“ว่ากระไรนะ?” สีหน้าของลั่วชิงยวนเปลี่ยนไปฉับพลัน นางพยายามข่มเสียงตะลึงให้ต่ำลง แต่ก็ทำท่านอาฉินในห้องขังตื่นอยู่ดีเห็นท่านอาฉินพลิกตัว ลั่วชิงยวนจึงรีบจากไปในทันทีนางถามลิ่นฝูเสวี่ยเสียงต่ำ “เจ้าพูดจริงรึ? มิได้มองผิดไปใช่หรือไม่? นั่นไม่ใช่ถุงหอมรึ?”“ข้าใช้ถุงหอมใส่เงินแล้วมันแปลกอย่างไรกัน? แค่วิธีที่นางโลมมักใช้ เครื่องหอมที่ทุกคนใช้ต่างไม่เหมือนกัน สิ่งนี้มีไว้เพื่อให้อีกฝ่ายจดจำเราได้ดียิ่งขึ้น”ได้ยินดังนี้ ลั่วชิงยวนยันกำแพงไว้อย่างอดไม่ได้ คิ้วของนางขมวดแน่น “เช่นนั้นเงินของฉินเฟิง เจ้าเป็นคนให้เขาหรือ? เจ้าช่วยเขาเอาไว้รึ?”ลิ่นฝูเสวี่ยไตร่ตรอง “ข้าจำได้ราง ๆ ว่าเป็นเช่นนี้ แต่ข้าจำได้ไม่ชัดเจนนัก เพราะคนที่ข้าเคยช่วยไว้เยอะจะตายชัก”ลั่วชิงยวนตะลึง “หากเป็นเช่นนี้ อาฉินปลอมอ้างตัวตนของเจ้าหลอกใช้ฉินเฟิงหรือ?”“เจ้านี่นะ หว่านเสน่ห์ไว้ทั่ว!”คิดถึงคุณลุงร้านจัดงานศพที่ยังลืมลิ่นฝูเสวี่ยมิได้ลิ่นฝูเสวี่ยหัวเราะเบาทีหนึ่ง “แสดงให้เห็นได้เพียงเสน่ห์ของข้ามากล้น ชั่วชีวิตนี้ของข้ารักเพียงการร่ายรำ มิสนใจนุรุษใดแม้แต่นิด”“หากมิใช่เพราะไม่มีที่แสดงความสามารถของข้า ข
“ไม่ ข้ามิได้เป็นผู้ทำร้ายเจ้า ข้าเองก็ถูกผู้อื่นข่มขู่!”“เจ้าไปหาฝูว่านเจิง เขาเป็นคนซื้อข้า ให้ข้าวางยาในเตาเครื่องหอมของหอสมุทรมรกต!”“รถม้าทั้งหมดก็เป็นฝีมือของเขาหมดเลย”“เจ้าไปหาต้นเหตุเรื่องสิ!”อาฉินขอร้องอ้อนวอน สั่นคลอนไม่หยุดเพราะความกลัวลั่วชิงยวนตะลึง ฝูว่านเจิง?พ่อของฟูจ้าว ท่านเจ้ากรมกลาโหมลั่วชิงยวนหัวเราะเย็น “ตำแหน่งฝูว่านเจิงใหญ่เช่นนั้น ข้าเคยไปหาเรื่องเขาเมื่อใดกัน? เหตุใดเขาต้องทำหอสมุทรมรกตถึงตายด้วย?”“กลัวคนในหอสมุทรมรกตตาย ของทุกอย่างในนั้นถูกฝูเจิงเอาไปหมด”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย “หมายความว่า เขาได้ของที่เขาต้องการแล้วงั้นรึ?”อาฉินพยักหน้า และตอบเสียงสั่น “ใช่”ลั่วชิงยวนรู้สึกตะลึงในใจ สรุปว่าเพื่อของอะไรกัน จึงได้วางแผนสังหารชีวิตตั้งมากมายเช่นนั้นในหอสมุทรมรกตบัดนี้เอง ลั่วชิงยวนได้ยินเสียงฝีเท้าแม้ฉินเฟิงจะมีวรยุทธ แต่เขาโดนบทลงโทษจนบาดเจ็บหนัก ขาของเขาไม่สะดวก เสียงนั้นเข้าหูของลั่วชิงยวนอย่างชัดเจนนางมองอาฉินที่เสียสติไปแล้ว จึงรีบเอ่ยปากทันที “เจ้าสารภาพได้ชัดเจนเช่นนี้แล้ว เหตุใดมิสารภาพให้ชัดเจนกว่านี้อีกเล่า”“เรื่องระหว่า
ลั่วชิงยวนถอยหลังอย่างไม่รีบร้อน และเผยยิ้มเย็นๆ “ขอบคุณเจ้าที่ให้ความร่วมมือมากเช่นนี้”“ข้าสามารถไปรายงานให้แก่ท่านเหอแล้ว”“จวนตายอยู่แล้ว ก่อนตายมีสิ่งใดอยากพูดหรือไม่? เช่นทรัพย์สินส่วนตัว ก็ส่งออกมาให้หมดเสีย”อาฉินเป็นบ้า หน้าตาบิดเบี้ยวเพราะความโกรธเคือง พร้อมตะโกนด้วยอาการคลุ้มคลั่ง “ฝันไปเถอะ!”“เจ้าหลอกข้า! เจ้าล่อลวง มินับ! นับมิได้!”ลั่วชิงยวนมองนางนิ่ง ๆ ทีหนึ่ง “หากเจ้ายอมสารภาพดี ๆ จักลดหย่อนโทษเจ้าได้”“บัดนี้ เจ้าได้หมดคุณค่าแล้ว หลักฐานอยู่ครบ เจ้ารอตายอย่างสบายใจเถิด” ลั่วชิงยวนพูดจบ ก็หันร่างจากไปฉินเฟิงเหล่มองท่านอาฉินในห้องคุกทีหนึ่ง คิดจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง จากนั้นกัดฟันอย่างโกรธเคือง และหันร่างเดินตามลั่วชิงยวนก้าวไว“เมื่อครู่นาง มองเจ้าเป็นผู้ใดกัน?”ลั่วชิงยวนเอ่ยตอบอ่อน ๆ “ลิ่นฝูเสวี่ย”ฉินเฟิงตะลึง “เพราะงั้น ผู้ที่ช่วยข้าจริง ๆ คือลิ่นฝูเสวี่ยหรือ?”ลั่วชิงยวนชะงักฝีเท้าและมองเขาทีหนึ่ง “เจ้านี่มิฉลาดเสียจริง ถูกนางหลอกไปหลายสิบปี กระทั่งอยากไปตายแทนนาง เพื่อให้นางหลุดพ้นโทษ”“แต่เจ้าหารู้ไม่ นางคือผู้ทำให้ลิ่นฝูเสวี่ยต้องตาย”ได้ยินดังนี้
ฉินเฟิงฉงนและกล่าว “ข้าเพียงแค่อยากแก้แค้น ส่วนหอร่ำเมลัยจักมีหรือไม่นั้นข้ามิสน”ลั่วชิงยวนยิ้มเบาทีหนึ่ง “แก้แค้นหรือ? เจ้ายังทายมิออกเลยว่าศัตรูคือผู้ใด”ฉินเฟิงได้ยินแล้วจึงตะลึง เขากำหมัดไว้แน่น “หรือว่าเป็นตระกูลฝู”“ก็ยังมิได้โง่เช่นนั้น เพียงแค่ตอบสนองช้าไปหน่อย” ลั่วชิงยวนยักคิ้ว“ท่านอยากแก้แค้น เช่นนั้นทุกอย่างก็ต้องฟังข้า มิเช่นนั้น ข้าจักสังหารเจ้าก่อนที่ฝูจ้าวจักเจอเจ้า”“ข้ามิทำแผนเจ้าพังแน่!”ฉินเฟิงตะลึงเป็นอย่างมาก สตรีผู้นี้คือใครกันแน่ การปรากฏตัวของนาง เหมือนมาเพื่อแก้แค้นให้ลิ่นฝูเสวี่ยหรือนางเป็นศิษย์ของลิ่นฝูเสวี่ย? หรือบุตรสาว?คิดได้ดังนี้ ฉินเฟิงลุกขึ้นคุกเข่าลงข้างเดียว พูดด้วยน้ำเสียงเคารพและหนักแน่น “ข้า ฉินเฟิงขอสาบานกับฟ้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ชีวิตของข้าเป็นของแม่นางฝูเสวี่ย”“ข้าจักฟังคำสั่งของแม่นางฝูเสวี่ยเพียงผู้เดียว! แท้หัวหลุดออกจากบ่า หรือลุยทะเลไฟ ข้าก็มิเกี่ยง!”ลั่วชิงยวนชะงักไป และขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้คนผู้นี้ช่างรักลิ่นฝูเสวี่ยลึกล้ำเสียจริงบัดนี้ เสียงกล่าวเร่งของลิ่นฝูเสวี่ยดังขึ้น “รีบตกลงสิ เหม่อกระไรของท่าน”“ผู้นี้ ถ
อู๋อิ่งที่อยู่ตรงหน้าประตู ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยดาบ แม้จะใส่ยาห้ามเลือดแล้ว แต่แผลสดเหล่านั้นเต็มเกลื่อนบนใบหน้า!“เจ้า!” ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าพังโฉมตนเองหรือ?”อู๋อิ่งสวมใส่หน้ากากสีเงิน และเอ่ยเคารพ “เช่นนี้จึงคู่ควรกับชื่ออู๋อิ่ง”“ฉินเฟิงตายไปแล้ว อู๋อิ่งคำนับนายท่านขอรับ!”ในใจลั่วชิงยวนตะลึงเดิมทีเขาได้ใช้ชีวิตที่ไร้ซึ่งความกังวลแล้ว แต่กลับถูกหลอกลวงและหลอกใช้เป็นสิบปีเพื่อบุญคุณเพียงสิบตำลึงนั่นบัดนี้ ก็ส่งมอบครึ่งชีวิตที่เหลือให้ลั่วชิงยวนอีกเขาทำลายโฉม สวมใส่หน้ากาก กลายเป็นนักฆ่าที่ไร้ความรู้สึกโดนสิ้นเชิงในใจลั่วชิงยวนพร่ำขึ้นบางทีอาจจะเป็นเรื่องดีดีกว่าให้เขารับโทษแทนท่านอาฉินแล้วสิ้นชีพไป ถึงตายก็ยังไม่รู้ความจริง และไม่มีคนรู้ทุกสิ่งอย่างที่เขาทำเพื่อลิ่นฝูเสวี่ยบัดนี้ อย่างน้อยลิ่นฝูเสวี่ยก็เห็นในสายตา รู้ทุกสิ่งอย่างที่เขาทำ“ลุกขึ้นเถอะ”ลั่วชิงยวนให้เขาเข้าห้อง ปิดประตูห้องลงและเอ่ยถาม “เจ้าเจอคนของเจ้าหรือยัง? ลองใจแล้วหรือไม่? เชื่อได้หรือไม่?”อู๋อิ่งพยักหน้า “เชื่อได้หมดขอรับ! พวกเขามิรู้ว่าข้าอยู่ใต้บัญชาท่าน ต่อให
“เช่นนั้นท่านอ๋องเหมาหอฝูเสวี่ยครึ่งเดือน เพราะอยากได้สิ่งใดกัน?”เสียงของฟู่เฉินหวนเยือกเย็น “ให้ครึ่งเดือนนี้ของเจ้า ปรนนิบัติเพียงข้าคนเดียว!”ลั่วชิงยวนยิ้มเบาทีหนึ่ง “ได้สิ หากท่านอ๋องทรงมีกำลังเช่นนั้น ก็เสด็จมาทุกวันเถิดเพคะ”“หม่อมฉันอยากให้เสด็จมาเสียเหลือเกิน”นางกัดฟันพูดเสียงเข้มมุมปากของฟู่เฉินหวนกลับเผยเป็นรอยยิ้ม “ได้ เช่นนั้นก็รำเทพเหมันต์ก่อนเลย”บัดนี้ เสียงครึม ๆ ของลิ่นฝูเสวี่ยดังขึ้น “ท่านเซียนน้อย การจู๋จี๋ระหว่างสามีภรรยา ข้ามิเล่นด้วยล่ะ ท่านรำเองเถิด”พูดจบ ลิ่นฝูเสวี่ยจึงแอบออกจากห้องไปลั่วชิงยวนลุกขึ้น เดินไปกลางห้อง และเริ่มร่ายรำเทพเหมันต์แต่ฟู่เฉินหวนมองท่วงท่าร่ายรำ ที่แม้จะมิผิด แต่กลับมิมีกลิ่นอายเสน่ห์หา กระทั่งสายตายังมิเหมือนกันแต่นิด เมื่อร่ายรำต่อหน้าเขา นางมิใส่ใจเช่นนี้เลยหรือ!ฟู่เฉินหวนคิดถึงรำเทพเหมันต์ที่นางร่ายรำบนเวที เมื่อเทียบกับนางในตอนนี้ ตอนนั้นนางกำลังยั่วยวนอยู่เห็น ๆ มิใช่หรือ!มือที่ถือจอกเหล้าของเขา บีบแรงอย่างมิรู้ตัวและแล้วจอกเหล้าก็แตก เศษแก้วบาดฝ่ามือของเขา“นี่คือรำเทพเหมันต์หรือ!” น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนเย็น
ลั่วเยวี่ยอิง!ลั่วเยวี่ยอิงมาได้อย่างไรกันลั่วชิงยวนกำลังคิด ฟู่เฉินหวนกลับลุกพรวดออกไปในทันที นางฟุบล้มบนพื้นอย่างหมดแรง มิได้ตามออกไปได้ยินเพียงเสียงที่ฟู่เฉินหวนไล่บุรุษหนุ่มเหล่านั้นออกจากนั้นพาลั่วเยวี่ยอิงจากไปในที่สุดก็ไปเสียทีแต่ในใจของลั่วชิงยวน กลับยิ่งรู้สึกอึดอัด ในใจราวกับมีไฟกำลังแผดเผา เผาจนนางรู้สึกหงุดหงิดและรำคาญใจเวลานี้แม่เล้าเฉินเดินมาพอดี นางมองไปรอบ ๆ มิเห็นฟู่เฉินหวน จึงรีบขึ้นหน้าไปพยุงลั่วชิงยวนขึ้น “เกิดกระไรขึ้นเจ้าคะ”“ท่านอ๋องเล่า?”ลั่วชิงยวนนวดแขนที่ปวดเมื่อย พร้อมเอ่ยตอบ “ถามถึงท่านหาปะไร มีเรื่องหรือ?”แม่เล้าเฉินพูดด้วยน้ำเสียงลำบากใจแผ่วเบา “มิรู้เหตุไฉนคุณชายฝูเองก็มาเช่นกันเจ้าค่ะ!”“เขาบอกว่าอยากเจอท่าน”“แต่ท่านอ๋องสำเร็จราชการเหมาหอฝูเสวี่ยเราเป็นเวลาครึ่งเดือนแล้ว มิรู้ว่าท่านอ๋องถือสาที่ท่านไปเจอคุณชายฝูหรือไม่”ได้ยินดังนี้ แววตาของลั่วชิงยวนเยือกเย็นลง “ท่านอ๋องเสด็จกลับไปแล้ว เจ้าพาคุณชายฝูเข้ามาเถิด”แม่เล้าเฉินได้ยินจึงพยักหน้า “เจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าไปเชิญคุณชายฝูเข้ามา”ไม่นานนัก แม่เล้าจึงพาคุณชายฝูมา ลั่วชิงยวนทนความไ
ไม่นานนักลิ่นฝูเสวี่ยก็ร่ายรำขึ้นมา ลั่วชิงยวนรู้สึกตัวชัดเจนมากว่าตนเองกำลังทำสิ่งใด รู้แม้กระทั่งทุกท่วงท่าแม้ลิ่นฝูเสวี่ยจะเป็นผู้ควบคุมร่างกาย แต่ลั่วชิงยวนก็ต้องออกแรง เพียงแต่มิเหนื่อยเท่าเมื่อตนเองรำเองฝูจ้าวมองอย่างดื่มด่ำแต่แล้วไม้มีผู้ใดรู้ว่า บัดนี้ ฟู่เฉินหวนอยู่ที่หน้าประตู!เมื่อฟู่เฉินหวนเห็นลั่วชิงยวนที่กำลังร่ายรำให้ฝูจ้าวในห้อง เลือดในร่างเขาราวกับไหลย้อน โทสะแผดเผาขึ้นมาทันขวัญเมื่อครู่เขาให้นางร่ายไปเจ็ดแปดรอบ ก็มิได้รำเทพเหมันต์เช่นนี้ต่อหน้าเขารำออกมามิได้ แต่ต่อหน้าบุรุษอื่นแล้วได้งั้นหรือ?ฟู่เฉินหวนกำมือแน่นเขาก้าวเท้าเดินเข้าห้อง น้ำเสียงเยือกเย็นเต็มไปด้วยไอสังหาร “คุณชายฝูช่างมีอารมณ์สุนทรีย์เสียจริง”ฝูจ้าวกำลังหลงใหลในท่วงท่าร่ายรำอันงดงาม เมื่อได้ยินเสียงเขาเพิ่งได้สติ “ที่แท้ก็ท่านอ๋องสำเร็จราชการนี่เอง”ฝูจ้าวลุกขึ้นคำนับเล็กน้อยฟู่เฉินหวนมองกับแกล้มบนโต๊ะที่ยังไม่ได้เก็บลงไป เสียงของเขาเย็นยะเยือก “คุณชายฝูรู้หรือไม่ มีศัพท์ที่ชื่อว่าลำดับน่ะ”ได้ยินดังนี้ สีหน้าของฝูจ้าวย่ำแย่ “ท่านอ๋องทรงหมายถึง…”ฟู่เฉินหวนพูดขัดเสียงนิ่ง “ข้าเหม
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน