอิงก็ถูกนางคุมขังเป็นเวลานาน และแม้แต่นางเองก็มิอาจอธิบายถึงสาเหตุได้ส่วนตระกูลเหยียนก็มิได้เคลื่อนไหวใด ๆ ฟู่เฉินหวนขอพักงานราชการอยู่หลายวันเพื่อพักฟื้นร่างกาย โดยมิได้ติดใจเอาความเรื่องการลอบสังหารอีก สองวันต่อมา ลั่วชิงยวนจึงได้ไปยังคุกใต้ดินเพื่อปล
ฟู่จิ่งหลีก็อยู่ที่นั่นด้วย ภายในห้องโถงจัดเตรียมอาหารและสุรารสเลิศไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อทุกคนนั่งประจำที่ แม่ทัพใหญ่ฉินก็เป็นคนแรกที่ยกจอกสุราขึ้น “ครั้งนี้ตระกูลฉินประสบเคราะห์กรรม โชคดีที่ท่านอ๋องและพระชายาช่วยเหลือไว้จึงรอดพ้นมาได้ วันนี้กระหม่อมขอเป็นตัวแทนตระกูลฉิน แสดงความขอบพระทัยอย่างสุดซึ้งต่อท่านทั้งสองพ่ะย่ะค่ะ!” แม่ทัพใหญ่ฉินเอ่ยด้วยความจริงใจ ลั่วชิงยวนและฟู่เฉินหวนต่างก็ยกจอกสุราขึ้น “แม่ทัพใหญ่ฉินขอถวายความเคารพพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากดื่มสุราแล้ว แม่ทัพใหญ่ฉินก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “พระชายาทราบหรือไม่ว่าตอนนี้ตามโรงน้ำชาในเมืองหลวงต่างก็เล่าขานถึงเรื่องราวความกล้าหาญของพระชายาที่ชายแดน ช่างองอาจสง่างามยิ่งนักขอรับ!” “ท่านโปรดเล่าให้พวกเราฟังหน่อยเถิด เพื่อเป็นแบบอย่างให้ไป๋หลี่ได้เรียนรู้ จะได้ปรับตัวเข้ากับชีวิตที่ชายแดนได้ดีขึ้นในภายหน้าขอรับ” ลั่วชิงยวนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ชายแดนหรือ? คุณชายรองฉินจะไปชายแดนหรือ?” ฉินไป๋หลี่พยักหน้า “ใช่แล้วขอรับ วันนี้เป็นทั้งงานเลี้ยงขอบคุณท่านอ๋องและพระชายา และเป็นงานเลี้ยงส่งข้าด้วย!” “วันพรุ่งข้าจะออ
ก่อนที่จะรู้ตัวเทศกาลไหว้พระจันทร์ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ขณะที่ซูโหยวนำเครื่องแต่งกายจากศาลารุ้งเมฆามาถามนางว่าอีกสองวันข้างหน้าจะแต่งกายอย่างไรไปร่วมงานเลี้ยงในวังลั่วชิงยวนก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ในงานเลี้ยงเมื่อปีที่แล้ว จึงมิปรารถนาจะเข้าวังอีกนางจึงไปยังห้องตำรา แล้วพบว่าฟู่เฉินหวนกำลังตรวจสอบเอกสารทางการอยู่“อีกสองวันก็ถึงงานเลี้ยงไหว้พระจันทร์ในวังแล้วเพคะ”ฟู่เฉินหวนมิได้เงยหน้าขึ้นมอง เพียงแค่ตอบรับว่า “อืม” เสียงเบาลั่วชิงยวนนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วยกแขนขึ้นบดหมึกอย่างเบื่อหน่าย “หม่อมฉันขอมิไปนะเพคะ”“อืม”ลั่วชิงยวนคว้าเอกสารทางการจากมือฟู่เฉินหวนมาถือไว้ แล้วพูดทีละคำ “หม่อมฉันบอกว่าหม่อมฉันขอมิไป”ฟู่เฉินหวนพยักหน้ารับแล้วตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “รู้แล้ว”แล้วก็หยิบเอกสารทางการกลับมาอ่านต่อ“มิอยากไปก็มิต้องไป บังเอิญว่าข้าก็มิอยากจะไปเช่นกัน”ลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ฟังดังนั้นเมื่อเห็นฟู่เฉินหวนกำลังหมกมุ่นอยู่กับงาน นางก็มิได้รบกวน และลุกขึ้นจากที่นั่งเดินออกไปจากห้องตำราแล้วถามซูโหยวว่า “ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องเคยไปร่วมงานเลี้ยงไหว้พระจันทร์ใน
“สิ่งที่ข้าต้องการจะทำ ไม่มีสิ่งใดที่ทำมิได้”นางจะต้องร่วมมือกับฟู่เฉินหวนให้ได้!เหยียนหน่ายซินออกปทันทีลั่วเยวี่ยอิงเปลี่ยนชุดเป็นชุดของนางกำนัล แล้วแอบออกจากเรือนไปอย่างเงียบเชียบจากนั้นหาจังหวะเทน้ำในขวดยาลงในสุราที่ท่านอ๋องจะดื่มในคืนนี้......เวลาล่วงเลยไปจนถึงตอนค่ำสุราอาหารถูกจัดเตรียมไว้ในห้องเรียบร้อยแล้วลั่วเยวี่ยอิงแอบดู เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่จึงเข้าไปรอในห้องสายตามองอาหารบนโต๊ะที่จัดเตรียมไว้อย่างหรูหราพลางจินตนาการถึงความสุขในค่ำคืนนี้“ถวายคำนับท่านอ๋องเพคะ” เสียงนางกำนัลทำความเคารพอยู่ด้านนอกท่านอ๋องกลับมาแล้ว!ลั่วเยวี่ยอิงรีบไปหลบอยู่ใต้เตียงแล้วเฝ้ารออย่างตื่นเต้นเพื่อความแน่ใจ ควรจะรอให้ท่านอ๋องดื่มสุราก่อนแล้วค่อยออกมาอย่างไรก็ตาม คนที่อยู่หน้าประตูเดินมาถึงประตู แต่ก็มิได้ผลักประตูเข้ามาเขาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หันหลังกลับไปใจของลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกผิดหวัง......ฟู่เฉินหวนเดินไปยังห้องครัวแล้วบอกให้นางกำนัลในห้องครัวออกไป จากนั้นทำอาหารอยู่คนเดียวในห้องครัวสุดท้ายก็ยกขนมแป้งกรอบจานหนึ่งออกมาซูโหยวเดินผ่านมาเห็นก็ตกใจเล็กน้อย
ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าประหม่า “บางที... อาจจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้วก็ได้กระมัง เจ้าลองชิมดูก่อน รสชาติคงใช้ได้”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว สายตาฉายแววมิไว้วางใจขณะส่ายหน้า“ข้าก็เพิ่งกินไป รสชาติใช้ได้ เจ้าลองชิมดูเถิด” ฟู่เฉินหวนมิยอมแพ้ หยิบขนมอบกรอบชิ้นหนึ่งไปจ่อตรงหน้าลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนจึงจำต้องโน้มตัวลงกัดคำหนึ่งด้วยความลังเลทันใดนั้นริมฝีปากของนางก็สัมผัสกับนิ้วมือของเขาหัวใจของทั้งสองดวงพลันเต้นระรัว“ดูเหมือน... จะพอใช้ได้เพคะ...” ลั่วชิงยวนกินต่อจนหมดไปครึ่งชิ้นมิรู้ว่าเพราะเหตุใด หัวใจของนางจึงเต้นแรงยิ่งนักเมื่อเห็นเศษขนมติดอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา นางกลับเผลอเลียเศษขนมนั้นออกโดยมิรู้ตัวทันใดนั้นฟู่เฉินหวนก็ใจเต้นแรงจนหัวใจแทบจะหลุดออกจากอก เมื่อเห็นการกระทำอันเย้ายวนของลั่วชิงยวน ลูกกระเดือกของเขาก็กระตุกขณะกลืนน้ำลายลงคอลั่วชิงยวนเงยหน้าขึ้นช้อนสายตามอง ทันใดนั้นมือใหญ่ข้างหนึ่งก็คว้าท้ายทอยของนางไว้แน่นใบหน้าอันหล่อเหลาเย้ายวนใจนั้นเข้ามาใกล้นางทันทีจากนั้นก้มลงเลียเศษขนมที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากของนางออกโดยที่นางมิทันได้ตั้งตัวเมื่อปล่อยมือออก ทั้งสองสบตากัน ลั่วชิง
“ท่านอ๋องรออยู่นานแล้วเจ้าค่ะ!” จือเฉายิ้มอย่างมีเลศนัยลั่วชิงยวนลุกขึ้นเดินออกจากห้อง เมื่อมาถึงลานหน้าตำหนักก็เห็นฟู่เฉินหวนยืนกอดอกรอนางอยู่“ซูโหยว จัดการเรื่องการเดินทางเถิด ข้าจะมอบตำหนักอ๋องให้เจ้าดูแล”ซูโหยวตอบว่า “ท่านอ๋องโปรดวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”“ออกเดินทางหรือเพคะ?” ลั่วชิงยวนสงสัยฟู่เฉินหวนจับมือนางอย่างอ่อนโยน “เจ้ามิได้ต้องการไปซีหยางหรือ หากมิออกเดินทางก็จะไปมิทันงานเทศกาลโคมไฟที่ซีหยางสิ”ลั่วชิงยวนยังคงงัวเงียจึงถูกพาขึ้นรถม้าไปโดยมิรู้ตัวเมื่อขบวนเริ่มออกเดินทาง ลั่วชิงยวนจึงนึกขึ้นได้ว่าลืมใครไปคนหนึ่ง“ช้าก่อนเพคะ ยังมิได้พาลั่วอวิ๋นสี่ไปด้วย”ฟู่เฉินหวนดึงนางกลับมาลั่วชิงยวนจึงนั่งลงบนตักของเขา แล้วฟู่เฉินหวนก็โอบกอดนางไว้“ข้าได้บอกนางไปแล้ว นางจะไปซีหยางเอง มิต้องไปพร้อมกับเรา”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อย “ท่านตื่นเช้าถึงเพียงนั้นเลยหรือเพคะ? จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหรือเพคะ?”ฟู่เฉินหวนยกยิ้มมุมปาก “อย่างไรเสียก็ตื่นก่อนเจ้า”พูดจบเขาก็เข้าไปใกล้แล้วกระซิบถาม “ยังเจ็บอยู่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนรู้สึกว่าใบหูร้อนผ่าวทันใด “ท่านพูดอะไรเพคะ”ฟู่เฉินหว
“ท่านอยู่ต่อ ส่วนคนอื่น ๆ ออกไปก่อนเถิด” ลั่วชิงยวนกล่าวกับชายชราจากนั้นคนอื่น ๆ ก็ทยอยออกไปชายชราลุกขึ้นเดินมายืนตรงหน้าลั่วชิงยวน “ท่านเจ้าเมืองมีสิ่งใดจะสั่งหรือขอรับ?”ลั่วชิงยวนถามว่า “บนเขาแห่งนี้มีคนมาแย่งชิงยาสมุนไพรไปจริงหรือ? ที่ส่งคนไปตามหา มีเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่?”“มีคนมาจริง ๆ ขอรับ พรรคพวกของพวกมันมีประมาณสิบคนได้ แต่พวกมันหนีไปเร็วมาก ตอนนั้นทุกคนมัวแต่สนใจด้านหน้า ไม่มีใครสังเกตว่ามีคนบุกเข้าไปในคลังโอสถ”“พวกเขาถึงได้หนีรอดไปได้ขอรับ”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ยิ่งสงสัยว่าเป็นคนของสำนักเทียนฉยง และจงใจมาเป็นปฏิปักษ์กับนาง จึงได้ชิงบัวถวายไปก่อนมองดูชายชราตรงหน้าแล้ว ลั่วชิงยวนก็ยังมิเข้าใจเขาดีนักนางจึงถามว่า “บนหลังของท่านมีรอยประทับทาสหรือไม่?”เมื่อได้ยินดังนั้น ชายชราก็ตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า “มีขอรับ”ลั่วชิงยวนรู้ว่าคำพูดของนางย่อมทำให้เขาเคลือบแคลงใจว่านางมิใช่อวี๋ตันเฟิ่งแต่นางก็มิได้คิดจะแสร้งเป็นอวี๋ตันเฟิ่งเพื่อเข้าควบคุมเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้“ท่านควรรู้ว่าข้ามิใช่อวี๋ตันเฟิ่ง”ชายชราผู้นั้นอึ้งไป มิรู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ในเมื่อ
หวังเพียงว่าจะกักขังโหยวจิ้งเฉิงไว้บนเขาได้ เพราะหากเขาไปสิงอยู่ในร่างผู้อื่นแล้วหนีลงเขาไปได้ก็จะเป็นเรื่องยุ่งยากเพียงแต่ในตอนนี้ นางไม่มีแรงพอที่จะไล่ตามแล้ว จึงไปหายาในคลังกับคนใบ้เมื่อไปถึง โฉวสือชีและอวี๋โหรวก็อยู่ที่นั่นอวี๋โหรวปรุงโอสถเสร็จแล้วโฉวสือชีกำลังค้นหาสมุนไพรอยู่ข้าง ๆ“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” โฉวสือชีถามด้วยความเป็นห่วงลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ข้ามิเป็นอะไร”โฉวสือชียื่นกล่องในมือออกมา แล้วพูดว่า “เจอโสมมังกรเพียงกิ่งเดียวเอง”ลั่วชิงยวนรับกล่องมา แล้วส่งให้คนใบ้ “รอจัดการเรื่องนี้เสร็จก่อน ข้าจะจัดยาให้เจ้าชุดหนึ่ง แม้จะมิสามารถรักษาอาการของเจ้าให้หายขาดได้ แต่ก็พอจะยืดชีวิตได้”คนใบ้พยักหน้า รับโสมมังกรมาด้วยสีหน้าซับซ้อนภายใต้หน้ากากโฉวสือชีกล่าวเสียงหนักแน่น “คลังโอสถนี่ใหญ่โตเกินไป ข้าหาบัวถวายมิเจอจริง ๆ”“และเมื่อดูแล้วในนี้ก็มีร่องรอยการถูกรื้อค้น ต่งอวิ๋นซิ่วคงมิได้หลอกพวกเรา บัวถวายคงถูกใครบางคนชิงไปแล้ว”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ขมวดคิ้วแน่น “บังเอิญเกินไปแล้ว บัวถวายถูกชิงไปตอนที่เรามาถึงพอดี”“แถมยังถูกกวาดไปจนเกลี้ยง”“สมุนไพรอื่นก็มิ
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ