"ท่านอ๋องเกือบจะทรงขับไล่พระชายาออกจากตำหนัก มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้ยังโบยพระชายาไปยี่สิบไม้เพราะแม่บ้านเมิ่ง และอาการบาดเจ็บของนางก็ยังไม่หายดี กระหม่อมไม่คิดว่า พระชายาจะเป็นคนเลวร้ายอันใด อีกทั้งพระชายายังกำชับแม่นมเติ้งให้ดูแลนางรับใช้ทั้งสามคนเป็นพิเศษด้วย เพราะเกรงว่าพวกนางจะปลิดชีพตนเอง” "เมื่อคืนก่อนที่พวกนางปลิดชีพตนเอง ก็เป็นแม่นมเติ้งที่ไปทันเวลาพอดีพ่ะย่ะค่ะ" เมื่อก่อนซูโหยวอาจจะไม่เชื่อ ทว่ายามนี้ความจริงมาประดังอยู่ตรงหน้าตนแล้ว ความคิดเห็นที่เขามีต่อพระชายาผู้นี้จึงดีขึ้นมาก เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนี้ก็สะเทือนใจอยู่บ้าง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทนว่า "เจ้าพูดมากขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน! ข้าไปดูก็ได้!" ตอนที่เขากำลังจะออกไป เซียวชูก็เดินเข้ามาอีกครั้ง "ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ หลังจากไต่สวนหลิ่วจิ้นก็สารภาพออกมา กระหม่อมลองตรวจสอบโอสถที่ชุนเยวี่ยกินเข้าไปแล้ว มันเป็นโอสถที่หลิ่วจิ้นสั่งให้นางรับใช้ผู้มีหน้าที่ต้มโอสถต้มขึ้นมา สิ่งที่หวังม๋าจื้อพูดมาล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ! "แต่วันนี้ตอนที่ราษฎรมารวมกลุ่มประท้อง หลิ่วจิ้นก็หนีไปจากตำหนัก มีคนเห็นเขาหน
ทั้ง ๆ ที่บอกว่ารักเขา กระทั่งรีบร้อนที่จะแต่งเข้ามาในจวนตำหนักอ๋อง! ทว่าเขากลับไม่เคยเห็นสตรีผู้นี้มีรอยยิ้มมากมายขนาดนี้ต่อหน้าเขาเลย! ช่างน่าขันที่ตนหลงเชื่อนางเข้าจริง ๆ ! เขากำขวดโอสถในมือเอาไว้แน่น ดวงตาฉายแววเยียบเย็นแล้วหันหลังเดินกลับไป จือเฉาที่กำลังเตรียมจะยกชาเข้าไปในห้อง คาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นเงาร่างที่จากไป "นั่น! ท่านอ๋องนี่นา! แต่อีกฝ่ายกลับเดินจากไปด้วยฝีเท้ามั่นคงโดยไม่เหลียวหลังแม้แต่น้อย จือเฉารีบยกชามาที่ห้อง "พระชายาเจ้าคะ เมื่อสักครู่นี้ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะเสด็จมาหา แต่กลับเดินออกไปด้วยท่าทีขุ่นเคืองเสียแล้วเจ้าค่ะ" เมื่อฟู่อวิ๋นโจวได้ยินเช่นนี้ก็ตื่นตกใจอยู่บ้างแล้วสีหน้าของเขาก็ฉายแววกังวลใจ "คงจะเห็นข้าอยู่ที่นี่เป็นแน่ เช่นนั้นข้ากลับดีกว่า ข้าเกรงว่าเสด็จพี่จะเข้าใจผิด ประเดี๋ยวข้าจะไปอธิบายให้เสด็จพี่เข้าใจเอง" ฟู่อวิ๋นโจวลุกเร็วเกินไปเสียจนกระอักกระไอแรง ๆ ลั่วชิงยวนรีบเอ่ยขึ้นมาว่า "ไม่ต้องหรอกเพคะ ไม่ว่าท่านจะอธิบายอย่างไร ท่านอ๋องก็ไม่มีสีหน้าดี ๆ ให้หม่อมฉันหรอก" "ท่านผู้นี้เชื่อเฉพาะสิ่งที่ตนเห็นเท่านั้น" ลั่วชิงยวน ฟู่อวิ๋นโจวจึงเ
เห็นท่าทีดื้อรั้นเช่นนี้ของพระชายา แม่นมเติ้งแนะนำนางมิได้อีกต่อไป นางทาโอสถให้อีกฝ่ายอย่างตั้งใจลั่วชิงยวนนึกถึงองค์ชายห้า อดมิได้ที่จะถามว่า “องค์ชายห้าอยู่ตำหนักอ๋องตลอดรึ?"แม่นมเติ้งตอบว่า “องค์ชายห้าถูกจับเป็นตัวประกันที่ตำหนักอ๋องเจ้าค่ะ แม้ว่าจะมีการประกาศอย่างเปิดเผยว่า พระองค์ประทับรักษาพระวรกายอยู่ในตำหนัก และได้เชิญหมอเทวดามาเพื่อพระองค์ แต่อันที่จริงแล้วเป็นการควบคุมพระองค์ เพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของไทเฮา”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจเล็กน้อย อดมิได้ที่จะหันไปมองแม่นมเติ้ง “เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องพวกนี้?”แต่แม่นมเติ้งมองนางด้วยความประหลาดใจ “นี่คือสิ่งที่ทุกคนในเมืองหลวงรู้เจ้าค่ะ ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่มิกล้าติฉินนินทาอย่างโจ่งแจ้งเท่านั้น”ลั่วชิงยวนดูเหลือเชื่อ ทุกคนรู้ แต่นางกลับไม่รู้อะไรเลย!ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย!ลั่วชิงยวนคิดอย่างรอบคอบ พยายามกลั่นสิ่งสำคัญออกมาจากความทรงจำบ้างองค์ชายห้าฟู่อวิ๋นโจว และจักรพรรดิองค์ปัจจุบันต่างเกิดมาจากไทเฮา แต่ฟู่อวิ๋นโจวมิสมบูรณ์มาแต่กำเนิด อ่อนแอและขี้โรค ทันทีที่เกิดมาก็พ่ายแพ้ในการต่อส
ลั่วชิงยวนกำลังยันตัวลุกขึ้น ก็ได้ยินซูโหยวพูดว่า “เติ้งหมิงซูมีส่วนช่วยชุนเยวี่ย ปี้อวิ๋นและไป๋ถังอย่างมากในเรื่องนี้”“ตั้งแต่วันนี้ไป ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านในเรือนชั้นในของตำหนักอ๋อง อีกเดี๋ยวแม่บ้านเติ้งไปที่ฝ่ายบัญชีเพื่อรับกุญแจแม่บ้านได้เลย”พูดจบ ซูโหยวก็หันหลังกลับและจากไปลั่วชิงยวนชะงักทันทีแม่นมเติ้งก็ดูตกใจเช่นกัน ทุกคนตกใจและทำอะไรไม่ถูก นางได้เป็นแม่บ้าน?แม่บ้านเรือนชั้นใน?เป็นไปมิได้หรอก!ลั่วชิงยวนกำผ้าห่มไว้แน่น รู้สึกขมขื่นในใจอย่างอธิบายมิได้ ซูโหยวมาโดยเฉพาะ ที่จริงแล้วมันไม่เกี่ยวอะไรกับนางเลยฟู่เฉินหวนจงใจทำอย่างนั้นหรือ!แม่นมเติ้งกลับมามีสติ พูดอย่างลำบากใจว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นกับชุนเยวี่ยและพวกนาง ทั้งหมดเป็นคุณงามความดีของพระชายา จะให้ความดีความชอบกับหญิงชราอย่างหม่อมฉันได้อย่างไร? หม่อมฉันจะไปอธิบายเรื่องนี้กับท่านอ๋องเองเพคะ”ลั่วชิงยวนหยุดนางและพูดว่า “มิจำเป็นหรอก เขาจงใจทำ”แม่นมเติ้งลังเลและถามว่า “เป็นเพราะองค์ชายห้ามาที่นี่หรือไม่เพคะ?”ลั่วชิงยวนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “นี่น่าจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่ง แต่ก็มิใช่ทั้งหมด”“ในเมื่อเจ้าเป็
สุดท้ายก็เป็นแม่นมเติ้ง นำป้ายสัญลักษณ์แม่บ้านไปรับยาจากห้องโอสถ แต่ก็ทำได้เพียงเอาสมุนไพรทั่วไปบางชนิดมาเท่านั้น เครื่องยาสมุนไพรล้ำค่าที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บภายในนั้นมิสามารถได้มาจือเฉารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงท่าทีของท่านอ๋องอย่างชัดเจนหลังจากพักผ่อนมาทั้งวัน ลั่วชิงยวนแทบจะขยับตัวไม่ได้ แม้จะรู้สึกว่าร่างกายยังอ่อนแอ แต่ความเจ็บปวดก็ทุเลาลงมากแล้วช่วงเช้า นางยุ่งอยู่กับแม่บ้านเติ้ง จือเฉาและบ่าวรับใช้อีกสองสามคนอยู่ในเรือน“ย้ายปี่เซียะออกจากในน้ำนี้!” ลั่วชิงยวนมาที่ริมลำธารเล็ก ๆบ่าวรับใช้สองคนเข้าไปลองขยับดูและพูดว่า “มันหนักมากจนไม่ขยับเลยพะย่ะค่ะ”แม่นมเติ้งพูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าย้ายไม่ไหว ก็ไปเรียกคนมาช่วยเพิ่มสิ!"ทั้งสองพยักหน้า และไปเรียกคนมาช่วยการย้ายปี่เซียะออกจากในลำธารนี้ ยังได้แก้ไขรูปปั้นหินที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย พวกเขาก็ยุ่งทั้งวันโดยไม่ได้หยุดพัก ทั้งยังนำสิ่งของในเรือนส่วนใหญ่ที่ไม่ดีต่อฮวงจุ้ยทิ้งไปจนหมด หลายคนในตำหนักไม่รู้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่ จึงพาลคิดไปว่านางมีแม่นมเติ้งที่มีตำแหน่งแม่บ้านอยู่ข้างกาย จึงจงใจแสดงอำนาจในตำหนักเช่นนี้จิกหัว
ลั่วชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงดื้อรั้นว่า “ในเมื่อเป็นข้อตกลง หม่อมฉันได้แสดงความจริงใจของหม่อมฉันแล้ว ท่านอ๋องควรแสดงความจริงใจของพระองค์ด้วยหรือไม่? ไม่เช่นนั้นก็ทรงรีบเอาสมบัติของแม่หม่อมฉันให้หม่อมฉันเสียที อย่างน้อยพระองค์ก็ไปเอามันมาจากเยวี่ยอิงก่อนได้หรือไม่เพคะ?”“ท่านอ๋องเก็บไว้กับตัวเองก่อน หลังจากหม่อมฉันกำจัดอาคมชุมนุมปีศาจได้แล้ว ท่านอ๋องค่อยมอบของให้หม่อมฉันก็ย่อมได้เพคะ”ฟู่เฉินหวนมิได้ตอบ แต่สายตายังคงเย็นชาเช่นเคยลั่วชิงยวนสีหน้าจริงจังมากและพูดว่า “เมื่อข้อตกลงของเราจบลง ท่านอ๋องส่งหนังสือหย่าให้หม่อมฉันก็ได้! หม่อมฉันจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับพระองค์อีก!”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ มีแสงแวบขึ้นมาในแววตาของฟู่เฉินหวน มีความประหลาดใจเล็กน้อยซ่อนอยู่ในสายตานางเต็มใจให้เขาหย่ากับนางจริง ๆ อย่างนั้นหรือ? น่าขันนัก เหตุใดสมบัติของแม่นางจึงสำคัญมากเพียงนี้?หากเป็นเช่นนั้นแล เหตุใดถึงต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะแต่งงานแทนตั้งแต่แรก? นั่นทำลายแผนการทั้งหมดของเขา!สตรีผู้นี้เคยพูดอะไรจริงบ้างหรือไม่?ฟู่เฉินหวนมองด้วยความสงสัย ลั่วชิงยวนจึงระงับความโกรธ พยายามพูดกับเขาอย่างใจเย็น “ถ้าพระอ
นี่เป็นผลให้น้ำหนักตัวเพียงเพิ่มขึ้นแต่ไม่ลดลงจือเฉาช่วยนางแต่งตัว สีหน้าเคร่งขรึมและพูดว่า “เสื้อผ้าดูแน่นขึ้นอีกแล้ว จะทำเยี่ยงไรดี บางทีพระชายาอาจต้องกินให้น้อยลงหรือไม่เจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนพูดอย่างจริงจังว่า “สาวน้อยโง่เขลา ถ้ากินน้อยร่างกายก็จะไม่มีกำลัง บาดเจ็บแค่ไหนก็เข้มแข็งให้เหมือนวัว ดีกว่าอ่อนแอแล้วล้มลงด้วยหมัดของใคร เข้าใจหรือไม่?”“ดังนั้นเจ้าเองก็ควรกินให้มากขึ้นด้วย!”จือเฉาพยักหน้า กลับพูดอย่างเขินอายว่า “แต่พระชายาตัวอ้วนท้วน ก็มิได้แข็งแรงเหมือนวัวนี่เจ้าคะ”ลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พูดอย่างชอบธรรมว่า “อย่างน้อยข้าก็ดูแข็งแกร่งเหมือนวัว เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้แล้ว!”“เจ้าค่ะ”ใส่เสื้อผ้าเสร็จ ลั่วชิงยวนยืดเข็มขัดที่แน่นเล็กน้อยออก ก้าวออกไป วางแผนจะฝึกชี่กงที่ลานจวนแม่นมเติ้งรีบเดินเข้าไปในลานจวนแล้วพูดว่า “พระชายาเจ้าคะ องค์ชายห้าเสด็จมาเจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนเลิกคิ้ว รีบโบกมืออย่างเร็ว “ไม่พบ ๆ บอกเขาไปว่าข้ากำลังนอนอยู่!”นางหันหลังกลับและเข้าไปในเรือนใครจะรู้ว่าฟู่อวิ๋นโจวจะมาปรากฏตัวที่ทางเข้าเรือน บังเอิญเห็นสิ่งนี้เข้า จึงมิได้ก้า
ช่วงเวลาเดียวกันห้องตำราซูโหยวลังเลอยู่นาน ถึงจะเดินเข้าไปในห้องตำราและพูดว่า “ท่านอ๋อง บัดนี้องค์ชายห้าเสด็จไปพบพระชายาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนหยุดพลิกหนังสือชั่วคราว แล้วก็กลับมาเป็นปกติทันที สีหน้านิ่งเฉยและพูดว่า “นี่มันไม่ปกติ”พวกเขาเป็นพวกเดียวกันซูโหยวสีหน้าเคร่งขรึมและพูดว่า “องค์ชายห้าทรงมอบอาภรณ์เมฆสีทองหนึ่งชุดให้พระชายา ทรงตรัสว่าเป็นอาภรณ์งานฉลองไหว้พระจันทร์ในวังหลวงให้พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”ได้ยินเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วแต่ยังคงไม่พูดอะไร เพียงสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย“ท่านอ๋อง งานฉลองไหว้พระจันทร์ในวังหลวง ตามเหตุผลพระชายาก็จะต้องเข้าร่วมด้วย เมื่อถึงเวลารูปลักษณ์ของนางจะถูกผู้คนนินทาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ หากนางยังสวมอาภรณ์ที่องค์ชายห้าทรงมอบให้อีก มิรู้ว่าผู้คนจะหัวเราะเยาะท่านอ๋องลับหลังเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”“ในความเห็นของกระหม่อม ท่านอ๋องเป็นผู้ตระเตรียมอาภรณ์สำหรับงานฉลองไหว้พระจันทร์ในวังหลวง จะเป็นการเหมาะสมกว่าพ่ะย่ะค่ะ”ซูโหยววิเคราะห์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมถึงอย่างไรก็ยังเป็นพระชายาอ๋องด้วย มันไม่เหมาะที่องค์ชายห้าจะส่งเสื้อผ้าอาภรณ์มาให้ในกรณีนี้คิ้วขอ
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ