เจินหลันเปิดประตูห้องครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยเสียงดังปัง ด้วยแรงลมนั้นก็ทำให้คนทั้งสองที่อยู่ข้างนอกเปิดประตูออกได้ในที่สุด ชั่วครู่ต่อมา ลมแรงก็พัดปะทะเข้ากับร่างของลั่วชิงยวนแล้วส่งนางออกไปคิ้วของฟู่เฉินหวนกระตุก เขารีบเข้าไปกอดลั่วชิงยวนทันทีขณะที่ลั่วชิงยวนกระเด็นออกมา นางก็เห็นว่าร่างของเจินหลันถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ไปครึ่งหนึ่งนางพูดทั้งน้ำตาด้วยความเกลียดชัง "คนที่บอกข้าว่ามีบางอย่างผิดปกติกับรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมในตอนนั้นคือนางรับใช้ที่อยู่ข้างกายไทเฮา!"“แม้แต่การตายของข้าก็ถูกวางแผนไว้ นางต้องการใช้ข้าเป็นเครื่องมือในการฆ่าคน”“ฮ่าฮ่าฮ่า... ข้าทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อศัตรูมาโดยตลอด ข้าถูกหลอกอย่างน่าสมเพช!”ร่างของเจินหลันค่อย ๆ เลือนหายท่ามกลางความเจ็บปวดและความรู้สึกไร้ค่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในขณะนั้น ไม้ขีดไฟในมือของหลิวไท่เฟยก็ลุกเป็นไฟและทำให้ทั่วทั้งห้องถูกไฟลามอย่างรวดเร็ว เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ ฟู่จิ่งหลีก้าวไปข้างหน้าอย่างกะทันหัน เขาอ้าปากกว้าง แต่กลับไม่อาจส่งเสียงใดได้เลย สายไปแล้ว ฟู่เฉินหวนเรียกคนมาช่วยดับไฟทันทีลั่วชิงยวนยืนข้างเขาอย่างเงียบ ๆ เพื่อคร
ทันทีที่พวกเขาสบตากัน ก็เป็นเรื่องยากสำหรับทั้งสองที่จะสงบสติอารมณ์ลงได้ ฟู่เฉินหวนมองไปทางอื่นทันทีพลางพูดอย่างใจเย็น “หลิวไท่เฟยสิ้นพระชนม์แล้ว ไทเฮาจะมิปล่อยเจ้าไป พระนางจะตั้งคำถามกับเจ้าอย่างแน่นอน”“เจ้าเพียงบอกว่าหลิวไท่เฟยเชิญเจ้ามาเป็นแขก เจ้ามิรู้เรื่องอันใด”ลั่วชิงยวนรู้ว่าการตายของหลิวไท่เฟยจะไม่จบลงง่าย ๆ และคำพูดของฟู่เฉินหวนคือสิ่งที่เขาตั้งใจแบกรับเรื่องเหล่านี้ไว้เองหลังจากมองไปรอบ ๆ แล้วเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจพวกเขา ลั่วชิงยวนจึงลดเสียงลงและพูดว่า “ไทเฮาอยู่เบื้องหลังกลียุคในวัง หลิวไท่เฟยเป็นเพียงเบี้ยในมือของไทเฮา รวมทั้งเจินหลันก็ถูกใช้โดยไทเฮาด้วยเช่นกัน”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินคำพูดนี้ เขาก็มองดูนางด้วยความตกใจ “มีอะไรผิดปกติหรือ?” ลั่วชิงยวนมองเขาอย่างสงสัยฟู่เฉินหวนมองไปทางอื่นอีกครั้งแล้วพูดว่า “ข้าคิดมิถึงว่าเจ้าจะบอกข้าเรื่องนี้”ลั่วชิงยวนรู้เรื่องกลียุคในวังเมื่อใด เหตุใดนางจึงเอ่ยความลับของกลียุคในวังให้เขาฟัง แน่นอนว่าฟู่เฉินหวนไม่รู้ว่า ลั่วชิงยวนรู้เรื่องกลียุคในวังมาเป็นเวลานานแล้ว และนางยังรู้ด้วยว่าฟู่เฉินหวนกำลังติดตามค้นหาเบาะแสของเหตุก
คำพูดนี้หมายถึงนางกับฟู่เฉินหวนหรือไม่?ใช่แล้ว ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลงเรือลำเดียวกันแล้ว“เช่นนั้น ยินดีต้อนรับท่านเข้าร่วม” ลั่วชิงยวนยกยิ้มฟู่จิ่งหลีหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า “หลังจากที่ท่านกลับไปแล้ว ท่านต้องบอกข้าทุกอย่าง”“ไม่มีปัญหา”ทั้งสองออกจากวังและกลับไปยังตำหนักอ๋องหลังจากที่ลั่วชิงยวนทายาและพันผ้าพันแผลให้ตัวเองแล้ว นางก็บอกฟู่จิ่งหลีทุกอย่างเกี่ยวกับหลิวไท่เฟยรวมทั้งเบาะแสที่ได้รับจากเจินหลันในความเป็นจริง สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่ฟู่จิ่งหลีต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม เช่นนั้นลั่วชิงยวนจึงค่อย ๆ อธิบายให้เขาฟัง ทว่า ช่วงเวลาอันเงียบสงบนั้นช่างสั้นนัก มีคนมาถึงตำหนักแล้ว แม่นมเติ้งรีบเข้ามาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงประหม่าว่า “พระชายา นางกำนัลจิ่นชูจากพระตำหนักโช่วสี่มาที่นี่เจ้าค่ะ คราวนี้นางมาพร้อมกับราชองครักษ์!”“นางมาถึงแล้ว” ดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชานางยืนขึ้นและมุ่งหน้าไปที่ลานตำหนักโดยมีจือเฉาคอยประคองอยู่ด้านข้าง จิ่นชูยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า ตามมาด้วยกลุ่มราชองครักษ์ซึ่งดูองอาจและไม่เป็นมิตร “พระชายาอ๋องผู
ดวงตาของฟู่จิ่งหลีเย็นชาเป็นอย่างมาก น้ำเสียงเย็นชาของเขาแสดงให้เห็นถึงอำนาจ “นี่เป็นท่าทางของเจ้าเมื่อพูดคุยกับองค์ชายงั้นรึ?”“เป็นบ่าวจะอวดเพียงนี้ได้เยี่ยงไร?”“ผู้ใดเป็นคนมอบความกล้าให้กับเจ้า?”ในขณะนี้ ท่าทางอันน่าเกรงขามของฟู่จิ่งหลี คือสิ่งที่ลั่วชิงยวนมองเห็นว่าเขาสมฐานะองค์ชายบางทีอาจเป็นเพราะเขาอยู่ห่างไกลจากราชสำนักและวังหลวงมาเป็นเวลานาน หลายคนจึงลืมไปว่าแท้จริงแล้วเขาก็เป็นถึงองค์ชาย แม้ว่าเขาจะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการที่สูงส่งและไม่น่าเกรงขามเท่าฟู่เฉินหวน ทว่า เขาก็ยังคงเป็นเชื้อพระวงศ์!จิ่นชูเป็นคนสนิทของไทเฮา แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะพบนาง เขาก็จะไม่พูดคุยกับนางด้วยท่าทีเช่นนั้นเมื่อฟู่จิ่งหลีพูดจบแล้ว ดาบในมือของเขาก็ชี้ไปที่มือของจิ่นชูซึ่งอยู่ใต้แขนเสื้อก็กำหมัดแน่น“องค์ชายเจ็ด นี่เป็นคำสั่งของไทเฮา! ท่านต้องการต่อต้านไทเฮาหรือเพคะ?!” จิ่นชูระงับความโกรธในใจพร้อมกับพยายามสงบสติอารมณ์ แต่มือของฟู่จิ่งหลีกลับจับดาบไว้แน่น โดยไม่ยอมแพ้หรือกลัวแต่อยากใด ดวงตาของเขายังคงเย็นชาอย่างยิ่ง “ข้าบอกเจ้าแล้ว วันนี้ไม่มีใครสามารถพาลั่วชิงยวนออกไปได้ทั้งนั้น!”
ฟู่จิ่งหลีพูดอย่างใจเย็น “หยุดพูดเล่นได้แล้ว ท่านคือพระชายา อีกทั้งพี่สามก็โปรดปรานท่านเป็นอย่างมาก ท่านยังไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอีกงั้นหรือ?”ลั่วชิงยวนตอบว่า “ถึงท่านจะพูดกับหม่อมฉันเช่นไรก็เปล่าประโยชน์”ฟู่อวิ๋นโจวอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา “น้องเจ็ด โปรดอย่าทำให้นางต้องลำบากใจเลย ชีวิตของนางในตำหนักอ๋องมิได้ดีอย่างที่เจ้าคิด”ฟู่จิ่งหลีผงะเล็กน้อย นึกขึ้นได้ว่าพี่สามของเขาเคยไม่ชอบพระชายามาก่อน มีข่าวลือมากมายว่านางทั้งอัปลักษณ์และอ้วนอัด แม้กระทั่งพูดกันว่านางคือคางคกที่อยากกินเนื้อหงส์ เขารีบพูดว่า “นั่นมันเมื่อก่อน! ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว!”“ข้าไม่สน ข้าขอให้คนไปเก็บข้าวของแล้ว ข้าจะย้ายมาที่นี่คืนนี้”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง บางทีฟู่จิ่งหลีอาจจะย้ายเข้ามาที่นี่เพื่อปกป้องนาง ทว่า นางก็ไม่รู้ว่าฟู่เฉินหวนจะกลับมาเมื่อใดแต่สำหรับฟู่จิ่งหลี วันนี้เขาได้ทำให้ไทเฮาขุ่นเคือง อีกทั้งเขายังมากด้วยอำนาจและเงินทองที่ท่านปู่ของเขาทิ้งไว้ให้ ซึ่งเกรงว่าอาจทำให้ไทเฮารู้สึกถูกคุกคามฟู่จิ่งหลีอาจตกอยู่ในอันตราย เช่นนั้นจึงจะเป็นการดีกว่า หากให้เขาอาศัยอยู่ในตำหนักของอ๋องผู้สำ
ในค่ำคืนอันเงียบสงบ จู่ ๆ เสียงจากในตู้ก็ดังขึ้นนั่นทำให้ลั่วชิงยวนสะดุ้งตื่นจือเฉาก็ตื่นขึ้นเช่นกัน นางรีบวิ่งมาที่หน้าประตูห้องทันที “พระชายา พระชายา เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?”“มีอะไรผิดปกติหรือเจ้าคะ”ลั่วชิงยวนนั่งอยู่บนเตียง มองดูตู้ที่อยู่ตรงมุมส่งเสียงดังแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”“ท่านมิได้เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ?” จือเฉาได้ยินเสียงความโกลาหลในห้อง “ไม่เป็นอะไร”จือเฉาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับไปที่เรือนนอนของตนลั่วชิงยวนยืนขึ้นและเดินไปที่ตู้ ก่อนจะเห็นว่ามีมวลอากาศสีดำจำนวนมากแทรกซึมผ่านช่องว่างนั้นไปภายในตู้นี้ประกอบไปด้วยสิ่งของที่นางใช้อยู่เป็นประจำ สิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในตู้คือสิ่งที่ถูกผนึกไว้ในดวงแก้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่โจมตีฟู่เฉินหวนในระหว่างการเซ่นไหว้ในหอบรรพบุรุษนางสงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่ เนื่องด้วยไม่เคยพบกับเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้มาก่อนลั่วชิงยวนกำลังจะหยิบกุญแจเพื่อไขประตูและเปิดดูว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่ทันใดนั้น ตู้ทั้งหลังก็สั่นสะท้านเพิ่มขึ้น ประตูตู้ถูกกระแทกเปิดออกด้วยเสียงดังปัง ทำให้ลั่วชิงยวนซึ่งอยู่หน้าตู้ล
ลั่วชิงยวนพยายามเดินเข้ามา แต่สตรีผู้นั้นระวังอย่างมาก หากนางขยับ ลมรอบตัวนางก็จะรุนแรงยิ่งขึ้นหลังจากพยายามหลายครั้ง ลั่วชิงยวนก็ค้นพบบางสิ่งที่น่าเหลือเชื่อสตรีผู้นี้ดูเหมือนกำลังจะปกป้องฟู่จิ่งหลีอยู่“พี่สะใภ้สาม ท่านบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?” ฟู่จิ่งหลีหมอบลงกับพื้น เขาไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองลั่วชิงยวนแตะเข็มทิศแล้วพูดอย่างระมัดระวัง “มานี่สิ”ฟู่จิ่งหลีสะดุ้งเล็กน้อย “ข้าสามารถไปได้หรือ?”เขาใช้มือข้างหนึ่งกดหน้าอกพร้อมกับใช้มืออีกข้างประคองกำแพง ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินไปหาลั่วชิงยวนดวงตาของลั่วชิงยวนจับจ้องไปที่สตรีผู้นั้น เป็นอย่างที่คาดไว้ นางไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย นางทำเพียงมองดูฟู่จิ่งหลีอย่างเงียบ ๆ แต่ดวงตาของนางก็ยังคงเป็นสีดำสนิทราวกับว่านางไร้สติ สิ่งนี้ค่อนข้างแปลก โชคดีที่ฟู่จิ่งหลีเดินมาหานางได้อย่างปลอดภัย นางช่วยประคองฟู่จิ่งหลีลุกขึ้นทันทีพร้อมกับพูดว่า “ไปกันเถอะ”ฟู่จิ่งหลีกุมหน้าอกของเขา อดทนต่อความเจ็บปวดอันแสนสาหัส ในขณะที่เดินตามลั่วชิงยวนออกไปอย่างรวดเร็วระหว่างทาง ลั่วชิงยวนหันกลับมามองและพบว่าสตรีผู้นั้นกำลังติดตามเขาอยู่เช่นนั้นจึงช่วยป
เป็นคนเดียวกันมิใช่หรือ?ลั่วชิงยวนตกตะลึงสตรีที่อยู่ข้าง ๆ นางกำลังดูภาพเหมือนอย่างหลงใหลลั่วชิงยวนมองดูท่าทางของนางและรู้สึกเหลือเชื่อนางยังคงมีสติอย่างนั้นหรือ?นางเคยลองวิธีการมาหลายวิธีแล้ว แต่ก็ไม่อาจปลุกจิตสำนึกของอีกฝ่ายได้เลย ที่ผ่านมานางยังคงอยู่ในสภาพคุลุ้มคลั่งตลอดเวลา แต่ขณะนี้นางยังคงไม่มีสติมากนัก แต่ดูเหมือนนางจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้“วาดภาพเสร็จแล้ว” ฟู่จิ่งหลียื่นรูปเหมือนให้นางลั่วชิงยวนมองไปที่รูปเหมือนใบนั้น ทุกสิ่งเหมือนกันทุกประการ ในเวลานี้ ฟู่จิ่งหลีหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาอีกครั้ง เขาเช็ดเลือดที่เปื้อนโดยไม่ได้ตั้งใจอย่างระมัดระวังทันใดนั้นสตรีที่อยู่ข้าง ๆ นางก็เอียงศีรษะพร้อมกับจ้องมองไปที่ผ้าเช็ดหน้าอย่างใกล้ชิด ในขณะนั้น ลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นั่นคือผ้าเช็ดหน้านี่!นี่เป็นเพียงของที่ระลึกชิ้นเดียวที่มารดาของเขาทิ้งไว้ในช่วงชีวิตของนาง และสิ่งนี้เองที่นำทางสตรีที่อยู่ข้าง ๆ นางดวงตาลั่วชิงยวนกระตุก ทันใดนั้นนางก็มีแผนบางอย่างในใจทันทีนางก้าวไปข้างหน้าและนั่งข้าง ๆ ฟู่จิ่งหลีลนลานอย่างมาก เขาถึงกับหลีกหนีนางออกไป “นี่แปลก แป