ทั้ง ๆ ที่บอกว่ารักเขา กระทั่งรีบร้อนที่จะแต่งเข้ามาในจวนตำหนักอ๋อง! ทว่าเขากลับไม่เคยเห็นสตรีผู้นี้มีรอยยิ้มมากมายขนาดนี้ต่อหน้าเขาเลย! ช่างน่าขันที่ตนหลงเชื่อนางเข้าจริง ๆ ! เขากำขวดโอสถในมือเอาไว้แน่น ดวงตาฉายแววเยียบเย็นแล้วหันหลังเดินกลับไป จือเฉาที่กำลังเตรียมจะยกชาเข้าไปในห้อง คาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นเงาร่างที่จากไป "นั่น! ท่านอ๋องนี่นา! แต่อีกฝ่ายกลับเดินจากไปด้วยฝีเท้ามั่นคงโดยไม่เหลียวหลังแม้แต่น้อย จือเฉารีบยกชามาที่ห้อง "พระชายาเจ้าคะ เมื่อสักครู่นี้ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะเสด็จมาหา แต่กลับเดินออกไปด้วยท่าทีขุ่นเคืองเสียแล้วเจ้าค่ะ" เมื่อฟู่อวิ๋นโจวได้ยินเช่นนี้ก็ตื่นตกใจอยู่บ้างแล้วสีหน้าของเขาก็ฉายแววกังวลใจ "คงจะเห็นข้าอยู่ที่นี่เป็นแน่ เช่นนั้นข้ากลับดีกว่า ข้าเกรงว่าเสด็จพี่จะเข้าใจผิด ประเดี๋ยวข้าจะไปอธิบายให้เสด็จพี่เข้าใจเอง" ฟู่อวิ๋นโจวลุกเร็วเกินไปเสียจนกระอักกระไอแรง ๆ ลั่วชิงยวนรีบเอ่ยขึ้นมาว่า "ไม่ต้องหรอกเพคะ ไม่ว่าท่านจะอธิบายอย่างไร ท่านอ๋องก็ไม่มีสีหน้าดี ๆ ให้หม่อมฉันหรอก" "ท่านผู้นี้เชื่อเฉพาะสิ่งที่ตนเห็นเท่านั้น" ลั่วชิงยวน ฟู่อวิ๋นโจวจึงเ
เห็นท่าทีดื้อรั้นเช่นนี้ของพระชายา แม่นมเติ้งแนะนำนางมิได้อีกต่อไป นางทาโอสถให้อีกฝ่ายอย่างตั้งใจลั่วชิงยวนนึกถึงองค์ชายห้า อดมิได้ที่จะถามว่า “องค์ชายห้าอยู่ตำหนักอ๋องตลอดรึ?"แม่นมเติ้งตอบว่า “องค์ชายห้าถูกจับเป็นตัวประกันที่ตำหนักอ๋องเจ้าค่ะ แม้ว่าจะมีการประกาศอย่างเปิดเผยว่า พระองค์ประทับรักษาพระวรกายอยู่ในตำหนัก และได้เชิญหมอเทวดามาเพื่อพระองค์ แต่อันที่จริงแล้วเป็นการควบคุมพระองค์ เพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของไทเฮา”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจเล็กน้อย อดมิได้ที่จะหันไปมองแม่นมเติ้ง “เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องพวกนี้?”แต่แม่นมเติ้งมองนางด้วยความประหลาดใจ “นี่คือสิ่งที่ทุกคนในเมืองหลวงรู้เจ้าค่ะ ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่มิกล้าติฉินนินทาอย่างโจ่งแจ้งเท่านั้น”ลั่วชิงยวนดูเหลือเชื่อ ทุกคนรู้ แต่นางกลับไม่รู้อะไรเลย!ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย!ลั่วชิงยวนคิดอย่างรอบคอบ พยายามกลั่นสิ่งสำคัญออกมาจากความทรงจำบ้างองค์ชายห้าฟู่อวิ๋นโจว และจักรพรรดิองค์ปัจจุบันต่างเกิดมาจากไทเฮา แต่ฟู่อวิ๋นโจวมิสมบูรณ์มาแต่กำเนิด อ่อนแอและขี้โรค ทันทีที่เกิดมาก็พ่ายแพ้ในการต่อส
ลั่วชิงยวนกำลังยันตัวลุกขึ้น ก็ได้ยินซูโหยวพูดว่า “เติ้งหมิงซูมีส่วนช่วยชุนเยวี่ย ปี้อวิ๋นและไป๋ถังอย่างมากในเรื่องนี้”“ตั้งแต่วันนี้ไป ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านในเรือนชั้นในของตำหนักอ๋อง อีกเดี๋ยวแม่บ้านเติ้งไปที่ฝ่ายบัญชีเพื่อรับกุญแจแม่บ้านได้เลย”พูดจบ ซูโหยวก็หันหลังกลับและจากไปลั่วชิงยวนชะงักทันทีแม่นมเติ้งก็ดูตกใจเช่นกัน ทุกคนตกใจและทำอะไรไม่ถูก นางได้เป็นแม่บ้าน?แม่บ้านเรือนชั้นใน?เป็นไปมิได้หรอก!ลั่วชิงยวนกำผ้าห่มไว้แน่น รู้สึกขมขื่นในใจอย่างอธิบายมิได้ ซูโหยวมาโดยเฉพาะ ที่จริงแล้วมันไม่เกี่ยวอะไรกับนางเลยฟู่เฉินหวนจงใจทำอย่างนั้นหรือ!แม่นมเติ้งกลับมามีสติ พูดอย่างลำบากใจว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นกับชุนเยวี่ยและพวกนาง ทั้งหมดเป็นคุณงามความดีของพระชายา จะให้ความดีความชอบกับหญิงชราอย่างหม่อมฉันได้อย่างไร? หม่อมฉันจะไปอธิบายเรื่องนี้กับท่านอ๋องเองเพคะ”ลั่วชิงยวนหยุดนางและพูดว่า “มิจำเป็นหรอก เขาจงใจทำ”แม่นมเติ้งลังเลและถามว่า “เป็นเพราะองค์ชายห้ามาที่นี่หรือไม่เพคะ?”ลั่วชิงยวนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “นี่น่าจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่ง แต่ก็มิใช่ทั้งหมด”“ในเมื่อเจ้าเป็
สุดท้ายก็เป็นแม่นมเติ้ง นำป้ายสัญลักษณ์แม่บ้านไปรับยาจากห้องโอสถ แต่ก็ทำได้เพียงเอาสมุนไพรทั่วไปบางชนิดมาเท่านั้น เครื่องยาสมุนไพรล้ำค่าที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บภายในนั้นมิสามารถได้มาจือเฉารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงท่าทีของท่านอ๋องอย่างชัดเจนหลังจากพักผ่อนมาทั้งวัน ลั่วชิงยวนแทบจะขยับตัวไม่ได้ แม้จะรู้สึกว่าร่างกายยังอ่อนแอ แต่ความเจ็บปวดก็ทุเลาลงมากแล้วช่วงเช้า นางยุ่งอยู่กับแม่บ้านเติ้ง จือเฉาและบ่าวรับใช้อีกสองสามคนอยู่ในเรือน“ย้ายปี่เซียะออกจากในน้ำนี้!” ลั่วชิงยวนมาที่ริมลำธารเล็ก ๆบ่าวรับใช้สองคนเข้าไปลองขยับดูและพูดว่า “มันหนักมากจนไม่ขยับเลยพะย่ะค่ะ”แม่นมเติ้งพูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าย้ายไม่ไหว ก็ไปเรียกคนมาช่วยเพิ่มสิ!"ทั้งสองพยักหน้า และไปเรียกคนมาช่วยการย้ายปี่เซียะออกจากในลำธารนี้ ยังได้แก้ไขรูปปั้นหินที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย พวกเขาก็ยุ่งทั้งวันโดยไม่ได้หยุดพัก ทั้งยังนำสิ่งของในเรือนส่วนใหญ่ที่ไม่ดีต่อฮวงจุ้ยทิ้งไปจนหมด หลายคนในตำหนักไม่รู้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่ จึงพาลคิดไปว่านางมีแม่นมเติ้งที่มีตำแหน่งแม่บ้านอยู่ข้างกาย จึงจงใจแสดงอำนาจในตำหนักเช่นนี้จิกหัว
ลั่วชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงดื้อรั้นว่า “ในเมื่อเป็นข้อตกลง หม่อมฉันได้แสดงความจริงใจของหม่อมฉันแล้ว ท่านอ๋องควรแสดงความจริงใจของพระองค์ด้วยหรือไม่? ไม่เช่นนั้นก็ทรงรีบเอาสมบัติของแม่หม่อมฉันให้หม่อมฉันเสียที อย่างน้อยพระองค์ก็ไปเอามันมาจากเยวี่ยอิงก่อนได้หรือไม่เพคะ?”“ท่านอ๋องเก็บไว้กับตัวเองก่อน หลังจากหม่อมฉันกำจัดอาคมชุมนุมปีศาจได้แล้ว ท่านอ๋องค่อยมอบของให้หม่อมฉันก็ย่อมได้เพคะ”ฟู่เฉินหวนมิได้ตอบ แต่สายตายังคงเย็นชาเช่นเคยลั่วชิงยวนสีหน้าจริงจังมากและพูดว่า “เมื่อข้อตกลงของเราจบลง ท่านอ๋องส่งหนังสือหย่าให้หม่อมฉันก็ได้! หม่อมฉันจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับพระองค์อีก!”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ มีแสงแวบขึ้นมาในแววตาของฟู่เฉินหวน มีความประหลาดใจเล็กน้อยซ่อนอยู่ในสายตานางเต็มใจให้เขาหย่ากับนางจริง ๆ อย่างนั้นหรือ? น่าขันนัก เหตุใดสมบัติของแม่นางจึงสำคัญมากเพียงนี้?หากเป็นเช่นนั้นแล เหตุใดถึงต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะแต่งงานแทนตั้งแต่แรก? นั่นทำลายแผนการทั้งหมดของเขา!สตรีผู้นี้เคยพูดอะไรจริงบ้างหรือไม่?ฟู่เฉินหวนมองด้วยความสงสัย ลั่วชิงยวนจึงระงับความโกรธ พยายามพูดกับเขาอย่างใจเย็น “ถ้าพระอ
นี่เป็นผลให้น้ำหนักตัวเพียงเพิ่มขึ้นแต่ไม่ลดลงจือเฉาช่วยนางแต่งตัว สีหน้าเคร่งขรึมและพูดว่า “เสื้อผ้าดูแน่นขึ้นอีกแล้ว จะทำเยี่ยงไรดี บางทีพระชายาอาจต้องกินให้น้อยลงหรือไม่เจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนพูดอย่างจริงจังว่า “สาวน้อยโง่เขลา ถ้ากินน้อยร่างกายก็จะไม่มีกำลัง บาดเจ็บแค่ไหนก็เข้มแข็งให้เหมือนวัว ดีกว่าอ่อนแอแล้วล้มลงด้วยหมัดของใคร เข้าใจหรือไม่?”“ดังนั้นเจ้าเองก็ควรกินให้มากขึ้นด้วย!”จือเฉาพยักหน้า กลับพูดอย่างเขินอายว่า “แต่พระชายาตัวอ้วนท้วน ก็มิได้แข็งแรงเหมือนวัวนี่เจ้าคะ”ลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พูดอย่างชอบธรรมว่า “อย่างน้อยข้าก็ดูแข็งแกร่งเหมือนวัว เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้แล้ว!”“เจ้าค่ะ”ใส่เสื้อผ้าเสร็จ ลั่วชิงยวนยืดเข็มขัดที่แน่นเล็กน้อยออก ก้าวออกไป วางแผนจะฝึกชี่กงที่ลานจวนแม่นมเติ้งรีบเดินเข้าไปในลานจวนแล้วพูดว่า “พระชายาเจ้าคะ องค์ชายห้าเสด็จมาเจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนเลิกคิ้ว รีบโบกมืออย่างเร็ว “ไม่พบ ๆ บอกเขาไปว่าข้ากำลังนอนอยู่!”นางหันหลังกลับและเข้าไปในเรือนใครจะรู้ว่าฟู่อวิ๋นโจวจะมาปรากฏตัวที่ทางเข้าเรือน บังเอิญเห็นสิ่งนี้เข้า จึงมิได้ก้า
ช่วงเวลาเดียวกันห้องตำราซูโหยวลังเลอยู่นาน ถึงจะเดินเข้าไปในห้องตำราและพูดว่า “ท่านอ๋อง บัดนี้องค์ชายห้าเสด็จไปพบพระชายาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนหยุดพลิกหนังสือชั่วคราว แล้วก็กลับมาเป็นปกติทันที สีหน้านิ่งเฉยและพูดว่า “นี่มันไม่ปกติ”พวกเขาเป็นพวกเดียวกันซูโหยวสีหน้าเคร่งขรึมและพูดว่า “องค์ชายห้าทรงมอบอาภรณ์เมฆสีทองหนึ่งชุดให้พระชายา ทรงตรัสว่าเป็นอาภรณ์งานฉลองไหว้พระจันทร์ในวังหลวงให้พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”ได้ยินเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วแต่ยังคงไม่พูดอะไร เพียงสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย“ท่านอ๋อง งานฉลองไหว้พระจันทร์ในวังหลวง ตามเหตุผลพระชายาก็จะต้องเข้าร่วมด้วย เมื่อถึงเวลารูปลักษณ์ของนางจะถูกผู้คนนินทาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ หากนางยังสวมอาภรณ์ที่องค์ชายห้าทรงมอบให้อีก มิรู้ว่าผู้คนจะหัวเราะเยาะท่านอ๋องลับหลังเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”“ในความเห็นของกระหม่อม ท่านอ๋องเป็นผู้ตระเตรียมอาภรณ์สำหรับงานฉลองไหว้พระจันทร์ในวังหลวง จะเป็นการเหมาะสมกว่าพ่ะย่ะค่ะ”ซูโหยววิเคราะห์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมถึงอย่างไรก็ยังเป็นพระชายาอ๋องด้วย มันไม่เหมาะที่องค์ชายห้าจะส่งเสื้อผ้าอาภรณ์มาให้ในกรณีนี้คิ้วขอ
ลั่วชิงยวนตัวดี วันดี ๆ ของนางจบลงแล้ว!แววตาของนางเย็นเยียบและดุร้าย……เมื่อซูโหยวส่งอาภรณ์มาให้ ลั่วชิงยวนตกใจมาก นางไม่ได้คิดเลยสักนิดว่า ฟู่เฉินหวนจะให้ซูโหยวมอบอาภรณ์ให้นางจริง ๆมองดูชุดอันประณีตงดงามที่เป็นสีแดงเพลิงที่อยู่บนโต๊ะ จือเฉาประหลาดใจมากและพูดว่า “พระชายามาลองกันเถิดเจ้าค่ะ”จือเฉาช่วยนางผลัดผ้า แต่ขนาดของชุดนั้นเกือบจะเท่าเมื่อก่อน แน่นนิดหน่อย ใส่ไม่สบายนัก“ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะไม่รู้ว่าพระชายาน้ำหนักขึ้นเล็กน้อยนะเพคะ อาภรณ์นี้ดูสำรวยนัก ท่านสวมแล้วก็ต้องระวังการเคลื่อนไหวนะเจ้าคะ มิเช่นนั้นมันจะขาดได้ง่าย” จือเฉาจัดไปด้วย พูดไปด้วย“พอแล้ว พอแล้ว ถอดออกเถอะ ทรมานจะตายอยู่แล้ว” ลั่วชิงยวนถอดออกทันทีจือเฉาพับอาภรณ์อย่างเรียบร้อยและใส่กลับเข้าไปในกล่องผ้า “แล้วพระชายาอยากใส่ชุดใดไปงานเลี้ยงวังหลวงเล่าเจ้าคะ?”“ดูดีทั้งสองชุดเลย แต่ชุดหนึ่งใส่สบายหน่อย อีกชุดหนึ่งดูแน่นกว่าเล็กน้อย แต่ชุดนี้ท่านอ๋องทรงมอบให้เจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนมองดู ทำหน้าบึ้งและพูดว่า “ชุดนี้สิ เราจะได้เลี่ยงปัญหาจากเขา”ไม่ให้ยังดีกว่า ให้แล้วนางก็ต้องใส่การเปรียบเทียบเช่นนี้ ฟู่อวิ๋น
“ท่านอยู่ต่อ ส่วนคนอื่น ๆ ออกไปก่อนเถิด” ลั่วชิงยวนกล่าวกับชายชราจากนั้นคนอื่น ๆ ก็ทยอยออกไปชายชราลุกขึ้นเดินมายืนตรงหน้าลั่วชิงยวน “ท่านเจ้าเมืองมีสิ่งใดจะสั่งหรือขอรับ?”ลั่วชิงยวนถามว่า “บนเขาแห่งนี้มีคนมาแย่งชิงยาสมุนไพรไปจริงหรือ? ที่ส่งคนไปตามหา มีเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่?”“มีคนมาจริง ๆ ขอรับ พรรคพวกของพวกมันมีประมาณสิบคนได้ แต่พวกมันหนีไปเร็วมาก ตอนนั้นทุกคนมัวแต่สนใจด้านหน้า ไม่มีใครสังเกตว่ามีคนบุกเข้าไปในคลังโอสถ”“พวกเขาถึงได้หนีรอดไปได้ขอรับ”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ยิ่งสงสัยว่าเป็นคนของสำนักเทียนฉยง และจงใจมาเป็นปฏิปักษ์กับนาง จึงได้ชิงบัวถวายไปก่อนมองดูชายชราตรงหน้าแล้ว ลั่วชิงยวนก็ยังมิเข้าใจเขาดีนักนางจึงถามว่า “บนหลังของท่านมีรอยประทับทาสหรือไม่?”เมื่อได้ยินดังนั้น ชายชราก็ตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า “มีขอรับ”ลั่วชิงยวนรู้ว่าคำพูดของนางย่อมทำให้เขาเคลือบแคลงใจว่านางมิใช่อวี๋ตันเฟิ่งแต่นางก็มิได้คิดจะแสร้งเป็นอวี๋ตันเฟิ่งเพื่อเข้าควบคุมเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้“ท่านควรรู้ว่าข้ามิใช่อวี๋ตันเฟิ่ง”ชายชราผู้นั้นอึ้งไป มิรู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ในเมื่อ
หวังเพียงว่าจะกักขังโหยวจิ้งเฉิงไว้บนเขาได้ เพราะหากเขาไปสิงอยู่ในร่างผู้อื่นแล้วหนีลงเขาไปได้ก็จะเป็นเรื่องยุ่งยากเพียงแต่ในตอนนี้ นางไม่มีแรงพอที่จะไล่ตามแล้ว จึงไปหายาในคลังกับคนใบ้เมื่อไปถึง โฉวสือชีและอวี๋โหรวก็อยู่ที่นั่นอวี๋โหรวปรุงโอสถเสร็จแล้วโฉวสือชีกำลังค้นหาสมุนไพรอยู่ข้าง ๆ“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” โฉวสือชีถามด้วยความเป็นห่วงลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ข้ามิเป็นอะไร”โฉวสือชียื่นกล่องในมือออกมา แล้วพูดว่า “เจอโสมมังกรเพียงกิ่งเดียวเอง”ลั่วชิงยวนรับกล่องมา แล้วส่งให้คนใบ้ “รอจัดการเรื่องนี้เสร็จก่อน ข้าจะจัดยาให้เจ้าชุดหนึ่ง แม้จะมิสามารถรักษาอาการของเจ้าให้หายขาดได้ แต่ก็พอจะยืดชีวิตได้”คนใบ้พยักหน้า รับโสมมังกรมาด้วยสีหน้าซับซ้อนภายใต้หน้ากากโฉวสือชีกล่าวเสียงหนักแน่น “คลังโอสถนี่ใหญ่โตเกินไป ข้าหาบัวถวายมิเจอจริง ๆ”“และเมื่อดูแล้วในนี้ก็มีร่องรอยการถูกรื้อค้น ต่งอวิ๋นซิ่วคงมิได้หลอกพวกเรา บัวถวายคงถูกใครบางคนชิงไปแล้ว”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ขมวดคิ้วแน่น “บังเอิญเกินไปแล้ว บัวถวายถูกชิงไปตอนที่เรามาถึงพอดี”“แถมยังถูกกวาดไปจนเกลี้ยง”“สมุนไพรอื่นก็มิ
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ