เสียงสะอื้นแทรกเข้ามาในหู ลั่วชิงยวนค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา“จือเฉา?” ลั่วชิงยวนได้ยินเสียงร้องไห้คล้ายเสียงของจือเฉาซ่งเชียนฉู่กดนางกลับไปอย่างรวดเร็ว “อย่าขยับ”“เส้นลมปราณของท่านเสียหายอย่างรุนแรง อย่างน้อยสิบวันอย่าลุกจากเตียง มิเช่นนั้นจะกลายเป็นคนไร้ค่า ชาตินี้อย่าหวังว่าจะฝึกวรยุทธได้อีกเลย!”ซ่งเชียนฉู่ขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นลั่วชิงยวนนอนราบอยู่บนเตียง รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดในร่างกายของนาง นางยังรู้ว่าคราวนี้อาการบาดเจ็บสาหัสเพียงใดในใจเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ“เจ้ามาเมื่อไร” ลั่วชิงยวนถามซ่งเชียนฉู่ตอบว่า "หากมีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน จือเฉาจะมาหาข้าทันที"“เป็นเรื่องจริงสินะ ท่านอ๋องลงมือโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว ทำลายวรยุทธของท่าน มิเท่ากับการฆ่าท่านหรือไร?”ซ่งเชียนฉู่ก็เต็มไปด้วยความมิพอใจเช่นกันเพื่อให้ลั่วชิงยวนฝึกฝนวรยุทธนางใช้สมุนไพรอันล้ำค่าไปมากมายตอนนี้ทุกอย่างพังทลายหมดแล้วจือเฉาเดินถือโถดินเผาใบใหม่เข้ามาแล้วพูดอย่างรู้สึกผิดว่า “บ่าวได้เก็บเถ้ากระดูกมาไว้แล้ว แต่เก็บได้เพียงบางส่วนเท่านั้น และบางส่วนก็ถูกลมพัดปลิวไป…”ลั่วชิงยวนมองดูโถนั้นอย่างเศร
ความรุ่งโรจน์และความหรูหราของจวนอัครเสนาบดีสูญสิ้นไปโดยสิ้นเชิงลั่วชิงยวนนอนอยู่บนเตียงอยู่หลายวัน ตอนนี้สามารถลงจากเตียงได้แล้ว แต่ซ่งเชียนฉู่ยังคงกังวลและอยู่กับนางตลอดเวลาหลังจากนอนอยู่บนเตียงมาหลายวัน ในที่สุดนางก็ได้เดินออกจากห้องมารับแสงแดดยามเช้าอันสดใส ลั่วชิงยวนเหม่อมองไปในระยะไกล “ข้าอยากไปเยี่ยมท่านแม่”“ข้าจะไปกับท่านด้วย!”หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกจากตำหนัก และขึ้นรถม้าออกจากเมืองคนที่ซ่งเชียนฉู่จ้างมาแบกลั่วชิงยวนขึ้นเขาไปแม้ว่านางจะเดินได้ แต่เส้นลมปราณได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง นางยังมิเหมาะกับการเดินทางไกลบนเนินเขาแห่งนี้มีทะเลดอกไม้ป่าเบ่งบาน หอมหวนชวนหลงใหลถัดจากหลุมศพของลิ่นฝูเสวี่ย มีหลุมศพเพิ่มขึ้นมาที่หนึ่งหลุม นี่คืออัฐิของอาจารย์ที่ก่อนหน้านี้ให้ซ่งเชียนฉู่ช่วยฝังไว้เมื่อมาถึงหลุมศพ ลั่วชิงยวนจะทำพิธีไหว้ แต่ทันใดนั้นกลับพบว่ามีดินที่เพิ่งถูกขุดอยู่ที่มุมหลุมฝังศพศิลาจารึกก็เอนไปเล็กน้อยอีกด้วย“เชียนฉู่ ดูสิ” ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว และชี้ให้ซ่งเชียนฉู่ซ่งเชียนฉู่ก็ประหลาดใจเช่นกัน “แปลกจริง ก่อนหน้านี้ข้าก็จัดการไว้อย่างดีแล้วนี่ เหตุใด…”นางก้าวไ
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ มีร่างมืดปรากฏขึ้น เตะลั่วไห่ผิงเข้าที่แขน ทำให้เขาล้มลงกับพื้นลั่วชิงยวนยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าสงบรู้ดีว่าวรยุทธของนางถูกทำลาย ไม่มีทางที่นางจะมาคนเดียวอู๋อิ่งคว้าลั่วไห่ผิงขึ้นจากพื้นทันที หยิบกริชขึ้นมาจ่อลงบนคอของลั่วไห่ผิงเขาจับลั่วไห่ผิงและคุกเข่าลงกับพื้น“เจ้า เจ้า เจ้า!” ลั่วไห่ผิงตกใจ แต่เขามิกล้าขยับตัว “อวดดีจริง ๆ ข้ายังเป็นอัครเสนาบดีอยู่นะ!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเยาะ “เจ้าพูดคำนี้ด้วยตัวเองยังไม่มีความมั่นใจเลย นอกจากบ้านหลังนี้ที่ยังเหลืออยู่ เจ้ามีตรงไหนเหมือนเสนาบดีอยู่บ้างรึ?”“แม้ว่าข้าจะฆ่าเจ้าที่นี่ ก็ยังต้องใช้เวลาสองเดือนกว่าจะมีใครพบศพของเจ้า”“เมื่อถึงเวลานั้น จวนอัครเสนาบดีแห่งนี้จะเหม็นเน่าฉาวโฉ่น่าดู”เมื่อฟังคำพูดของลั่วชิงยวน ลั่วไห่ผิงก็รู้สึกมืดมน หนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลังเขาเชื่อว่าลั่วชิงยวน สตรีใจเหี้ยมผู้นี้ทำได้อย่างที่พูดแน่“ข้ากลายเป็นแบบนี้แล้ว เจ้ายังต้องการอะไรอีก?!”ดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา จ้องมองไปที่ลั่วไห่ผิงและถามว่า "อัฐิของแม่ข้าอยู่ที่ใด?!"“ใครขุดอัฐิไป! ผู้ใดทำให้นางตายอย่างมิสงบ!”
แต่ร่างกายปัจจุบันของลั่วชิงยวน มิสามารถกระโดดลงไปได้เลยทำได้เพียงให้อู๋อิ่งพานางกระโดดลงบ่อน้ำแห้งเท่านั้นมีทางเดินลับบนผนังบ่อน้ำแห้งซึ่งมีเถาวัลย์ขวางอยู่หลังจากเข้าสู่ทางลับ เพียงมินาน ก็มาถึงห้องลับห้องหนึ่งทันทีไฟถูกจุดขึ้นทำให้ห้องลับสว่างไสว ลมพัดมา กระดิ่งสีเงินก็พลันดังขึ้นเบา ๆ ส่งผลให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเสียวสันหลังวาบที่นี่แหละคือสถานที่ที่แท้จริงในการกักขังแม่ของนางทุกที่มีแต่วงแหวนเวทและสัญลักษณ์ทางอาคม ทำให้รู้สึกอึดอัดจนหายใจมิออกที่นี่มีชั้นหนึ่ง และมีอีกชั้นหนึ่งบนพื้นข้างบน ลั่วไห่ผิงกลัวแม่ของนางเพียงใดนางเตะสิ่งต่าง ๆ บนพื้นโดยตรง ทำลายวงเวทนั้นทันทีนางรีบวิ่งไปที่ศูนย์กลาง หมายจะหยิบโถใส่อัฐิขึ้นมา แต่ข้อมือกลับเจ็บจนไม่มีแรงนางกลัวว่าจะทำตกจึงรีบวางลงซ่งเชียนฉู่เดินเข้ามาช่วยรับนางแล้วถามว่า “คราวนี้ลั่วไห่ผิงคงมิได้โกหกแล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ “คงไม่แล้ว”“สิ่งที่เขากลัวคือท่านแม่ของข้า เนื่องจากยังมีการสะกดไว้อีกชั้นข้างใต้นี่ จึงต้องเป็นท่านแม่ของข้าเท่านั้น มิใช่แม่ของลั่วเยวี่ยอิงแน่”อู๋อิ่งค้นไปรอบ ๆ อีกครั้ง และพบของอย
ทำลายโถใส่อัฐิ!“หยุดนะ!” ลั่วชิงยวนตะโกนแต่ทว่าลั่วเยวี่ยอิงกลับมิลังเลเลย นางถือโกศแล้วโยนมันลงบนพื้นทั้งยังกระทืบเท้าด้วยความโกรธอีกหลายครั้งนางจ้องมองไปยังลั่วชิงยวนอย่างขุ่นเคือง พร้อมนัยน์ตายั่วยุบางทีลั่วเยวี่ยอิงอาจต้องการระบายความโกรธที่นิ้วก้อยขาดต่อลั่วชิงยวน หรือบางทีนางอาจต้องการใช้สิ่งนี้เพื่อยั่วยุให้ลั่วชิงยวนโกรธอีกครั้ง ฟู่เฉินหวนจะได้ฆ่าลั่วชิงยวนไปเสียเลยแต่คราวนี้ นางมิอาจบรรลุเป้าหมายใดได้เลยเพราะใบหน้าของลั่วชิงยวนไม่มีอารมณ์ใด ๆ และไม่มีทีท่าว่าจะโกรธแต่อย่างใดแต่ฟู่จิ่งหลีกลับเป็นคนที่หน้าเสีย พุ่งเข้ามาพูดว่า “เจ้าทำอะไรลงไป?!”ดวงตาของลั่วเยวี่ยอิงแดงก่ำ มองลั่วชิงยวนด้วยความเกลียดชัง “ข้าฆ่าเจ้ามิได้! แต่ข้าจะไม่มีวันยอมให้เจ้าอยู่อย่างเป็นสุข!”“เห็นหรือไม่ แม่ของเจ้าถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้าของข้า! ข้าจะโปรยอัฐิที่เหลือของนางให้หมด!”ลั่วชิงยวนดูท่าทางดุร้ายของลั่วเยวี่ยอิงและเยาะเย้ย “ลั่วเยวี่ยอิง ข้าแนะนำให้เจ้าหยิบมันขึ้นมาเสีย มิเช่นนั้นเจ้าจะต้องเสียใจ”แต่ในสายตาของลั่วเยวี่ยอิง นี่ถือเป็นการขู่กันนางคว้าอัฐิบนพื้น รีบวิ่งออกไปที
“และข้าได้สังเกตเห็นว่าช่วงนี้อาการของพี่สามก็ค่อนข้างปกติดี ไม่มีอาการปวดหัวหรือวิงเวียนศีรษะกะทันหันแต่อย่างใด”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วเหมือนกับก่อนหน้านี้มิถูกวางยาเสน่ห์ ไม่มีการถูกพิษหรือถูกควบคุม และมิถูกพลังชั่วร้ายใด ๆ ควบคุมทุกอย่างดูปกติดีแต่ดวงตาของเขากลับมิชัดเจนนัก ราวกับถูกปกคลุมไปด้วยหมอก และเมื่อลั่วเยวี่ยอิงได้รับบาดเจ็บ เขาก็เสียสติไปทันทีมันเหมือนกับว่าเขากลายเป็นคนละคนหรือจริง ๆ แล้วเป็นเพราะเขามีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อลั่วเยวี่ยอิง เขาจึงเป็นเช่นนี้?“ท่านรู้หรือไม่ว่าโถอัฐินั้นถูกวางไว้ในห้องตำราตั้งแต่เมื่อใด?” ลั่วชิงยวนถามอย่างสงสัยฟู่จิ่งหลีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ก็วันที่สองหลังจากที่ท่านจะฆ่าลั่วเยวี่ยอิงนั่นแหละ”“ตอนนั้นพี่สามกับลั่วไห่ผิงกำลังคุยกันเรื่องบางอย่างในห้องตำรานี้ ข้าได้ยินลั่วไห่ผิงพูดว่า แม่ของท่านเป็นนักบวชระดับสูงอะไรทำนองนั้น? เห็นว่านางมาเมืองหลวงเพื่อสังหารใครบางคน”“แล้ววันรุ่งขึ้นพี่สามก็ออกไป แล้วนำโถใบนี้กลับมา”“ส่วนเรื่องอื่นข้ามิรู้อะไรมาก”แต่คำพูดเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ลั่วชิงยวนตกใจได้แล้วนักบวชระดับสู
“อาจารย์ แค้นครั้งใหญ่นี้ได้รับการชำระแล้ว ท่านพักผ่อนอย่างสงบได้แล้ว”…… วันรุ่งขึ้นมีคนพบศพของลั่วไห่ผิงแล้วทันใดนั้น คนจากตำหนักอ๋องก็ไปยังจวนอัครเสนาบดีฟู่เฉินหวนจัดการศพของลั่วไห่ผิงด้วยตัวเอง ประกาศข่าวการเสียชีวิตของลั่วไห่ผิงและได้ข้อสรุปหลังจากการชันสูตรพลิกศพอัครเสนาบดีลั่วงรู้สึกผิด จึงเลือกที่จะปลิดชีพตนเองนี่เป็นเพียงวิธีพูดที่ทำให้ดูดีขึ้นหน่อยหลายคนคาดเดาว่า ลั่วไห่ผิงเป็นคนที่เห็นแก่เกียรติยศและผลประโยชน์ที่สุด ตอนนี้ถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมด และต้องถูกกักบริเวณถึงสองเดือน และห้ามมิให้มีส่วนร่วมในราชสำนักน่าจะทนรับการตกจากจุดสูงสุดนี้มิได้ จึงเลือกปลิดชีพตนเองแต่มีเพียงลั่วชิงยวนเท่านั้นที่รู้ว่าลั่วไห่ผิงถูกฆ่าตายเขาถูกฟู่เฉินหวนสังหาร!แม้ว่าลั่วชิงยวนจะมิเสียใจกับการเสียชีวิตของลั่วไห่ผิง แต่นางก็มิเข้าใจว่า เหตุใดฟู่เฉินหวนจึงต้องการฆ่าลั่วไห่ผิงหรือว่าลั่วไห่ผิงพูดความลับอะไรบางอย่างที่ทำให้ฟู่เฉินหวนต้องฆ่าเขา?น่าเสียดายที่ลั่วไห่ผิงตายไปแล้ว นางจึงมิอาจล่วงรู้ถึงความลับนี้ได้อีกต่อไปเมื่อลั่วไห่ผิงเสียชีวิต คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ
แม่เล้าเฉินพยักหน้า “ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเชื่อฟังท่านเจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนอยู่ที่หอฝูเสวี่ยทั้งวันก่อนจะกลับไป แม้จะมิได้ไปที่อื่นแต่ข่าวนี้ก็แพร่ออกไปแล้วท้ายที่สุดแล้วลั่วไห่ผิงคือบิดาผู้ให้กำเนิดของนาง ในวันที่บิดาผู้ให้กำเนิดถูกฝัง บุตรีของเขากลับไปหาความสำราญในหอฝูเสวี่ย และถึงกับดื่มเพื่อเฉลิมฉลองเสียด้วย แน่นอนว่าคงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายแต่ลั่วชิงยวนมิสนใจเมื่อกลับไปเห็นคิ้วขมวดและสายตาเย็นชาของฟู่เฉินหวน ก็เห็นว่าลั่วเยวี่ยอิงร้องไห้อย่างเศร้าโศก โดยมีฟู่เฉินหวนกำลังปลอบนางลั่วชิงยวนเพิกเฉยต่อพวกเขา เลี่ยงพวกเขาและกลับไปที่เรือนนอนของตัวเองแต่ฟู่เฉินหวนเรียกนางด้วยเสียงเย็นชา “เดี๋ยว!”ลั่วชิงยวนหันหน้าไป และพบกับฟู่เฉินหวนที่ขมวดคิ้วและจ้องมองอย่างเย็นชา “วันนี้เจ้าไปอยู่ที่ใดมา?!”“หอฝูเสวี่ย” ลั่วชิงยวนตอบอย่างใจเย็น“เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้เป็นวันฝังศพพ่อของเจ้า?” ฟู่เฉินหวนมองนางด้วยคิ้วขมวดแน่นนางมิไปก็ช่างเถอะ แต่กลับไปหาความสำราญที่หอฝูเสวี่ย กลัวว่าคนอื่นจะมิรู้ว่านางกำลังยินดีหรือไร?ตอนนี้ข้างนอกมีแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์เขามิรู้ว่าเหตุใดลั่วชิ
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน