หากมิใช่เพราะเสียงที่ดึงดูดความสนใจ เพียงอาภรณ์สีเรียบชุดนี้ คงไม่มีใครนึกถึงหลิวฮุ่ยเซียง ลั่วอวิ๋นสี่และเว่ยอวิ๋นเซี๋ยเองก็กลับมาแล้ว นั่งอยู่เบื้องซ้ายของนางพอดี เมื่อลั่วอวิ๋นสี่นั่งลง ก็จ้องจิกไปทางหลิวฮุ่ยเซียงเคือง ๆ “หาเรื่องพี่หลิวเข้า เจ้าจงรอขายขี้หน้าเถิด!” “ไม่รู้ว่าเหตุใดตอนนั้นท่านปู่ต้องยอมรับเจ้าเป็นหลานสาวด้วย ขายหน้าตัวเจ้าเองยังว่าไป อย่ามาเดือดร้อนถึงตระกูลข้า! ชื่อเสียงของจวนมหาราชครูดีมาโดยตลอด รอบนี้คงได้พังในมือเจ้าจริง ๆ!” ลั่วอวิ๋นสี่มิเข้าใจปู่และแม่ของตน กระทั่งพี่สาวยังชอบลั่วชิงยวนเช่นนี้ ทำไมกัน? นางธรรมดาทั้งหน้าตาและความสามารถ หนำซ้ำยังใช้วิธีต่ำทรามจึงได้มาเป็นพระชายาอีก มิน่าพูดถึงเสียจริง! ลั่วอวิ๋นสี่เกลียดลั่วชิงยวนมาก บัดนี้ นางยิ่งรังเกียจมากขึ้นไปใหญ่ ลั่วชิงยวนส่งเสียงหัวเราะเย็น ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงมิใส่ใจ “หากเจ้ามิพูด ไม่มีใครโยงข้าหาท่านมหาราชครูเสียหรอก” “เจ้า!” ลั่วอวิ๋นสี่จ้องนางอย่างกริ้วโกรธ เวลานี้เอง หลิวฮุ่ยเซียงมองมาทางลั่วชิงยวน พร้อมเอ่ย “พระชายายังจำคำสัญญาของเราได้ใช่หรือไม่?” ลั่วชิงยวนเริ่มหมดความอดทน “จำ
“เดิมพันสักตั้ง รอดูว่าเมื่อเขาเห็นภาพนี้ จะตอบสนองเช่นไร หากมีโอกาส เจ้าคงได้เจอเขา” สิ้นเสียง เวินซีหลานตกใจเป็นอย่างมาก และรู้สึกซาบซึ้ง “ขอบคุณท่าน!” นางเองก็ไม่คิด ในช่วงสำคัญของการแข่งขัน ลั่วชิงยวนจะยังคิดถึงเรื่องของนางอยู่ เห็นได้เลยว่า ลั่วชิงยวนอยากช่วยนางจากใจจริง นางรู้สึกซาบซึ้งยิ่ง! …… ที่ที่คนเยอะ ก็ต้องมีการแข่งขัน และมีการพนัน ด้านนอกได้มีเสียงตะโกนส่งมา ต่างพนันว่าลั่วชิงยวนจะแพ้หรือชนะ เดิมทีเสียงมิได้มากมายเช่นนี้ แต่เพราะการมาถึงของอ๋องสำเร็จราชการ จึงดึงดูดผู้คนมากมายเข้ามาดู “ข้าพนันหลิวฮุ่ยเซียง!” “ข้าก็พนันหลุยฮุ่ยเซียง!” “ข้าพนันสามตำลึง!” ด้านนอกครึกครื้นเป็นที่สุด แต่ตั้งนานลั่วชิงยวนก็มิได้ยินเสียงเรียกชื่อนาง นัยน์ตาของนางกะพริบแววเงินทอง ทนมิได้แล้ว นางยกมือ จากนั้นเปิดแผ่นกั้นออก ทุกคนต่างฉงน ธูปหนึ่งดอกยังไม่ทันหมด ลั่วชิงยวนจะยอมแพ้แล้วงั้นหรือ? ใครจะคิด ลั่วชิงยวนกลับยื่นหัวมองไปทางฟู่เฉินหวน “ท่านอ๋อง หม่อมฉันขอยืมเงินหนึ่งร้อยตำลึง!” คิ้วของฟู่เฉินหวนขมวดแน่น นางผู้นี้ทำบ้ากระไรอีก?! ฝ่ามือของฟู่เฉินหวนมีเหงื่อไห
ร่างของเวินซีหลานถูกดูดเข้าไปในภาพวาด หลังจากนั้นภาพคนงามผืนนี้ จึงมีชีวิตขึ้นมา เมื่อขี้เถ้าธูปร่วงจนหมด เถ้าแก่ตะโกนขึ้นเสียงสูง “หมดเวลาธูป! ท่านทั้งสองโปรดวางพู่กัน!” จากนั้นมีคนใช้สองคนเดินเข้าฉากกั้น ปิดชื่อผู้วาดโดยแผ่นกระดาษ ม้วนภาพและเดินออกจากฉากกั้น เมื่อเดินออกจากฉากกั้น หลิวฮุ่ยเซียงท่าทีได้ใจ และมั่นใจเป็นที่สุด ลั่วอวิ๋นสี่ปรบมืออย่างตื่นเต้น “พี่หลิวสุดยอดยิ่ง!” ลั่วชิงยวนกระตุกมุมปากยิ้มอ่อน “ผลยังไม่ทันออกเลย เจ้าก็ดีใจเช่นนี้เสียแล้วรึ” แม้ผลจะยังไม่ประกาศ แต่ทุกคนเชื่อว่าหลิวฮุ่ยเซียงจะชนะอย่างไม่ต้องสงสัย ที่รอตอนนี้ แค่ผลตัดสินก็เท่านั้น ไม่นานนัก คนใช้ในหอเริงรมย์จึงกางภาพทั้งสองออก เดินผ่านหน้าทุกโต๊ะ และหยุดพักครู่หนึ่ง ด้านข้างมีคนใช้อีกสองคนที่ถือกระบอกไผ่ เพื่อให้แขกในงานออกเสียงลงคะแนน เมื่อภาพทั้งสองถูกกางออก ในหอเริงรมย์มีแต่เสียงตะลึงดังขึ้น “ใบหน้างดงาม สายตาหยาดเยิ้ม เหตุใดข้าดูแล้วเหมือนสาวงามในภาพกำลังส่งยิ้มให้ข้า” คุณชายคนหนึ่งจ้องภาพอึ้ง ๆ คุณชายด้านข้างก็ตื่นเต้นอย่างควบคุมไม่ได้ “ข้าเองก็รู้สึก! คนในภาพราวกับมีชีวิตจริง ๆ
หลิวฮุ่ยเซียงมองแท่งไม้เพียงหนึ่งเดียวในกระบอกไผ่ หัวเราะเยาะขึ้นอย่างอดมิได้ “พระชายา ผลแพ้ชนะได้ถูกตัดสินแล้ว เจ้าอย่าโกงล่ะ” ลั่วชิงยวนส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ “ผลยังมิทันประกาศเลย คุณหนูหลิวอย่ารีบดีใจนัก” เถ้าแก่และคนใช้มายืนคั่นกลาง พร้อมเอ่ย “ผลคะแนนทุกท่านคงเห็นกันแล้ว ผู้ชนะ คือภาพผืนนี้! ตอนนี้เราจะประกาศผู้วาดของภาพผืนนี้!” ภาพวาดถูกกางออกอย่างเด็ดขาด ภาพวาดสาวงามแสนเสมือนจริงปรากฏในสายตาผู้คน บัดนี้หลิวฮุ่ยเซียงยังคงจดจ้องไปทางลั่วชิงยวนอย่างได้ใจ รอยยิ้มมุมปากของลั่วชิงยวนชัดเจนมากยิ่งขึ้น ได้ยินเพียงเถ้าแก่เอ่ย… “ภาพสาวงามที่ชนะในวันนี้ มีชื่อว่าซีหลาน! ผู้วาดคือ…” ทุกคนรอผลประกาศกันอย่างสงบนิ่ง ในสมองดังเป็นชื่อหลิวฮุ่ยเซียงกันอย่างมิได้นัดหมาย แต่แล้ว ชื่อที่ได้ยินต่อจากนี้ กลับทำสีหน้าพวกเขาเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน “พระชายาอ๋อง! ลั่วชิงยวน!” โครม สายฟ้าใหญ่ผ่ากลางสมองหลิวฮุ่ยเซียง ในอากาศอบอวลไปด้วยความเงียบสงัด คำพูดของเถ้าแก่ ทำทุกคนในหอเริงรมย์ตะลึง แต่พวกเขามองเถ้าแก่ดึงกระดาษปิดชื่อออกกับตา ชื่อที่เขียนบนภาพสาวงามหยดย้อยนั้น คือคำว่าลั่วชิงย
“แท่งไม้แท่งนั้น ท่านอ๋องเป็นคนวาง! เห็นได้ชัดว่า กระทั่งท่านอ๋องยังมิเชื่อในความสามารถในการวาดรูปของเจ้า! เจ้าจะวาดภาพคนงามผืนนี้ออกมาได้อเยี่ยงไร!” “อย่าว่าแต่คนอื่นเลย พวกเขาต่างก็คิดว่าข้าเป็นคนวาด! เจ้าจะวาดออกมาได้เยี่ยงไรกัน!” หลิวฮุ่ยเซียงรนจนกระทืบเท้า นางมิเชื่อว่าลั่วชิงยวนจะมีความสามารถนี้! สายตาของฟู่เฉินหวนมืดครึ้มลง เขากำลังจะเอ่ยปาก ลั่วชิงยวนกลับกระตุกยิ้มและกล่าวขึ้นก่อน “คุณหนูหลิงช่างประเมินตนสูงจริง ๆ ท่านอ๋องลงคะแนนกระบอกนั้น มิได้หมายความว่าจะลงคะแนนให้ข้า!” “แต่เพราะท่านอ๋องเชื่อในทักษะการวาดภาพของข้า และเห็นว่ามิมีคนให้คะแนนคุณหนูหลิว ท่านกลัวว่าคุณหนูหลิวจะเสียหน้า จึงให้คุณหนูหลิวด้วยความเมตตา!” “เหตุใดคุณหนูหลิวจึงมิสำนึกในความกรุณาของท่านกัน?” ลั่วชิงยวนพูดถามอย่างหนักใจ ทำสีหน้าของหลิวฮุ่ยเซียงซีดขาวขึ้นมาในทันที คนรอบ ๆ ที่ได้ยินต่างซุบซิบขึ้นมาเช่นกัน “จริงด้วย ข้าก็ว่าท่านอ๋องสำเร็จราชการสายตาไม่ดีงั้นหรือ ที่แท้เพราะเห็นมิมีคนให้คะแนน จึงให้เพื่อไว้หน้าหลิวฮุ่ยเซียง” “แต่เพียงแท่งเดียว ก็มิดีไปกว่ากระบอกไผ่ว่างเปล่านัก” ยังคงน่าอั
“หากคุณหนูหลิวจะโกงจริง ๆ ข้าก็คงทำอะไรท่านมิได้ แต่อย่างน้อยก็ควรหาเหตุผลดี ๆ มาใส่ร้ายข้า” พูดจบ หลิวฮุ่ยเซียงขาอ่อน ล้มพับลงพื้นอย่างรุนแรง ลั่วอวิ๋นสี่ตกใจ รีบขึ้นไปพยุงอย่างร้อนรน “พี่หลิว!” หลิวฮุ่ยเซียงราวกับวิญญาณถูกชักออกจากร่าง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ร่างกายก็สั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ รอบด้านดังเป็นเสียงซุบซิบ แต่เพราะหลิวฮุ่ยเซียงเป็นฝ่ายพูดถึงเวินซีหลานขึ้นมาก่อน ในมุมจึงมีคนเอ่ยปากพูดขึ้นเสียงเบา “ข้านึกออกแล้ว ฮูหยินก่อนหน้านี้ของฉินไป๋หลี่ ชื่อเวินซีหลาน” “แต่เวินซีหลานหนีไปกับชายอื่น หลิวฮุ่ยเซียงจึงขึ้นเป็นฮูหยินเอก หากเช่นนี้ นางจะขานเวินซีหลานว่าพี่ก็มิผิด” สิ้นประโยคนี้ จึงมีคนถามขึ้นอย่างสงสัย “หนีไปกับชายอื่นหรือ? แต่ในฝันของลั่วชิงยวนบอกนางถูกคนไม่ดีใส่ร้ายมิใช่หรือ” มุมปากของลั่วชิงยวนเผยเป็นรอยยิ้มที่สังเกตเห็นได้ยากขึ้น เป้าหมายของนางสำเร็จแล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่า หลังจากที่เวินซีหลานเกิดเรื่อง จนถูกป้ายร้ายว่าหนีไปกับชายอื่นด้วย ใครจะรู้ นางและลูกชายถูกคร่าชีวิต คุมขังอยู่ในภาพวาดและรับความทรมานจากไฟกล้าอย่างไร้ที่สิ้นสุด นางถ
“ข้าผิดไปแล้ว! ข้าขอขออภัย หวังว่าพระชายาจะมิถือสา และให้อภัยข้าเถิด!” สิ้นประโยคนี้ หลิวฮุ่ยเซียงแทบอยากจะเอาหัวโขกกำแพงตาย! นางกัดฟันมองลั่วชิงยวนอย่างคับแค้น! หากแค้นนี้มิชำระ นางก็อย่าเป็นคนเสียเลย! ท้ายที่สุดนางก็คุกเข่าโขกหัวคำนับขอการอภัย ในใจลั่วชิงยวนรู้สึกสะใจเป็นที่สุด จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้แทบขาดใจของเวินซีหลาน “คุณหนูหลิวพูดจริงทำจริง” “ดังเช่นระเบียบของหอเริงรมย์ ความแค้นระหว่างเราถือว่าจบสิ้นลงแล้ว! หากหลังจากนี้คุณหนูหลิวมาหาเรื่องข้าอีก จะถือเป็นการหาเรื่องตำหนักอ๋องสำเร็จราชการ!” แววตาลั่วชิงยวนกะพริบ เห็นได้ชัดว่านางมองสิ่งที่หลิวฮุ่ยเซียงคิดในใจออก พูดจบยังมองไปทางฟู่เฉินหวนที่นั่งนิ่งอยู่อีกด้าน “ใช่หรือไม่เพคะท่านอ๋อง?“ ฟู่เฉินหวนมองลั่วชิงยวน มุมปากเขาเผยรอยยิ้มลึกซึ้ง ในใจของเขาสั่นคลอนเบา ๆ นางผู้นี้ช่างมิยอมคนเสียจริง แต่เขาก็ยังพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว “เช่นนั้นแล” เมื่อได้สติว่าตนพูดอะไรออกจากปากไป กระทั่งตัวฟู่เฉินหวนเองยังมิอยากจะเชื่อ เขาจึงกล่าวตามน้ำต่อ “ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหอเริงรมย์วันนี้ จบลงในหอเริงรมย์ ที่คุณหนูหลิวดูหมิ
“ใช่ เจ้าควรคืนตำลึงแก่พวกข้า!” ”คืนเงินพวกข้า!” หลิวฮุ่ยเซียงถูกประชาชนประท้วงคืนเงิน นางรู้สึกอับอายจนอยากจะหาซอกดินมุดลงไปฉับพลัน เงินหนึ่งกล่องใหญ่ ๆ ถูกยกมาวางหน้าอ๋องสำเร็จราชการ “ท่านอ๋อง นี่คือเงินที่ท่านชนะพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่เฉินหวนยังมิทันรับ ลั่วชิงยวนก็ตัดหน้าเสียก่อน นางกระตุกมุมปาก “ขอบใจยิ่ง!” คนใช้ผู้นั้นเผยยิ้ม “พวกข้ามากกว่าที่ควรขอบคุณพระชายา!” พูดจบก็วิ่งออกไปทันที การพนันด้านนอก แท้จริงก็จัดขึ้นโดยหอเริงรมย์ นี่เป็นหนึ่งในวิธีหาเงิน และขยายชื่อเสียงเพื่อเรียกลูกค้าของพวกเขา “ลั่วชิงยวน” จู่ ๆ เสียงทุ้มต่ำของฟู่เฉินหวนดังขึ้นเบื้องหลัง แฝงความไม่พอใจเล็กน้อย แต่กลับมิได้โมโหจริง ลั่วชิงยวนหันร่าง สบเข้ากับดวงตาลึกซึ้งคู่นั้นของฟู่เฉินหวน นางกระตุกมุมปาก “ท่านอ๋อง หม่อมฉันบอกไปแล้วว่ายืม จึงถือว่าหม่อมฉันเป็นคนพนันเงิน มิใช่ท่าน!” เงินอยู่ในมือนางแล้ว ใครก็อย่าคิดแย่งไปทั้งนั้น “อีกอย่าง ท่านคงมิถือสาเงินเล็กน้อยแค่นี้กับหม่อมฉันใช่หรือไม่?” ฟู่เฉินหวนไขว้มือไว้ด้านหลัง หัวเราะเสียงต่ำทีหนึ่ง “เงินแค่นี้รึ?” ตรงหน้าอย่างน้อย ๆ ก็เป็นหมื่นตำลึงเ
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน