เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ลั่วอวิ๋นสี่ก็โมโหมากเสียจนกระทืบเท้าเดินจากไปหลังจากทุกคนจากไปแล้ว ซูโหยวก็รีบสั่งทหารยามให้ไล่ชาวบ้านที่มามุงอยู่ไปฟู่เฉินหวนมองลั่วชิงยวนสายตาลึกล้ำและตะลึงมาก การที่สามารถนิ่งสงบได้ทั้งที่โดนแม่ทัพใหญ่ฉินตั้งคำถามคาดคั้นอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องที่สตรีทั่วไปทำได้ วันนี้ลั่วชิงยวนน่าประทับใจยิ่งตอนนั้นเองลั่วขิงยวนประทับใจกับฉากที่เห็นภายในประตูตำหนักอ๋องเวินซีหลานอุ้มลูกชายของนางที่กำลังร้องไห้เสียงดังไว้“ท่านพ่อไปแล้ว… ท่านแม่ ท่านพ่อไม่ต้องการพวกเราอีกแล้ว…”เวินซีหลานดวงตาแดงก่ำและมีน้ำตาเอ่อคลอ นางปลอบบุตร “ไม่หรอก ท่านพ่อของเจ้ามิใช่ไม่ต้องการพวกเรา เขาก็แค่มองไม่เห็นพวกเราเท่านั้น”เด็กน้อยยิ่งร้องไห้หนักขึ้น “หากว่าเขาต้องการตามหาพวกเราจริง ไยเขาถึงได้พกของมีประกายเช่นนั้น? เขาไม่อยากให้พวกเราเข้าใกล้”“ท่านแม่ ท่านคิดว่าท่านพ่ออยากจะมีลูกกับสตรีคนนั้นแล้วไม่ต้องการเราอีกแล้วหรือไม่ ท่านปู่เองก็ไม่ต้องการพวกเราเหมือนกัน…”ฉินเยี่ยนเอ๋อร์ร้องไห้อย่างเศร้าโศก เขารู้สึกปวดใจมากใช่แล้ว หากฉินไป๋หลี่ไม่ได้พกยันต์นั่น เวินซีหลานและบุตรชายของนางก็ส
นางเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ลั่วชิงยวนโดนหลิงฮุ่ยเซียงว่าร้าย ข่าวลือพวกนั้นจะทำให้สถานการณ์ของลั่วชิงยวนยิ่งยากลำบากนางนั้นซาบซึ้งกับความช่วยเหลือของลั่วชิงยวนมาก และนางก็ไม่อยากจะลากลั่วชิงยวนให้เดือดร้อนเพราะเรื่องของตนลั่วชิงยวนตกใจเมื่อจู่ ๆ เวินซีหลานก็พูดออกมาเช่นนั้น “อะไรนะ? เท่านี้หรือ? เจ้าไม่ต้องการพบฉินไป๋หลี่แล้วหรือ?”เวินซีหลานสะอื้นและบอกว่า “มันไม่มีประโยชน์ หากว่าเขาเห็นข้าแล้วจะเป็นเช่นไร? อย่างมากเขาก็เพียงทอดทิ้งหลิวฮุ่ยเซียง นางเป็นบุตรสาวของเจ้ากรม จึงเป็นไปมิได้ที่เขาจะฆ่านางล้างแค้นให้ข้า”“ส่วนเราแม่ลูก ก็ยังต้องแยกจากเขาเพราะความต่างของหยินและหยาง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนย้อนกลับไปแก้ไขมิได้แล้ว”“วันนี้ท่านล่วงเกินแม่ทัพฉิน ต่อไปชีวิตของท่านต้องยากลำบากแน่ ข้าไม่อยากทำให้ท่านต้องเดือดร้อน”“ข้าจะพาลูกจากไปจากที่นี่”เวินซีหลานคิดเรื่องนี้มาแล้ว นางไม่อยากอยู่พัวพันต่อไปแต่ลั่วชิงยวนนิ่วหน้าและบอกว่า “ไม่ เจ้ายอมแพ้ไม่ได้”“เจ้ารู้สึกหมดหวังหลังจากที่ได้เห็นเรื่องวันนี้ แต่ข้ากลับเห็นว่ามันจะเป็นจุดเปลี่ยน เจ้าเชื่อข้าเถอะ เพียงแค่ต้องอดทนรอเท่
หลิวฮุ่ยเซียงรู้สึกยินดีมากที่ได้เห็นเช่นนั้น และนางหวังว่าแม่ทัพฉินจะไม่ปล่อยลั่วชิงยวนไปง่าย ๆ“ท่านพ่อ” ฉินไป๋หลี่รีบตามไปเมื่อหลิวฮุ่ยเซียงอยากจะตามไปด้วย ฉินไป๋หลี่ก็ลั่งให้คนกักนางเอาไว้ในจวนฉินไป๋หลี่ไม่อาจห้ามปรามบิดาของตนไม่ให้ไปที่ตำหนักอ๋องได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงติดตามไป……ที่ตำหนักอ๋องลั่วเยวี่ยอิงเพิ่งได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นนอกตำหนักวันนี้เมื่อได้ยินนางก็ยินดีมาก “ดูเหมือนว่าลั่วชิงยวนจะล่วงเกินจวนแม่ทัพฉินแล้ว แม้ว่านางจะได้รับความชื่นชอบของท่านมหาราชครู แต่นางก็ล่วงเกินท่านแม่ทัพฉิน ต่อไปชีวิตของนางคงไม่ง่ายแล้ว”ลั่วเยวี่ยอิงกล่าว นางหลุบตาลงคิดก่อนจะยิ้มบาง “เหมือนว่าข้าต้องหาโอกาสให้อวิ๋นสี่พาข้าไปพบแม่นางหลิวสักหน่อย”“ศัตรูของศัตรูคือมิตร”ตอนนั้นเองนางรับใช้ก็วิ่งเข้ามารายงาน “แม่ทัพใหญ่ฉินกลับมาอีกแล้วเจ้าค่ะ”ลั่วเยวี่ยอิงตาเป็นประกาย “เขากลับมาที่นี่เพื่อจัดการกับลั่วชิงยวนงั้นรึ? ถ้าแบบนั้นข้าจะพลาดโอกาสชมเรื่องดี ๆ เช่นนี้ไม่ได้แล้ว”…แม่ทัพฉินมาอยู่ที่หน้าตำหนักอ๋องอีกครั้งข่าวนี้ทำให้ฟู่เฉินหวนเปลี่ยนสีหน้า “แม่ทัพฉินต้องการจักทำกระไ
เขายกแขนขึ้นและโค้งคำนับลั่วชิงยวนอย่างเคร่งขรึมตอนนั้นม่านตาฟู่เฉินหวนก็หรี่แคบลงลั่วเยวี่ยอิงสีหน้าแข็งค้าง นางไม่เข้าใจว่าทำไมประกายวาววับฉายพาดผ่านดวงตาของลั่วชิงยวน ดูเหมือนว่าแม่ทัพฉินจะรู้ข่าวเกี่ยวกับคุณชายใหญ่ฉินแล้วแต่นางไม่คิดว่าแม่ทัพฉินจะมาหานางเร็วเช่นนี้และเขาจะทำความเคารพนางเต็มพิธีการ“ข้ามาเพื่อขออภัยพระชายาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น”แม้แต่ฉินไป๋หลี่เองก็ตกตะลึง “ท่านพ่อ นี่ท่านไม่ได้มาเพื่อ…”ฉินชิงไห่จ้องเขาเขม็ง “คิดว่าบิดาของเจ้าเป็นคนไม่รู้แยกแยะถูกผิดเหรอ?”สารรายงานเรื่องสงครามบอกว่า ฉินเซียนหลี่นั้นเกิดเรื่องมาหลายวันแล้วและยังไม่รู้ข่าวคราว หากว่าเป็นเพราะคำสาปของลั่วชิงยวน ก็ต้องใช้เวลาหลายวันในการสาปถึงจะส่งผลถึงวันนี้แล้วเรื่องนี้จะเกิดขึ้นก่อนที่ลั่วชิงยวนจะสาปได้อย่างไรนี่ก็หมายความได้เพียงว่า ลั่วชิงยวนนั้นพูดถูกนางมีความสามารถจริง ๆดังนั้นเขาจึงรีบมาขออภัยลั่วเยวี่ยอิงตะลึงงันและอดไม่ได้ที่จะบอกว่า “แม่ทัพใหญ่ฉิน ท่านเป็นผู้อาวุโส เหตุใดท่าน…”ท่านถึงได้คำนับลั่วชิงยวนนี่มันไม่มีเหตุผลเลยแม่ทัพใหญ่ฉินพูดอย่างหมดความอดทน “น
ลั่วชิงยวนหันหลังเดินกลับเรือน นางคิดว่าแม่ทัพฉินนั้นเป็นคนรู้จักยืดหยุ่นหนักเบานักไม่กี่อึดใจก่อน เขายังถามนางอย่างเกรี้ยวกราดอยู่นอกประตูตำหนัก ไม่นานเขาก็กลับมาขอโทษนางเมื่อกลับมาที่เรือน เวินซีหลานก็รีบมาหาข้างกายนางพร้อมฉินเยี่ยนเอ๋อร์ นางถามอย่างร้อนใจว่า “แม่ทัพฉินมาที่นี่หรือเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า นางหยิบม้วนภาพเล็ก ๆ ออกมาและบอกว่า “เจ้าเข้าไปก่อน แล้วตามข้าไปที่จวนตระกูลฉินทีหลัง”แม่ลูกคู่นั้นต่างก็พากันตื่นเต้นและรีบเข้าไปในม้วนภาพของลั่วชิงยวนทันที ลั่วชิงยวนม้วมภาพและเก็บไว้ในแขนเสื้อจากนั้นนางก็เริ่มเตรียมการแน่นอนว่าภายในหนึ่งชั่วยาม แม่ทัพใหญ่ฉินก็มาหานางด้วยตัวเอง และฉินไป๋หลี่เองก็ตามมาเหมือนเช่นเคยแต่ครั้งนี้พวกเขามาอย่างเอิกเกริกกว่าครั้งก่อน รถม้าสองคันจากจวนแม่ทัพฉินมาจอดอยู่ด้านนอกตำหนักอ๋อง ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายแม่ทัพฉินพูดอย่างตื่นเต้นว่า “จวนถูกทำความสะอาดแล้ว เชิญพระชายา”ฟู่เฉินหวนนิ่วหน้า เขาไพล่มือไว้ด้านหลังและกำลังจะเอ่ยปากลั่วชิงยวนรับคำ “ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”เมื่อพูดจบนางก็หันมามองฟู่เฉินหวน “ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะรับอาหา
”ค่าตอบแทนคือกระไร?” แม่ทัพฉินถามอย่างกังวลลั่วชิงยวนพูดอย่างตรงไปตรงมา “นี่คือชะตาของฉินเชียนหลี่ หากข้าจะหาตำแหน่งที่ชัดเจนของเขา ข้าต้องการเลือดของญาติสนิทของเขา นี่อันตรายมาก”การหาตัวฉินเชียนหลี่เป็นงานหนัก และงานหนักนี้ก็อันตรายมากแม่ทัพฉินตะลึงไปเมื่อได้ยินเช่นนี้และเขากำลังจะเอ่ยปากทันใดนั้นก็มีเสียงหนักแน่นดังขึ้น “ข้าเอง”ทั้งสองพากันตะลึงก่อนหันไปมองเห็นฉินไป๋หลี่เดินเข้ามารวดเร็วเขาบอกว่า “เอาเลือดจากหัวใจข้าไปได้”แม่ทัพฉินตกใจมาก “ไม่ได้ นี่เป็นเรื่องอันตรายมาก และมันเป็นหน้าที่ข้า ข้านั้นขาก้าวลงหลุมไปครึ่งหนึ่งแล้ว แม้จะมีเรื่องเกิดขึ้นกับข้า ข้าก็อยู่มานานพอแล้ว”แต่ฉินไป๋หลี่เถียงทันทีว่า “ท่านพ่อ ท่านเป็นเสนาบดีคนสำคัญของวังหลวง แคว้นนี้ต้องการท่าน ราษฎรเองก็ต้องการท่าน ให้ข้าคนที่ไร้ค่าทำเรื่องที่เป็นประโยชน์เถอะ”“ไป๋หลี่” แม่ทัพฉินตกใจมากฉินไป๋หลี่มองลั่วชิงยวนอย่างมุ่งมั่น “เอาของข้าไป”ลั่วชิงยวนเตือนเขา “ชะตาของฉินเชียนหลี่มีเคราะห์ร้าย แม้ว่าเขาจะรอดหายนะคราวนี้มาได้ ก็จะมีครั้งต่อ ๆ ไปอีก”“ครั้งนี้ข้าช่วยท่านช่วยชีวิตเขา นี่คือการกระทำที่จะเ
ฉินไป๋หลี่กระอักเลือดออกมาอึกใหญ่ ภาพตรงหน้าทำหลิวฮุ่ยเซียงตกใจ เข็มที่ดึงออกมาได้ครึ่งหนึ่งค้างอยู่กลางอากาศ “ไป๋หลี่! ไป๋หลี่เจ้าเป็นอะไรไป? อย่าทำข้าตกใจสิ!” หลิวฮุ่ยเซียงลนลาน ลั่วชิงยวนผลักหลิวฮุ่ยเซียงออกทันที นางนั่งลง ดึงเข็มออกอย่างระมัดระวัง และกล่าวอย่างโกรธเคือง “เจ้าโง่! เจ้ารู้หรือไม่การที่เจ้าทำเช่นนี้จะทำฉินไป๋หลี่ตาย!” ขั้นตอนที่อันตรายเช่นนี้ หลิวฮุ่ยเซียงกลับดึงเข็มโดยมิคำนึงถึงสิ่งใด เข็มนี้ทั้งเล็กทั้งยาว หากลืมยั้งแรงบนมือจะโดนเส้นเลือดใหญ่ทันที! ซึ่งอาจเสียชีวิตได้! หลิวฮุ่ยเซียงนิ่งอยู่กับที่ สีหน้าของนางว้าวุ่น เมื่อได้สติจึงกล่าวโต้แย้ง “เจ้าต่างหาก! เจ้าเป็นคนทำ!” เวลานี้เอง ในที่สุดด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าส่งมา แม่ทัพใหญ่ฉินรู้จากคนใช้ว่าหลิวฮุ่ยเซียงวิ่งมาที่นี่ หนำซ้ำยังทำร้ายคนใช้ไปสองคน เขาจึงมาที่นี่อย่างขุ่นเคือง แต่ยังคงมาช้าไปก้าวหนึ่ง เขามองฉินไป๋หลี่ที่เลือดไหลกองตรงมุมปาก รู้สึกพิโรธเป็นอย่างมาก “ใครให้เจ้าเข้ามากัน!” แม่ทัพใหญ่ฉินถามหลิวฮุ่ยเซียงด้วยโทสะ หลิวฮุ่ยเซียงกลัวจนร่างสั่นคลอน นางเอ่ยพูดเสียงเบา “ท่านพ่อ… ท่านให้ลั่วชิง
แม่ทัพใหญ่ฉินห้ามปรามมิได้ เพราะหลิวฮุ่ยเซียงเชิญพ่อของนางมา เจ้ากรมหลิวเดินเข้าห้อง เห็นฉินไป๋หลี่บาดเจ็บหนักเช่นนี้ หน้าของเขาถอดสี และตะครุบขึ้นไปอย่างร้อนรน “ลูกเขย เหตุใดเจ้าจึงเป็นเช่นนี้ได้? ผู้ใดทำร้ายเจ้ากัน?!” ส่วนหลิวฮุ่ยเซียงตะครุบที่เตียงและร้องโฮ “สามีของข้า! ท่านจะเป็นอะไรไปมิได้เด็ดขาด หากท่านเกิดเรื่อง ข้าจะทำเช่นไร…” แม่ทัพใหญ่ฉินปวดหัวเป็นที่สุด เขาติเสียงเย็น “เลิกโวยวาย! จะร้องก็ออกไปร้องด้านนอก!” เจ้ากรมหลิวกลับดึงแม่ทัพใหญ่ฉินไว้ “ท่านจะพูดเช่นนี้มิได้ ไป๋หลี่เป็นลูกชายแท้ ๆ ของท่าน ท่านทนเห็นเขาถูกคนไม่ดีทำร้ายกับตาของท่านเองได้อย่างไร!” “ล้่วชิงยวนอยู่ไหน? วันนี้ข้าจักถามนางให้ชัดเจนเอง!” เจ้ากรมหลิวรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก แม่ทัพใหญ่ฉินเองก็เกือบจะปะทุโทสะเช่นกัน เวลานี้เอง นอกประตูมีเสียงเย็นชาดังขึ้น “ข้าอยู่นี่ ท่านมีอะไรจะถามข้ากัน?” แม่ทัพใหญ่ฉินเห็นนางเดินออกมา เขาเกร็งขึ้นมาในทันที “พระชายา เรื่องนี้…” ลั่วชิงยวนเช็ดเหงื่อยางบนหน้าผาก และโยนแผนที่ให้เขา แม่ทัพใหญ่ฉินเปิดออกและมองสัญลักษณ์ด้านบนทีหนึ่ง ดีใจขึ้นมาทันตาเห็น เขารีบวิ่งออกไ
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน