ผู้ช่วยในร้านเดินออกมาต้อนรับ “แม่นาง ท่านมาซื้อหรือมาขายของกันหรือขอรับ?” ลั่วชิงยวนสำรวจทั้งหอมหาสมบัติอย่างกังวลใจ “ข้ามาหาคน” พูดจบนางก็วิ่งขึ้นชั้นบนในทันที คนใช้ตะลึง วิ่งไปห้ามในทันที “แม่นาง ชั้นบนไปมิได้ขอรับ!” เสินหลีกดร่างผู้ช่วยไว้ และเผยป้ายบนเอว คนใช้ผู้นั้นตกใจร่างสั่นคลอน และมิกล้าห้ามอีก พลังวิญญาณของลูกแก้วหงส์เพลิงนั้นค่อนข้างรุนแรง ทั้งหอมหาสมบัติสามารถรับรู้ได้ทั่ว ที่น่าดีใจคือ นางมิได้หาผิดที่ แต่ที่น่าร้อนใจคือ หอนี้อบอวลไปด้วยพลังวิญญาณของลูกแก้วหงส์เพลิง มิสามารถรู้แน่ชัดได้ว่าอยู่ห้องไหน ลั่วชิงยวนทำได้เพียงบุกรุกทีละห้อง เพื่อตามหาลูกแก้วหงส์เพลิง ทำผู้คนมิน้อยขึ้งโกรธ แต่เมื่อเสินหลีแสดงป้าย ผู้ที่ลุกพรวดอย่างโกรธเคือง ต่างนั่งลงอย่างหมดน้ำโห หอมหาสมบัตินั้นใหญ่มาก เรียกได้ว่าแทบจะตรงตามชื่อหอ ของสะสมทั้งหอ มีมากมายเป็นหมื่น ๆ ชิ้น ทุกครั้งที่ผลักประตู มือของลั่วชิงยวนจะมีความเจ็บปวดรุนแรงส่งมา แต่ในใจของนางร้อนรน คิดถึงเพียงแค่ลูกแก้วหงส์เพลิง มิรู้ว่าประตูบานที่เท่าไร วินาทีที่ประตูถูกเปิดออก ของที่ประกายแสงจ้าบนโต๊ะ ดึงดูดสายต
ลั่วชิงยวนมองไปทางลั่วไห่ผิงอย่างตะลึง เขาก็มาเพื่อลูกแก้วหงส์เพลิง! เขารู้ได้อย่างไรว่าอยู่ที่นี่? เขาสะกดรอยตามนาง! จู่ ๆ สันหลังของลั่วชิงยวนก็เย็นวาบขึ้นมา หลังนางออกจากวังนางก็มาที่นี่ในทันที ลั่วไห่ผิงมาเร็วเช่นนี้ นอกเสียจากเขาสั่งคนจ้องอยู่หน้าประตูวังตลอด เมื่อเห็นนางออกจากวังจึงตามมา! ลั่วไห่ผิงคิดจะทำสิ่งใด? “มิเกี่ยวกับท่าน!” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนเย็นชา และกอดกล่องแพรไว้แน่น “ส่งมา!”ลั่วไห่ผิงยื่นมือแย่งชิง เสินหลีขึ้นหน้ากล่าว “ท่านอัครมหาเสนาบดี พระชายาได้รับพระราชบัญชาจากฝ่าบาท!” เสินหลีย่อมมิมีทางลงมือกับท่านอัครมหาเสนาบดีแน่ แต่เขาสามารถเอ่ยตักเตือนได้ แต่ลั่วไห่ผิงกลับมิไว้หน้าแต่นิด เขาตอบเสียงเยือก “ลูกแก้วหงส์เพลิงหาย ข้าเองก็มีส่วนรับผิดชอบมาก! ตรวจสอบมาหลายวัน จนสืบพบที่อยู่ของลูกแก้วเมื่อครู่! ข้าจักนำลูกแก้วหงส์เพลิงไปรับโทษเอง!” สิ้นประโยค ลั่วไห่ผิงจับมือที่กำลังบาดเจ็บอยู่ของลั่วไห่ผิงขึ้น นางเจ็บปวดจนเลือดสดไหลพราก อยากจะสลัดออกแต่กลับไม่มีแรงต่อต้าน ความเจ็บปวดอันมากล้นทำหน้าผากของนางซึมออกมาเป็นเม็ดเหงื่อ ลั่วไห่ผิงแย่งชิงกล่อง
ลูกแก้วหงส์เพลิงนี้มิใช่ลั่วชิงยวนหากลับได้พร้อมกับเสินหลีหรือ? เกี่ยวอะไรกับลั่วไห่ผิงกัน? เพียงแต่คำพูดของเขากลับตรงข้าม “ท่านอัครมหาเสนาบดีสามารถตามหาลูกแก้วหงส์เพลิงของจริงกลับมาได้ ถือเป็นการพิสูจน์แล้วว่า ท่านอ๋องผู้สำเร็จราขการมิใช่ผู้ชั่วร้าย ที่บรรพบุรุษราชวงศ์นั้นมิยอมรับ!” “แต่มีผู้บังอาจมาแตะต้องเสาหงส์เพลิงในหอบรรพบุรุษเพื่อใส่ร้ายอ๋องผู้สำเร็จราชการ บังอาจนัก!” น้ำเสียงของจักรพรรดิกริ้วโกรธ “ผู้ใดลักลูกแก้วหงส์เพลิงไป?” บัดนี้ ลั่วไห่ผิงกลับเอ่ยตอบ “เมื่อกระหม่อมหาลูกแก้วหงส์เพลิงเจอ กระหม่อมพบกับคนสามคนพอดีพ่ะย่ะค่ะ” “แต่ผู้ใดเป็นคนลักลูกแก้วไปนั้น กระหม่อมมิทราบ” สามคนนั้น ก็คือลั่วชิงยวนและสองคนนั้นที่เจรจากันในหอมหาสมบัติ ขุนนางระดับสูงโดยรอบซุบซิบเสียงเบา เรื่องการลักลูกแก้วหงส์เพลิงนั้นจะเกี่ยวกับลั่วชิงยวนอีกหรือไม่? ท่านอัครมหาเสนาบดีช่างเที่ยงตรงเสียจริง กระทั่งลั่วชิงยวนยังจับตัวมาในตำหนัก หรือลูกแก้วหงส์เพลิงนี้ ลั่วชิงยวนจะเป็นผู้ขโมยจริง ๆ? ฟู่จิ่งหานย่อมรู้ดีว่าลั่วชิงยวนบริสุทธิ์ แต่เขากลับมิรู้รายละเอียด จึงเอ่ยถาม“พระชายาอ๋อง เจ้าอ
บุตรชายคนโตของแม่ทัพฟ่านหรือ?จักรพรรดิเองก็ตะลึง “บุตรคนโตของจวนแม่ทัพติ้งหย่วนหรือ?”เสียงกังวลของชายหนุ่มค่อย ๆ ดังขึ้น “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นบุตรคนเอกของจวนแม่ทัพติ้งหย่วน ฟ่านซานเหอ”สิ้นประโยคนี้ หัวใจลั่วชิงยวนหมดลมหายใจไปพักหนึ่งเหตุใดจึงเป็นเขาได้!สามีของลั่วหลางหลาง!วันแต่งงาน แม้นางจะไปดื่มเหล้ามงคลเช่นกัน แต่คนมากเกิน นางจึงไปเจอเพียงลั่วหลางหลางโดยส่วนตัว และมิเคยเห็นสามีของลั่วหลางหลางมาก่อน!เขาคือฟ่านซานเหองั้นหรือ?ฟ่านซานเหอเข้ามาเกี่ยวโยงกับเรื่องนี้ได้อย่างไร?ลั่วชิงยวนคิดย้อนอย่างละเอียด เหตุใดลั่วไห่ผิงจึงถึงหอมหาสมบัติอย่างทันเวลา เขารู้ได้อย่างไรว่านางกำลังตามหาลูกแก้วหงส์เพลิง?และฟ่านซานเหอก็ถือลูกแก้วหงส์เพลิงขายให้กับหอมหาสมบัติอย่างบังเอิญบางทีทั้งหมดนี้อาจเป็นแผนการอยู่แล้วหรือเรื่องที่นางจะตามหาลูกแก้วหงส์เพลิง เล็ดลอดและทำพวกเขาแตกตื่นเสียนานแล้ว?แม้เช้านี้นางจะพบไทเฮา แต่นางก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าลูกแก้วหงส์เพลิงอยู่ที่หอมหาสมบัติก่อนที่จะพบไทเฮาดังนั้นเป็นก่อนหน้านั้นก่อนฟ้าจะสว่าง!สมองของนางราวกับจะระเบิดออก ร่างกายที่อ่อนเพลีย
รถม้าสั่นสะเทือน ฟู่เฉินหวนมองคนที่สลบในอ้อมอก ยื่นมือไปถอดหน้ากากของนางอย่างอดมิได้ใบหน้าของนาง บาดเจ็บหนักเพียงไหนกันแต่สัมผัสบนใบหน้า ทำลั่วชิงยวนป้องกันตัวโดยสัญชาตญาณ และจับมือเขาไว้แน่นทันทีฟู่เฉินหวนตะลึงเล็กน้อย มองดูนางที่ดวงตายังหลับพริ้ม ส่วนมือที่จับเขาไว้ ผ้าพันแผลถูกย้อมไปด้วยเลือดสด แต่นางราวกับรับรู้มิถึงความเจ็บปวด จับมือของเขาไว้แน่นต้องเป็นบาดแผลที่หนักเช่นไหน จึงทำให้นางที่สลบอยู่ยังระแวงเช่นนี้ เพราะกลัวคนจะเห็นใบหน้าของนางหน้าอกของฟู่เฉินหวนราวกับถูกหินก้อนยักษ์ทับไว้ จนเขาหายใจไม่ออกหรือที่ผ่านมาเขาเข้าใจนางผิดมาโดยตลอด เข้าใจผิดว่านางเป็นคนที่ตระกูลเหยียนส่งมาสอดแนมหรือจะเป็นอย่างที่ซูโหยวกล่าว ตระกูลเหยียนเพียงกำลังหลอกใช้นางหากเป็นเช่นนั้น คงทำร้ายนางมากเกินไปจริง ๆ เขากำมือไว้แน่น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความซับซ้อนฟู่เฉินหวนกลับตำหนัก ทันทีที่รถม้ามาถึง ซูโหยวและจือเฉาก็ออกไปต้อนรับทันที“เร็วเข้า! เรียกหมอกู้มา!”ฟู่เฉินหวนอุ้มลั่วชิงยวนลงจากรถม้า มุ่งไปห้องนางก้าวไวไม่นานนัก หมอกู้ก็มาถึงเขาแกะผ้าพันแผลบนมือของลั่วชิงยวนออก มือของนางเลือด
“มีผู้หนึ่งต้องช่วยพระชายาได้แน่!”จือเฉาลนลาน จนลืมซ่งเชียนฉู่ไป!นางลุกขึ้นเช็ดน้ำตา “แม่นมเติ้ง แม่นางซ่งเชี่ยวชาญวิชาแพทย์ เครื่องยาสมุนไพรก็มากหลาย นางต้องช่วยพระชายาได้แน่ แต่จะให้นางเข้าตำหนักอย่างไร?”“เช่นนี้ เจ้าออกตำหนักไปตามซูโหยว บอกซูโหยวว่าเครื่องยาสมุนไพรอยู่ที่ใด ให้ซูโหยวพาแม่นางซ่งเข้ามา แต่เจ้าต้องฉลาดหน่อย อย่าให้ซูโหยวรู้ตัว”“ห้ามทำตัวตนของพระชายาความแตกเด็ดขาด”ได้ยินดังนี้ จือเฉาพยักหน้า “เจ้าค่ะ บ่าวจักไปประเดี๋ยวนี้!”หลังเหล่าหมอหลวงทายาให้ท่านอ๋องเสร็จ หมอกู้ก็ส่งเขาออกไปทันทีมองฟู่เฉินหวนบนเตียงทีหนึ่ง หมอกู้ก็หันเดินออกจากไปเช่นกันฟู่เฉินหวนที่นอนอยู่บนเตียงพึมพำบางอย่างด้วยความสะลึมสะลือ จู่ ๆ เขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเขาฝืนลุกขึ้นนั่ง ใส่อาภรณ์และหนึ่งมือดันผนังห้องเดินออกจากห้องด้วยสีหน้าซีดเผือด เซียวซูเดินขึ้นหน้า “ท่านอ๋อง บาดแผลของท่าน…”“มิต้องยุ่ง” น้ำเสียงฟู่เฉินหวนไม่พอใจ และเดินออกจากเรือนไปในทันทีฟู่เฉินหวนกดหน้าอกไว้ ข่มความเจ็บปวดแรงกล้าจากบาดแผล ควบม้า และมุ่งไปทางตรอกฉางเล่อเมื่อฟู่เฉินหวนมาถึงในร้าน ทำซ่งเชียนฉู่ตกใจเป็นอย
จือเฉาเองก็มิเข้าใจ นางมิรู้ว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงมาก่อน“แม่นางซ่ง! เซียนฉู่อยู่หรือไม่?” ฟู่เฉินหวนยังไม่ยอมเลิกพยายาม“เขามิอยู่ เขาไปทำพิธีให้ผู้อื่นที่ชนบท” ซ่งเชียนฉู่อ้างไปมั่ว“พวกเจ้าทุกคนต่างมาขอเครื่องยาสมุนไพร ต้องเป็นอาการสาหัสเช่นไหนกัน!”ตั้งแต่วินาทีที่เห็นจือเฉาปรากฏ ซ่งเชียนฉู่ก็เริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากลจือเฉารีบขึ้นหน้าคุกเข่า “ท่านหมอ โปรดช่วยพระชายาด้วย นางกำลังสิ้นชีพจริง ๆ แล้ว!”ได้ยินเช่นนี้ ลมหายใจของซ่งเชียนฉู่กระตุกลั่วชิงยวนหรือ?เมื่อครู่ให้ตายอย่างไรนางก็มิยอมให้เครื่องยาสมุนไพรแก่ฟู่เฉินหวน บัดนี้หากนางเปลี่ยนกะทันหันจะแปลกไปหรือเปล่า?“เครื่องยาสมุนไพรของข้ามีไม่มากจริง ๆ! บางอย่างข้าต้องใช้ด้วย! พวกเจ้าต้องการโอสถใด ข้าขอดูก่อนว่ามีมากน้อยเท่าใด”ได้ยินดังนี้ ซูโหยวรีบนำเทียบยาออกมา “นี่ขอรับ”มองดูเทียบยา ซ่งเชียนฉู่ตะลึง “พวกท่านจักเอาหมดนี่เลยรึ! พวกนี้ต่างเป็นเครื่องยาสมุนไพรหายาก!””เพียงแต่มิขัดกับโอสถที่ข้าต้องการใช้ ก็ได้ ข้าจักไปกับพวกท่าน!”ได้ยินดังนี้ ฟู่เฉินหวนถอนหายใจโล่งอกซูโหยวจัดการสั่งรถม้าซ่งเชียนฉู่รีบห
ลั่วชิงยวนฝืนยันร่างลุกขึ้นนั่ง “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”แม่นมเติ้งเห็นว่านางตื่นมาก็ชะงักเล็กน้อย และอึกอักที่จะเอ่ยปาก“พูดสิ!” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนไม่พอใจคิ้วของแม่นมเติ้งขมวดแน่น มีหน้าของนางโศกเศร้า “ท่านมหาราชครูลั่ว ปริดชีพตนเองเจ้าค่ะ!”สีหน้าของลั่วชิงยวนเปลี่ยนไปฉับพลัน ราวกับถูกฟ้าผ่า “ว่ากระไรนะ?”นางเปิดผ้าห่มออกลงจากเตียง สวมรองเท้าหยิบหน้ากากและวิ่งออกไปด้านนอกทันที จือเฉาถืออาภรณ์และผ้าคลุมวิ่งตามออกมา “พระชายาช้าหน่อยเจ้าค่ะ ด้านนอกหิมะตกอยู่!”วินาทีที่พุ่งตัวออกจากในห้อง เกล็ดหิมะร่วงโรยบนหลังคอนางและละลายกลายเป็นน้ำ ลมเหมันต์หนาวเข้ากระดูกราวกับจะพัดนางให้สลาย หิมะทั่วฟ้าดินก็เทียบความเหน็บหนาวในใจนางมิติดแต่นิดวิ่งออกจากประตูใหญ่ นางพบว่าด้านนอกมีรถม้าคันหนึ่งพอดีนางจึงรีบขึ้นรถม้า และเอ่ยสั่งบ่าวควบม้า “ไปจวนมหาราชครู!”เมื่อนั่งลง นางจึงเห็นฟู่เฉินหวนที่อยู่ด้านตรงข้ามสีหน้าของเขาเองก็ค่อนข้างซีดเผือด บนใบหน้าเต็มไปด้วยแววหนักอึ้งที่แท้เขามารออยู่ที่นี่ คิดว่าก็คงเพราะเพิ่งรู้เรื่องมหาราชครูเช่นกันรถม้าควบไปทางจวนมหาราชครูอย่างไว ใจของลั่วชิงยวนบีบร
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน