ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ด้วยความอ่อนแรงเวินซินถงบอกว่า นางพยายามอย่างหนักกว่าจะขึ้นมาถึงตำแหน่งนักบวชหญิงได้นางเป็นภัยคุกคามต่อเวินซินถง ดังนั้นเวินซินถงจึงต้องการฆ่านางเหตุใดกัน นี่มิใช่ศิษย์น้องในความทรงจำของนางศิษย์น้องมีความสามารถน้อยกว่านาง แต่ก็เป็นคนขยัน ขี้เล่นและไร้เดียงสาศิษย์น้องที่พบในวันนี้ต่างจากคนในความทรงจำของนางโดยสิ้นเชิงขณะกำลังคิดถึงเรื่องนี้ เฉินชีก็เข้ามาใกล้“เจ้าทำได้เร็วกว่าเวลาที่ข้าตั้งไว้”“อาเหลาสมกับเป็นอาเหลา นักบวชหญิงอันดับหนึ่งของแคว้นหลี!”เฉินชีใช้มือยันเก้าอี้ มองลั่วชิงยวนด้วยแววตาที่ลุกโชนลั่วชิงยวนมิได้มองเขา นางนั่งอาบแดดพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง“ข้าทำเต็มที่แล้ว ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”เฉินชีหัวเราะเบา ๆ “วางใจเถิด หลังจากวันนี้ เจ้าจะมีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง”“การได้ครองตำแหน่งนักบวชหญิงเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น”ลั่วชิงยวนได้ยินดังนั้นก็หันไปมองเขา “ห้ามทำร้ายเวินซินถง”“ตอนนี้นางเป็นนักบวชหญิง หากเจ้าอยากเป็นนักบวชหญิงก็ต้องฆ่านางสิ” เฉินชีโหดเหี้ยม“ข้ารู้ความสามารถของนางดี นางสู้ข้ามิได้หรอก
ลั่วฉิงคิดว่าเมื่อฟู่เฉินหวนถูกควบคุม เขาจะต้องมาช่วยนางแน่นอนแต่ร่างที่อยู่ใต้ชายคากลับยันกำแพง แล้วเบือนหน้าหนีฟู่เฉินหวนพยายามอดกลั้นความเจ็บปวด เขาถอยหลังไปสองก้าวด้วยสีหน้าซีดเผือด“ท่านอ๋อง ท่านกลับไปเถิด อย่าดูเลยพ่ะย่ะค่ะ อยู่ที่นี่มีแต่จะเจ็บปวด” ซูโหยวเตือนฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว “ข้ามิวางใจ”“ต้องจับลั่วฉิงให้ได้! ต้องฆ่านาง!” ภัยร้ายนี้มิอาจเก็บไว้ได้!ซูโหยวพยักหน้า “วางพระทัยเถิดท่านอ๋อง! กระหม่อมสั่งให้คนปิดทางเข้าออกสามสายแล้ว ลั่วฉิงหนีมิพ้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”“กระหม่อมจะพาท่านอ๋องกลับไป!”มุมปากของฟู่เฉินหวนมีเลือดไหลออกมา เขาเช็ดเลือดด้วยสีหน้าซีดเซียว แล้วเดินจากไปส่วนทางนี้ ลั่วฉิงพยายามต่อสู้หมายจะฝ่าวงล้อมออกไปอย่างสิ้นหวังแต่สู้คนเดียวย่อมสู้มิไหว สุดท้ายก็ถูกจับราษฎรมากมายมามุงดูที่หัวถนนทั้งสองฝั่งลั่วฉิงถูกจับตัวเข้าคุกในทันที......ในห้องทรงพระอักษรมีเสียงคนกำลังโต้เถียงกัน“นางเป็นคนของข้า!”“ฟู่อวิ๋นโจว ท่านหมายความว่าอย่างไร? ท่านจะล้างบางพวกหม่อมฉันแล้วหรือ!” เหยียนหน่ายซินกล่าวด้วยความโกรธปกติแล้วนางมิค่อยควบคุมอารมณ์มิอยู่ โดยเฉพาะตอ
ลั่วชิงยวนพักฟื้นมาหลายวันแล้ว นั่งอาบแดดด้วยจิตใจที่แจ่มใส“เจ้าเปลี่ยนแปลงวงเวทตรงไหนบ้าง!” เวินซินถงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาลั่วชิงยวนหลับตา กล่าวแผ่วเบา “เจ้าเป็นนักบวชหญิง กลับมาถามเรื่องนี้กับข้า”เวินซินถงกำมือแน่นด้วยความโกรธจัดนางไร้ความสามารถจริง ๆ!เทียบกับศิษย์พี่ลั่วเหลามิได้เลยทั้งพรสวรรค์และความสามารถลั่วชิงยวนเดาความรู้สึกของเวินซินถงได้ เพราะสำหรับเวินซินถงแล้ว นางเป็นเพียงพระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการของแคว้นเทียนเชวียเหตุใดจึงเก่งกว่านักบวชหญิงอย่างนาง“วันนี้เจ้ามา มิใช่เพื่อถามเรื่องนี้กระมัง เพราะข้าจะมิบอกเจ้าง่าย ๆ หรอก”เวินซินถงกัดฟัน กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สำนักนักบวชขอเชิญเจ้าเข้าร่วม”ได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็เลิกคิ้วและลืมตาขึ้น“ช้ากว่าที่ข้าคิดนิดหน่อย” ลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปากเวินซินถงกล่าวด้วยน้ำเสียงมิพอใจ “นี่เป็นครั้งแรกที่สำนักนักบวชเชิญคนนอก ข้าหวังว่าเจ้าจะรู้จักประมาณตน”ลั่วชิงยวนพูดด้วยรอบยิ้ม “สำนักนักบวชเชิญข้าเข้าร่วมก็เพื่อให้ข้าฟื้นฟูวงเวท ท่าทางของเจ้า มิใช่ท่าทางของคนที่มาขอร้อง”เวินซินถงโกรธจนกำมือแน่นยามนี้ราชวงศ์เร่ง
ในคืนนั้นฉินอี้มาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง แล้วถามผู้ใต้บังคับบัญชา “แจ้งทุกคนแล้วหรือยัง?”“แจ้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ! คืนนี้เมื่อประตูเมืองเปิด ก่อนฟ้าสางจะมีคนเข้าเมืองอย่างน้อยห้าร้อยคน!”ฉินอี้พยักหน้า ยกยิ้มมุมปาก “ห้าร้อยกว่าคน คงจะพอจัดการสิบวายร้ายและสตรีที่อ่อนแอคนเดียวได้”ผู้ใต้บังคับบัญชาตอบ “แน่นอนว่าพอพ่ะย่ะค่ะ! คนห้าร้อยกว่าคนนั้นมิใช่คนธรรมดา แม้แต่ทหารหุ้มเกราะก็มิแน่ว่าจะรับมือได้พ่ะย่ะค่ะ”“อย่าว่าแต่สตรีอ่อนแอผู้นั้นเลย แค่สิบวายร้ายก็ยังพอจะรับมือได้พ่ะย่ะค่ะ”ฉินอี้พอใจมาก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต้องทำให้แนบเนียน อย่าให้เฉินชีรู้ว่าเป็นฝีมือของเรา”“องค์ชายใหญ่โปรดวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”......รุ่งเช้าวันต่อมาลั่วชิงยวนพาสิบวายร้ายมาที่ถนนเสวียนอู่ถนนสายนี้ตรงไปยังประตูวังหลวงแต่เมื่อมาถึงถนนสายนี้กลับมิคึกคักเหมือนเคย จากที่ร้านค้าทั้งสองฝั่งเคยเต็มไปด้วยลูกค้า บัดนี้ถนนเงียบสงัดจิตสังหารแผ่ซ่านไปทั่วในโรงน้ำชาและโรงเตี๊ยมมีบุรุษสตรีมากมายนั่งอยู่ การแต่งกายของพวกเขานั้นหาได้ธรรมดาไม่โฉวสือชีสำรวจรอบ ๆ แล้วเตือนด้วยเสียงแผ่วเบา “คนพวกนี้ดูมีพิรุธ”“ระวังต
แต่ศัตรูมีมากมาย พวกเขาจึงค่อย ๆ กระจัดกระจายไปเพราะต่างฝ่ายต่างก็ต้องเอาตัวรอดทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งร่วงลงมาจากฟ้า ถือกระบี่ยาวแทงไปที่หัวของลั่วชิงยวน“ลั่วชิงยวน ตายซะ!”เมื่อได้ยินเสียงนี้ ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึงเสียงคุ้นมากเป็นหล่างชิ่นนี่เอง!แสงกระบี่วาววับแยงตาลั่วชิงยวน นางยกมือขึ้นสกัดกั้นโดยสัญชาตญาณ พลันหลับตาลงเฉินชีที่อยู่มิไกลเห็นดังนั้นก็ประหลาดใจเล็กน้อย“ตาของนางเป็นอะไร?”ภัยอันตรายใกล้เข้ามา ลั่วชิงยวนรีบก้าวเบี่ยงตัวหลบแล้วชักกระบี่ขึ้นมารับกระบี่ของหล่างชิ่น ทั้งสองถอยห่างจากกันลั่วชิงยวนมองหล่างชิ่นด้วยแววตาเย็นชา เป็นนางจริง ๆหล่างชิ่นยังมิยอมแพ้ ตามมาถึงแคว้นหลี ความพยายามนี้ช่างมิธรรมดาเลยหล่างชิ่นจ้องมองลั่วชิงยวนด้วยความเกลียดชัง “วันนี้เจ้าหนีมิพ้นแน่!”“ถึงแม้ว่าข้าจะฆ่าเจ้ามิได้ ข้าก็จะดูพวกมันฉีกเจ้าเป็นชิ้น ๆ!”หล่างชิ่นทุ่มสุดตัว โจมตีลั่วชิงยวนอีกครั้งจิตสังหารแผ่ซ่านพร้อมที่จะตายลั่วชิงยวนหรี่ตาลง มิหลบแม้แต่น้อย จิตสังหารพัดปอยผมและชายกระโปรงของนาง“คุกเข่า!”เสียงใสที่แฝงไปด้วยความโกรธดังกึกก้องไปทั่วถนนเสวียนอู่
นางเดินไปที่รถม้า แล้วเข้าไปนั่ง“เข้าวัง”ในขณะที่นั่งลงนั้นราวกับว่านางกำลังนั่งลงบนบัลลังก์ หาใช่รถม้าไม่โฉวสือชีมองร่างบอบบางนั้นด้วยแววตาที่ลุกโชน นางช่างดูสูงส่งและมีอำนาจรถม้าค่อย ๆ ออกเดินทางตรงเข้าวังหลวงผู้คนบนถนนลุกขึ้น มิเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเพียงแต่ในใจของพวกเขาไม่มีความแค้นและความเกลียดชังอีกต่อไป“แยกย้ายกันเถิด”ผู้คนแยกย้ายกันไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นสิบวายร้ายต่างตกตะลึง หงไห่มิรู้ว่าจะเก็บมีดในมือไว้ที่ใด“สถานการณ์นี้มันอะไรกัน! คนพวกนี้ใจเสาะเสียไม่มี ยอมแพ้ง่าย ๆ เช่นนี้เลยน่ะรึ” หงไห่กล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูกโฉวสือชีกลับหัวเราะเบา ๆ “พวกเราเลือกถูกคนแล้ว”หงไห่มิเข้าใจ พลันถามต่อ “พวกเรามิตามเข้าวังหรือ?”“มิจำเป็น ไม่มีใครทำร้ายนางได้” โฉวสือชีมองไปในระยะไกลแล้วพาทุกคนออกจากถนนเสวียนอู่มินานถนนเสวียนอู่ก็กลับมาเป็นปกติ แต่คนที่แอบดูอยู่กลับยังคงตกตะลึงมิหาย มิสามารถดึงสติกลับมาได้สำหรับฉินอี้แล้ว เขามิแปลกใจ นั่นเป็นความสามารถของนักบวชหญิงทุกยุคทุกสมัยแต่นักบวชหญิงได้รับความเคารพนับถือ ผู้คนต่างเชื่อฟังและทำตามคำสั่งของนักบวชหญิงลั่วชิง
ของประดับบนตู้ ม้วนตำราที่เปิดอยู่บนโต๊ะ ยังคงเหมือนกับตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่ก่อนจะตายเพียงแต่ประตูและหน้าต่างปิดสนิท ทำให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยนางเปิดหน้าต่างแล้วไปนั่งลงบนเตียงพลางมองภาพวาดอาวุธในม้วนตำราตอนนั้นนางดูสิ่งนี้ก็เพื่อเลือกอาวุธที่เหมาะมือตำรายังคงเปิดค้างอยู่หน้านี้แม้แต่ลมก็มิเคยพัดพลิกหน้ากระดาษเลยหรือ?ความรู้สึกนี้ทำให้นางรู้สึกราวกับกลับไปยังวันนั้น ชั่วขณะนั้น ประหนึ่งว่าเวลามิเคยผ่านไปมินาน นางกำนัลก็นำอาภรณ์และของใช้ต่าง ๆ มาให้ลั่วชิงยวนจัดวางสิ่งของตามความเคยชิน แล้วจึงออกจากห้องไปเมื่อออกไปก็เห็นเฉินชีเขาเดินเข้ามาด้วยท่าทีกอดอก “อาเหลาสมกับเป็นอาเหลาจริง ๆ”ลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ ด้วยความประหม่า แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่าเรียกข้าว่าอาเหลาอีก”ตอนนี้นางยังมิอยากให้ใครรู้ว่านางคือนักบวชหญิงคนก่อนที่ตายไปแล้วเนื่องจากยังมิพบตัวคนที่สังหารนาง จึงมิอาจเปิดเผยได้“ก็ได้ เช่นนั้นจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไร? ชิงยวนรึ? ข้ามิชอบเลย” เฉินชีครุ่นคิดลั่วชิงยวนมองเขาอย่างใจเย็น “ตามใจเจ้า”นางเดินจากไปเฉินชีเดินตาม “เช่นนั้นก็เรียกเจ้าว่าอาเห
แต่เขามิได้อยากฆ่าลั่วชิงยวน คนที่มีความสามารถเช่นนี้ หากสามารถใช้งานได้ก็สามารถลบล้างคำครหาที่ว่าเขามีพรสวรรค์ธรรมดาได้เก่งกาจด้วยตัวเองอาจจะมิได้ยิ่งใหญ่เสมอไปทว่าหากสามารถปราบคนที่เก่งกว่าสิบเท่า ร้อยเท่าได้ นั่นแหละที่น่าเกรงขาม!เหมือนกับลั่วชิงยวน!“ได้ ข้าจะหาวิธี” ฉินอี้ตอบรับอย่างใจเย็น......เพื่อหายา ลั่วชิงยวนจึงพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมในเมืองหลวงหลายวันแล้วให้สิบวายร้ายไปตามหาบัวถวายตามโรงหมอและร้านโอสถแต่สุดท้ายก็มิพบโฉวสือชีกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้สมุนไพรชนิดนี้หาได้มิยาก แต่ช่วงนี้มิรู้ว่าเป็นอะไร หาบัวถวายมิได้เลย”“ตามหาไปทั่วก็ไม่มีใครมี จะขโมยก็ไม่มีที่ให้ขโมย”โฉวสือชีรู้สึกจนปัญญาเป็นครั้งแรกลั่วชิงยวนมีสีหน้าเคร่งขรึม เหตุใดจู่ ๆ บัวถวายจึงหายากขึ้นมา“ถามโรงหมอและร้านโอสถหรือยังว่าเมื่อใดจะมีมาขาย?”โฉวสือชีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถามแล้ว แต่พวกเขาก็บอกว่าไม่มี มิรู้ว่าเมื่อใดจะมี”“แต่ข้าดูแล้ว ตอนนี้คงจะหายาก”“ถึงมี ก็คงไม่มีใครยอมขาย”ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะไอออกมา “แค่กแค่กแค่กแค่ก...”“ดูเหมือนว่าร่างกายของเจ้าจะแย่ลงแล้ว” โฉวสือชีมองนางด
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน