ลั่วชิงยวนเดินออกจากห้องลับด้วยอาการเหนื่อยล้าเล็กน้อยแต่โดยมิคาดคิด ฟู่เฉินหวนที่ยืนอยู่นอกประตูทำให้นางตกใจ“เจ้าทำอะไรอยู่ ข้ารอเจ้ามาเกือบชั่วยามแล้ว” ฟู่เฉินหวนอยากรู้มากว่าภายในมีสิ่งใดอยู่เขาจึงเดินเข้าไปได้เห็นกระดิ่ง ยันต์สีเหลือง และเทียนบนพื้นที่วางอยู่เต็มห้องลับ วงแหวนเวทที่ซับซ้อนทำให้คนที่เห็นตาลายคล้ายจะเวียนหัวมีกลิ่นอายความชั่วร้ายแผ่ออกมา“ลั่วชิงยวน?” ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วลั่วชิงยวนดึงเขาออกมาอย่างรวดเร็ว "นี่คือวงแหวนเวทที่ใช้สับเปลี่ยนชะตาของลั่วหลางหลาง!"“สับเปลี่ยนชะตา?”ดังนั้นลั่วชิงยวนจึงอธิบายเรื่องราวให้ฟู่เฉินหวนฟังฟู่เฉินหวนตกใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “หากโชคชะตาของทุกคนในใต้หล้านี้สามารถถูกสับเปลี่ยนได้เช่นนี้ มันจะมิเกิดความสับสนวุ่นวายไปใหญ่หรือ?”“ใช่ เช่นนั้นนี่คือการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎสวรรค์ และจะนำมาสู่ผลกรรม มิอาจทำสุ่มสี่สุ่มห้าได้” ลั่วชิงยวนอธิบายเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วมองนาง “แล้วเหตุใดเจ้ายังทำอีก?”“รีบรื้อออก!”ฟู่เฉินหวนพูดพลางกำลังจะพุ่งเข้าไปลั่วชิงยวนรีบคว้าเขาไว้ “เหตุใดท่านถึงหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ หม่อมฉันมิ
ทันใดนั้น ระยะห่างที่ลดลงก็ทำให้ร่างกายของฟู่เฉินหวนแข็งทื่อใบหน้างดงามนั้นเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ลึกลับแปลกประหลาด และดวงตาคู่งามลึกล้ำมากจนมิสามารถอ่านได้“เพราะหม่อมฉันมิใช่ลั่วชิงยวน” เสียงแผ่วเบาดังขึ้น ซึ่งทำให้ฟู่เฉินหวนขนลุกไปทั้งตัวฟู่เฉินหวนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งใบหน้าที่อยู่ตรงหน้าเขา อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมา“นี่ท่านขลาดกลัวหรือ?” ลั่วชิงยวนอดหัวเราะมิได้ฟู่เฉินหวนสะดุ้งกลับมามีสติอีกครั้ง ขมวดคิ้วมองนาง “เจ้าแกล้งข้าหรือ?”ฟู่เฉินหวนพูดพลางจะคว้าแขนนางไว้ลั่วชิงยวนลุกขึ้นยืนและวิ่งหนีไปทันที เสียงหัวเราะสดใสดังก้องอยู่ในสวนอันเงียบสงบฟู่เฉินหวนลุกขึ้นและไล่ตามนางไปแต่เขามิสามารถจับลั่วชิงยวนได้ลั่วชิงยวนหลุดจากมือเขาไป ทิ้งท้ายไว้เพียงประโยคเดียว“วงแหวนแห่งเวทได้ถูกจัดตั้งขึ้นแล้ว อีกมินานก็จะได้ผล หากสังเกตท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงว่ามีเมฆดำ ก็อาจพบที่หลบซ่อนของคนชุดดำผู้นั้น”“แต่ท่านมีเวลาเพียงเก้าวัน”เพราะปฏิกิริยาดังกล่าวจะคงอยู่เป็นเวลาสูงสุดเพียงเก้าวันเท่านั้น หลังจากนั้นจะมิเกิดขึ้นอีกแน่นอนว่าลั่วชิงยวนมิคิดจะไปจับตัวคนผู้นั้นด้วยตัวเอง เมืองหลวง
ลั่วฉิงหมดสติไปทันทีใบหน้าของนางซีดเซียวเหยียนผิงเซียวกังวลมากจึงรีบตามหมอมา แต่หมอมิสามารถวินิจฉัยอาการได้ สุดท้ายจึงสั่งจ่ายยาที่ทำให้สงบจิตใจและจากไปเหยียนผิงเซียวอยู่ข้างเตียงตลอดทั้งคืนจนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้นลั่วเยวี่ยอิงก็มาหาเหยียนผิงเซียวจำต้องละทิ้งลั่วฉิงไว้ และไปรับมือกับลั่วเยวี่ยอิง“ข้าควรทำเยี่ยงไรดี? ความสัมพันธ์ระหว่างฟู่เฉินหวนและลั่วชิงยวนดูเหมือนจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ข้าเข้าไปแทรกแซงมิได้เลย ข้าควรทำอย่างไรดี?”ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกหมดหนทางอย่างยิ่งแม้ว่านางจะวางแผนไว้มากมาย แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะมีข้อได้เปรียบอย่างมาก แต่ตอนนี้นางรู้สึกหมดพลังเหยียนผิงเซียวกังวลเรื่องความปลอดภัยของลั่วฉิง ตอนนี้จึงมิค่อยมีความอดทนต่อลั่วเยวี่ยอิงมากนักเขาพูดอย่างเย็นชา “ลั่วชิงยวนและฟู่เฉินหวนมิไว้วางใจต่อกันอย่างลึกซึ้ง ฟู่เฉินหวนขี้ระแวงเพียงนั้น เจ้าลองใช้กลอุบายใดก็ได้ ทำให้พวกเขาแตกคอกันสิ”“ยังมีฟู่อวิ๋นโจวอยู่นี่? นั่นก็เป็นช่องทางให้เจ้าได้เหมือนกัน มีคนมากมายที่เจ้าใช้ประโยชน์ได้ เจ้าก็ใช้พวกเขาสิ”“ดูชื่อเสียงของลั่วชิงยวนตอนนี้สิ นางช่วยอ๋องผู้สำเร็จราชการค
ในวันนั้น ในห้องทาสใบ้พบจดหมายลับลั่วเยวี่ยอิงกระแทกจดหมายลับฉบับนั้นต่อหน้าทาสใบ้ “เจ้าช่างดีนัก! เจ้าถูกลั่วชิงยวนซื้อตัวไปตั้งแต่เมื่อใด?”ทาสใบ้ส่ายหัว นางมิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และนางก็มิได้ถูกลั่วชิงยวนซื้อตัวไปน่าเสียดายที่นางมิอาจพูด หรือแก้ต่างให้ตัวเองได้เลยลั่วอวิ๋นสี่ที่อยู่ข้าง ๆ พูดอย่างเย็นชา “ข้ามิน่าแปลกใจแล้วว่าเหตุใดข้าจึงเห็นเจ้าออกไปข้างนอกในยามดึกเมื่อคืนนี้ เจ้าไปส่งข่าวให้ลั่วชิงยวนใช่หรือไม่?”ทาสใบ้รู้สึกคับแค้นใจและโกรธมาก นางทำได้เพียงส่ายหน้าให้กับลั่วเยวี่ยอิง นางมิรู้อะไรเลย!เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วเยวี่ยอิงกลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟนางด่าทออย่างโกรธเกรี้ยว “ลั่วชิงยวนบอกว่าจะรักษาตาของเจ้าให้หาย เจ้าเลยใจอ่อน ทรยศข้าใช่หรือไม่?”“ข้าดีกับเจ้าขนาดไหน! แต่เจ้ากลับปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้!”“ใครก็ได้! เอาตัวทาสใบ้ไปโบยให้ตายเสีย!”ทาสใบ้ตกตะลึง น้ำตาคลอเบ้าลั่วอวิ๋นสี่รีบเรียกคนมาจับกุมทาสใบ้ทันที คนรับใช้โบยทาสใบ้ด้วยไม้อย่างเต็มแรงทาสใบ้พยายามหลบ แต่ยังคงถูกตีจนเลือดท่วมตัวขณะที่นางกำลังจะตาย ลั่วอวิ๋นสี่รีบตรวจลมหายใจของนางแล้วพูดว่า “คุณหนู น
จือเฉารู้สึกงุนงง “พระชายา แต่เหตุใดท่านมิเสนอเงื่อนไขและให้นางทำงานให้กับพระชายาต่อจากนี้เล่าเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนยิ้มและพูดว่า “หากข้าหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเสียเอง นางจะคิดว่าข้ามีเจตนาแอบแฝง”“แค่ทำดีกับนาง ดีจนกระทั่งนางรู้สึกละอายใจไปเอง นางจะรู้สึกผิดหากนางมิทำอะไรตอบแทนความเมตตาของข้า”“นี่คือวิธีเอาชนะใจผู้คน”จือเฉาเข้าใจในทันทีและพยักหน้า “อย่างนี้นี่เอง! บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!”ต่อจากนั้นอีกหลายวัน ลั่วชิงยวนมิได้ไปเยี่ยมทาสใบ้อีกเลยจือเฉาแค่ส่งอาหารและยาทุกวัน โดยมิพูดอะไรเมื่อทาสใบ้เริ่มขยับตัวได้ นางเดินออกจากลานเรือนแล้วจึงได้พบว่าไม่มีใครเฝ้าดูนาง หรือขวางนางไว้เลยนางเดินออกจากลาน ก่อนจะเห็นลั่วชิงยวนกำลังอาบแดดอยู่ในสวนมิไกลลั่วชิงยวนลืมตาขึ้น เมื่อรู้สึกว่ามีคนเดินมาตรงหน้า“มีธุระอะไรหรือ?” ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อยทาสใบ้ยืนนิ่ง มิรู้จะถามออกไปอย่างไรที่นี่ไม่มีปากกาและกระดาษลั่วชิงยวนเลิกคิ้วแล้วถามว่า “เห็นเจ้าเดินได้เช่นนี้ เจ้าจะไปแล้วหรือ? เดินออกจากประตูหลังได้เลย จะไม่มีใครขัดขวางเจ้าหรอก”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทาสใบ้ก็สะดุ้งเล็กน้อยมองนางด้ว
“ไปคุยกันในห้องของข้าดีกว่า” ลั่วชิงยวนพาทาสใบ้ไปที่ห้องนางนำกระดาษกองหนาไปให้ทาสใบ้โชคดีที่ทาสใบ้รู้หนังสือ มิเช่นนั้นคงสื่อสารกันลำบากลั่วชิงยวนรอทาสใบ้เขียนบนกระดาษอย่างอดทน นางเขียนลงบนกระดาษว่า : อัครเสนาบดีลั่วให้นักพรตเต๋ามาสะกดแม่ของท่านเอาไว้การแสดงออกของลั่วชิงยวนเปลี่ยนไป เมื่อได้เห็นข้อความนั้น “ว่ากระไรนะ?”ทาสใบ้ยังคงเขียนต่อ : ข้ามิรู้รายละเอียด รู้เพียงว่ามินานหลังจากที่ท่านกลับมา เขาขอให้นักพรตเต๋ามาสะกดนางเอาไว้ ข้าเองก็มิรู้ว่าอยู่ที่ใดจู่ ๆ ลั่วชิงยวนนึกย้อนไปว่าตอนที่นางขุดโลงศพของมารดาขึ้นมา ในโลงศพกลับว่างเปล่าตอนนี้ดูเหมือนว่าแม่ของนางมิได้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ถูกลั่วไห่ผิงสะกดไว้ที่อื่น“เจ้าอยู่ในตระกูลลั่วมานานแล้ว เจ้ารู้จักแม่ของข้ามากน้อยเพียงใด?”ทาสใบ้เขียนว่า : ข้ามิรู้ ข้าถูกลั่วไห่ผิงซื้อมาเพื่อให้ปกป้องคุณหนูรอง บางครั้งเขาก็ถามข้าว่า คุณหนูรองทำอะไรบ้าง เรื่องอื่นเขามิได้บอกข้าลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว “ลั่วไห่ผิงจัดให้เจ้าอยู่กับลั่วเยวี่ยอิง แล้วเซี่ยหว่านก่อนหน้านี้เล่า?”ทาสใบ้พยักหน้าและเขียนว่า : อัครเสนาบดีลั่วรู้เรื่องเซี่ยหว่านมาโดย
“กระหม่อมได้ยินพระชายาบอกว่า อย่าให้ท่านอ๋องรู้”“ว่ากันว่าใช้ทำยาที่ทำให้คนหยุดมิได้” ซูโหยวพูดพร้อมขมวดคิ้ว เขินอายอย่างหนักทันใดนั้นมือของฟู่เฉินหวนก็แข็งตัว ปลายนิ้วสั่นเล็กน้อยโดยมิได้ตั้งใจ“ยาอะไร?”ซูโหยวก้มหน้าลง “ยาที่ทำให้คนหยุดมิได้!”“นั่นคือสิ่งที่พระชายากล่าว! กระหม่อมเองก็มิรู้ว่าเป็นยาอะไรพ่ะย่ะค่ะ!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วทันทีเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ “เข้าใจแล้ว เจ้าไปได้”“พ่ะย่ะค่ะ” ซูโหยวรีบถอยออกไปฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว ใบหน้ามืดมน ลั่วชิงยวนคิดจะทำอะไรอีก?เขาอยากเห็นนักว่ามันจะทำให้คนหยุดมิได้ได้อย่างไร!…… ลั่วชิงยวนยุ่งจนหัวหมุนอยู่สองวันเต็ม ก่อนที่จะเตรียมขวดโอสถปรารถนานิรันดร์ในที่สุดไม่มีสีและไม่มีกลิ่น สามารถผสมลงในสุราและชาได้อย่างลงตัว ตรวจสอบมิพบเพื่อความปลอดภัย ลั่วชิงยวนได้เตรียมยาแก้พิษไว้ขวดหนึ่งด้วยโอสถปรารถนานิรันดร์มีหลากหลายสูตร ดังนั้นยาถอนพิษก็มีหลายแบบเช่นกัน หากใช้ยาแล้วจะไม่มีเวลาเตรียมยาถอนพิษได้ทันโอสถพร้อมแล้ว ตอนนี้เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นวันนี้อากาศดี ลั่วชิงยวนกำลังอาบแดดอยู่ที่สนามหญ้าอีกครั้ง นางถามแม่นมเติ้งว่
ลั่วชิงยวนมิสนใจ หลังจากดื่มแล้วก็คีบผักขึ้นมากิน และพูดว่า “ช่วงนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรทำเลย”“อากาศก็ค่อนข้างดี ดอกไม้ก็เบ่งบาน”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว ดูเหมือนหลังจากดื่มสุราจะไม่มีความรู้สึกแปลก ๆ แต่อย่างใด เขาพยักหน้าและตอบอย่างเฉยเมยว่า “อืม”ฟู่เฉินหวนมองไปที่จานกับข้าวบนโต๊ะอีกครั้ง หรือว่ายานั่นจะอยู่ในอาหาร?เขาจึงคีบผักขึ้นมาและเริ่มกินเข้าไปเขากินทีละจานลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นฟู่เฉินหวนกินอาหารอย่างรีบร้อน “ท่านหิวมากหรือ?”ฟู่เฉินหวนตอบเบา ๆ “นิดหน่อย”นางนำจานอาหารมาวางไว้ข้างหน้าฟู่เฉินหวน “เช่นนั้นก็กินให้เยอะ ๆ เพคะ”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว หรือว่ายาอยู่ในจานนี้?ฟู่เฉินหวนเริ่มคับกับข้างอีกครั้ง“หม่อมฉันได้ยินมาว่า ในวังมีงานชมบุปผา ท่านจะไปหรือไม่?” ลั่วชิงยวนเข้าประเด็นอันที่จริงแล้ว นางรู้ว่าฟู่เฉินหวนมิค่อยชอบเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้แต่นางอยากไปหากนางมิไป แล้วจะเปิดโอกาสให้ลั่วเยวี่ยอิงทำร้ายนางได้อย่างไรเล่า?แต่งานนี้ไทเฮาเป็นคนจัดขึ้น นางมิได้รับเชิญก็ไปมิได้ฟู่เฉินหวนพูดอย่างใจเย็น “ข้ามิสนใจเรื่องพวกนี้”แน่นอนว่าเขามิอยากไ
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน