ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าประหม่า “บางที... อาจจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้วก็ได้กระมัง เจ้าลองชิมดูก่อน รสชาติคงใช้ได้”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว สายตาฉายแววมิไว้วางใจขณะส่ายหน้า“ข้าก็เพิ่งกินไป รสชาติใช้ได้ เจ้าลองชิมดูเถิด” ฟู่เฉินหวนมิยอมแพ้ หยิบขนมอบกรอบชิ้นหนึ่งไปจ่อตรงหน้าลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนจึงจำต้องโน้มตัวลงกัดคำหนึ่งด้วยความลังเลทันใดนั้นริมฝีปากของนางก็สัมผัสกับนิ้วมือของเขาหัวใจของทั้งสองดวงพลันเต้นระรัว“ดูเหมือน... จะพอใช้ได้เพคะ...” ลั่วชิงยวนกินต่อจนหมดไปครึ่งชิ้นมิรู้ว่าเพราะเหตุใด หัวใจของนางจึงเต้นแรงยิ่งนักเมื่อเห็นเศษขนมติดอยู่ที่ปลายนิ้วของเขา นางกลับเผลอเลียเศษขนมนั้นออกโดยมิรู้ตัวทันใดนั้นฟู่เฉินหวนก็ใจเต้นแรงจนหัวใจแทบจะหลุดออกจากอก เมื่อเห็นการกระทำอันเย้ายวนของลั่วชิงยวน ลูกกระเดือกของเขาก็กระตุกขณะกลืนน้ำลายลงคอลั่วชิงยวนเงยหน้าขึ้นช้อนสายตามอง ทันใดนั้นมือใหญ่ข้างหนึ่งก็คว้าท้ายทอยของนางไว้แน่นใบหน้าอันหล่อเหลาเย้ายวนใจนั้นเข้ามาใกล้นางทันทีจากนั้นก้มลงเลียเศษขนมที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากของนางออกโดยที่นางมิทันได้ตั้งตัวเมื่อปล่อยมือออก ทั้งสองสบตากัน ลั่วชิง
“ท่านอ๋องรออยู่นานแล้วเจ้าค่ะ!” จือเฉายิ้มอย่างมีเลศนัยลั่วชิงยวนลุกขึ้นเดินออกจากห้อง เมื่อมาถึงลานหน้าตำหนักก็เห็นฟู่เฉินหวนยืนกอดอกรอนางอยู่“ซูโหยว จัดการเรื่องการเดินทางเถิด ข้าจะมอบตำหนักอ๋องให้เจ้าดูแล”ซูโหยวตอบว่า “ท่านอ๋องโปรดวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”“ออกเดินทางหรือเพคะ?” ลั่วชิงยวนสงสัยฟู่เฉินหวนจับมือนางอย่างอ่อนโยน “เจ้ามิได้ต้องการไปซีหยางหรือ หากมิออกเดินทางก็จะไปมิทันงานเทศกาลโคมไฟที่ซีหยางสิ”ลั่วชิงยวนยังคงงัวเงียจึงถูกพาขึ้นรถม้าไปโดยมิรู้ตัวเมื่อขบวนเริ่มออกเดินทาง ลั่วชิงยวนจึงนึกขึ้นได้ว่าลืมใครไปคนหนึ่ง“ช้าก่อนเพคะ ยังมิได้พาลั่วอวิ๋นสี่ไปด้วย”ฟู่เฉินหวนดึงนางกลับมาลั่วชิงยวนจึงนั่งลงบนตักของเขา แล้วฟู่เฉินหวนก็โอบกอดนางไว้“ข้าได้บอกนางไปแล้ว นางจะไปซีหยางเอง มิต้องไปพร้อมกับเรา”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อย “ท่านตื่นเช้าถึงเพียงนั้นเลยหรือเพคะ? จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหรือเพคะ?”ฟู่เฉินหวนยกยิ้มมุมปาก “อย่างไรเสียก็ตื่นก่อนเจ้า”พูดจบเขาก็เข้าไปใกล้แล้วกระซิบถาม “ยังเจ็บอยู่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนรู้สึกว่าใบหูร้อนผ่าวทันใด “ท่านพูดอะไรเพคะ”ฟู่เฉินหว
ฟู่เฉินหวนก้มหน้าลงประทับจุมพิตลงบนหน้าผากของนางอย่างอ่อนโยน “หากย้อนกลับไปได้ มิสำคัญว่าจวนอัครเสนาบดีจะเป็นเช่นไร แต่ข้าก็จะรักและหวงแหนเจ้า มิปล่อยให้เจ้าต้องทุกข์ร้อนเพราะความอยุติธรรม”ลั่วชิงยวนถอนหายใจเบาๆ “หากย้อนกลับไปได้ หม่อมฉันจะมิยอมไปแต่งงานแทนใครอีกแล้ว!”ฟู่เฉินหวนหัวเราะเบา ๆ “เช่นนั้นข้าก็จะไปขอแต่งงานกับเจ้าเอง! ตลอดชีวิตนี้ เจ้าจะเป็นของข้าผู้เดียวเท่านั้น!”ลั่วชิงยวนเลิกคิ้ว แล้วหัวเราะเบา ๆ “จริงหรือเพคะ? ในเวลานั้นหม่อมฉันยังอ้วนน่าเกลียดอยู่เลย ท่านจะมาขอหม่อมฉันจริงหรือเพคะ? หม่อมฉันมิเชื่อหรอก”“ท่านกล้าพูดหรือไม่ว่าหม่อมฉันมิได้ชอบใบหน้าหม่อมฉันในตอนนี้?”ฟู่เฉินหวนพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ความงามเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ข้าเองก็ชอบเจ้าในตอนนี้มากกว่า”“แต่ว่า...”ลั่วชิงยวนถามด้วยความสงสัย “แต่ว่าอะไรเพคะ?”ฟู่เฉินหวนโอบเอวของนางไว้แน่น แล้วทั้งสองก็ล้มตัวลงบนพื้นหญ้านุ่มเสียงทุ้มลึกของฟู่เฉินหวนดังอยู่ข้างหูนาง “แต่ว่าคนแรกที่ข้าตกหลุมรักคือเจ้าคนเก่าในตอนนั้น”ใจของลั่วชิงยวนเต้นแรงราวกับจะกระเด็นออกมาจากอก...ทั้งสองอยู่บนภูเขาจนถึงรุ่งสางแล้ว
ลั่วชิงยวนกระดกสุราหมดจอกในอึกเดียว ลั่วหลางหลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ตราบใดที่ครอบครัวยังอยู่พร้อมหน้า มิว่าจะเป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์หรือไม่ เราก็ล้วนมารวมตัวกันด้วยความรื่นเริงได้” ลั่วอวิ๋นสี่พยักหน้าเห็นด้วย “ถูกแล้ว ขอเพียงครอบครัวอยู่พร้อมหน้า ทุกเวลาล้วนเฉลิมฉลองได้ดั่งเทศกาลไหว้พระจันทร์!”“อย่ามัวชักช้า รีบกินกันเถิด” ลั่วอวิ๋นสี่เอ่ยพลางเตรียมใช้ตะเกียบคีบอาหาร ทว่าฟู่เฉินหวนกลับเอ่ยขัด “ช้าก่อน ยังมีแขกอีกคนที่ยังมามิถึง”ได้ยินดังนั้น ทั้งสามล้วนประหลาดใจ “ยังมีผู้ใดอีกหรือ?” ลั่วชิงยวนเอ่ยถามด้วยความสงสัย ฟู่เฉินหวนตอบ “ยิ่งมีคนมากยิ่งครื้นเครง”“รออีกสักครู่ คงใกล้มาถึงแล้ว”หลังจากนั้นมินาน เมื่อแขกมาถึง ลั่วชิงยวนก็เผยสีหน้ายินดี “เชียนฉู่!”ซ่งเชียนฉู่เดินทางมาพร้อมเฉินเซี่ยวหาน นอกจากนี้ยังมีองค์ชายเจ็ดฟู่จิ่งหลีด้วย รวมถึงแขกอีกคนหนึ่งจากเมืองซีหยาง ฟ่านลิ่งเสวียนการปรากฏตัวของฟ่านลิ่งเสวียนทำให้ลั่วหลางหลางประหลาดใจเล็กน้อย ลั่วอวิ๋นสี่เห็นดังนั้นจึงรีบขยับที่นั่งให้ฟ่านลิ่งเสวียน ทำให้ลั่วหลางหลางหน้าแดงก่ำไปครู่หนึ่งจู่ ๆ ก็มีคนมากมายเช่นนี้
ลั่วชิงยวนใจหายวาบ ซ่งเชียนฉู่กลับมามีสติจึงรีบอธิบาย “หม่อมฉันเองนี่แหละเพคะ หม่อมฉันติดตามท่านเซียนฉู่มานานจึงได้เรียนรู้วิชาจากท่านมาบ้าง!”ว่าแล้วนางก็หันไปพูดกับลั่วหลางหลาง “แต่หากพวกเจ้ามิเชื่อข้า ข้าก็สามารถให้ท่านเซียนฉู่ลั่วคำนวณให้ได้ ท่านทำนายได้แม่นยำนัก!”คำพูดนี้ทำเอาทุกอย่างคลี่คลาย“พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน เรื่องของพวกเขา ปล่อยให้พวกเขาตัดสินใจกันเอง อย่าไปกดดันเลย!”“ดื่มกันต่อเถิด” ลั่วชิงยวนรีบเปลี่ยนเรื่องสนทนาลั่วหลางหลางมองนางด้วยแววตาขอบคุณ ทุกคนกินอาหารร่วมกันอย่างสนุกสนานรื่นเริงเมื่ออิ่มหนำสำราญ ทุกคนก็ยังคงสนทนากันต่อ ลั่วชิงยวนเห็นร้านขายน้ำตาลปั้นข้างทางก็เกิดความสนใจ จึงเดินลงไปสูดอากาศด้านนอก ฟู่เฉินหวนลุกตามนางไปเวลาล่วงเลยจนดึกสงัด ผู้คนบนท้องถนนเบาบางลง แต่แสงไฟยังคงสว่างไสว งดงามตระการตา“แม่นาง ซื้อน้ำตาลปั้นหรือไม่? ข้ามีทุกรูปที่ท่านต้องการ”ฟู่เฉินหวนเดินเข้ามาพอดี ลั่วชิงยวนจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยากได้รูปเขา ปั้นได้หรือไม่?”ช่างปั้นน้ำตาลเงยหน้ามองฟู่เฉินหวน ก่อนจะยิ้มแล้วตอบว่า “แน่นอน ปั้นได้อยู่แล้ว”“ท่านทั้งสองช่างส
ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ออกไปข้างนอกนานเช่นนี้คงต้องยุ่งมากเป็นแน่”“ว่าแต่ทิวทัศน์ที่พวกเราดูมาตลอดทางนั้น ใครเป็นผู้จัดหาหรือ?” ลั่วชิงยวนเอ่ยถามด้วยความสงสัยเซียวชูตอบว่า “ล้วนแต่เป็นฝีมือของท่านอ๋องทั้งสิ้นขอรับ”“แท้จริงแล้วก่อนที่พระชายาจะมาที่ซีหยาง ท่านอ๋องก็เตรียมการไว้แล้ว”“ช่วงเวลานั้น ท่านแทบจะมิว่างเลยทีเดียวขอรับ”เมื่อได้ฟังดังนั้น หัวใจของลั่วชิงยวนก็สั่นสะท้านที่แท้เขาเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้วทำเช่นนี้มากมายเพียงเพื่อให้แต่นางมีความสุขหรือขณะที่กำลังครุ่นคิด ซ่งเชียนฉู่ก็มาถึงหน้าห้อง“ชิงยวน ท่านยังมินอนหรือ”เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูตึงเครียดของซ่งเชียนฉู่ ลั่วชิงยวนก็ตกใจเล็กน้อยแล้วรีบลุกขึ้นไปหา“มีเรื่องอันใดหรือ?” นางมองไปยังภายนอก สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของราชันย์อสรพิษ“เขามาอีกแล้วหรือ? ข้าจะไปไล่เขาให้เจ้าเอง!”แต่ซ่งเชียนฉู่กลับจับมือของนางไว้ “อย่าเลย”“เมื่อครู่พวกเรากินข้าวกันที่โรงเตี๊ยมคึกคักเช่นนั้น เขามิสามารถปรากฏตัวได้ ดูน่าสงสารอยู่มิน้อย” ซ่งเชียนฉู่เห็นฉู่จิ้งในตอนนั้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้า...”ซ่งเชียนฉู่ถอนหายใจ “ข้าไ
เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วตระหนักได้ว่าคนผู้นี้ตั้งใจล่อลวงเขามาที่นี่“ข้ามิสนใจ” ฟู่เฉินหวนหันหลังเตรียมจะเดินจากไปลั่วฉิงรีบพูดขึ้น “มิสนใจจริงหรือ?”“คืนนี้ท่านอ๋องเห็นว่าหล่างชิ่นมีอาการคล้ายใครหรือไม่เล่า?”ฟู่เฉินหวนหยุดฝีเท้าทันทีลั่วฉิงเห็นว่าเขาหยุดฝีเท้าก็รู้ว่าเขาคงทำเป็นมิสนใจเรื่องนี้มิได้“ลั่วชิงยวนไปที่เผ่านอกด่านแล้วกลับมา หล่างชิ่นก็กลายเป็นเช่นนี้ ข้าจึงไปสอบสวนที่เผ่านอกด่านโดยเฉพาะ ผลปรากฏว่าพบความลับที่ไม่มีใครรู้”“ข้าจำได้ว่าพระมารดาของท่านอ๋องเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นหลี แล้วท่านอ๋องทราบหรือไม่เล่าว่ามารดาของลั่วชิงยวน เป็นนักบวชหญิงแห่งแคว้นหลี?”ฟู่เฉินหวนได้ยินดังนั้น หัวใจก็สั่นสะท้านแล้วกำหมัดแน่นลั่วฉิงหัวเราะอย่างมีเลศนัย “ดูเหมือนลั่วชิงยวนจะมิได้บอกเรื่องนี้กับท่านอ๋อง”“ดูเหมือนพวกท่านทั้งสองจะรักใคร่กันดี แต่กลับมีความลับที่ปกปิดซึ่งกันและกันอยู่มิน้อย”“สิ่งที่สามารถควบคุมผู้คนได้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่มารดาของลั่วชิงยวนคิดค้นขึ้น มารดาของนางยังมีความสัมพันธ์กับราชาเผ่านอกด่านด้วย จึงเก็บซ่อนความลับทั้งหมดไว้ในเผ่านอกด่าน”“ดั
ดวงตาของฟู่อวิ๋นโจวเย็นชาดุจน้ำแข็งขณะกล่าวเสียงเรียบ “ข้าขอเตือนเจ้า จงอยู่ห่างจากลั่วชิงยวนเสีย”เหยียนหน่ายซินอมยิ้ม จู่ ๆ ก็มีแผนการอื่นผุดขึ้นในใจ “องค์ชายห้าโปรดปรานลั่วชิงยวนมากเลยหรือ? น่าเสียดายนัก จิตใจของนางมุ่งมั่นอยู่กับอ๋องผู้สำเร็จราชการเพียงผู้เดียว”“องค์ชายห้าปกปิดตัวตนเช่นนี้ย่อมมีจุดประสงค์แอบแฝง เช่นนั้นแล้ว เรามาร่วมมือกันดีหรือไม่?”“เมื่อได้อำนาจมาครอบครองแล้ว หม่อมฉันจะได้สิ่งที่ปรารถนา องค์ชายห้าก็จะได้สิ่งที่ปรารถนาเช่นกัน เห็นพ้องต้องกันหรือไม่?”สิ่งที่นางปรารถนาก็คือตำแหน่งอันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมอำนาจอันสูงสุดนั่นเองชีวิตของนางถูกคนอื่นควบคุมมาตั้งแต่เยาว์วัย นับแต่กำเนิด นางก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของตระกูล นางมิเต็มใจยอมแพ้แม้จะอดทนจนถึงวันที่มารดาและบิดาสิ้นลม แต่ปีที่ดีที่สุดของนางก็โรยราไปแล้ว จะมีความหมายอะไรอีกนางเบื่อหน่ายกับวันเวลาแห่งการอดทน ในภายภาคหน้า นางมิเพียงแต่ต้องการควบคุมชีวิตของตนเองเท่านั้น แต่ยังต้องการควบคุมชีวิตของผู้อื่นด้วย! เพื่อลิ้มรสความสุขจากการได้ครอบครองชีวิตของผู้อื่นฟู่อวิ๋นโจวขมวดคิ้ว แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน