รองเท้าคู่นั้นที่พบในตู้เสื้อผ้าดูเหมือนว่าจะเป็นวัสดุชนิดเดียวกันระดับการสึกหรอของพื้นรองเท้าดูเหมือนที่ด้านในจะสึกหรอมากกว่าเช่นกันมินาน ขันทีหลิวก็จากไปลั่วชิงยวนลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ นางจึงรีบไปที่สวนด้านหลังเมื่อเปิดประตูเข้าไป ฉากภายในก็ดูเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยผ้าห่มบนเตียงเคยถูกพับไว้ ตอนนี้กลับยุ่งเหยิง ดูเหมือนมีคนเพิ่งนอนที่นี่นางเดินเข้าไปสัมผัสใต้ผ้าห่ม ปรากฏว่ามันยังอุ่นอยู่!ลั่วชิงยวนตกใจมาก ชายคนนั้นอาศัยอยู่ที่นี่งั้นหรือ?นางเปิดตู้เสื้อผ้าออก แต่ภายในตู้เสื้อผ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ในกาน้ำชาบนโต๊ะมีน้ำร้อนเพิ่มขึ้น และมีถ้วยชาที่ใช้แล้วเพิ่มเข้ามาเท่านั้นเมื่อนึกถึงว่า ขันทีหลิวออกไปจากทางนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาคือคนที่อาศัยอยู่ที่นี่?เขาเป็นคนรักของต่งชูหรือไม่?แต่นั่นมิถูกต้อง แม้ว่าขันทีหลิวจะเป็นขันที แต่เขาก็มิควรอาศัยอยู่ด้านหลังห้องบรรทมของไทเฮาเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางก็เริ่มค้นภายในห้องทันทีตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน หวังว่าจะพบเบาะแสเพิ่มเติมสุดท้ายก็พบทางลับอยู่บนเตียง เมื่อเปิดแผ่นไม้ขึ้นมา ด้านล่
“หัวหน้าหมอหลวงมู่ ใบเทียบยาทั้งสองนี้มาจากสำนักหมอหลวงของท่านหรือไม่?”หัวหน้าหมอหลวงมู่มองดูและพยักหน้า “มันเป็นใบเทียบยาที่สำนักหมอหลวงจัดทำขึ้น แต่นี่ดูมิเหมือนกับใบเทียบยาที่ออกตอนตรวจรักษา น่าจะเป็นใบเทียบยาที่ออกในระหว่างการทดสอบตามปกติของสำนักหมอหลวง”“เช่นนั้น หัวหน้าสำนักหมอหลวงมู่จำลายมือในใบเทียบยานี้ได้หรือไม่?”หัวหน้าสำนักหมอหลวงมู่ตอบอย่างมิลังเลแม้แต่น้อยว่า "นี่น่าจะเป็นลายมือของเซิ่งไป่ชวน"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง“เป็นเขาหรือ?”หัวหน้าสำนักหมอหลวงมู่สับสนมาก "พระชายา ท่านถามเรื่องนี้ด้วยเหตุใด? อีกทั้งใบเทียบยาที่ใช้ในการทดสอบเหล่านี้ก็ควรถูกเก็บไว้ในสำนักหมอหลวง เหตุใดจึงมาอยู่กับท่าน?"“เซิ่งไป่ชวนมิได้ก่อเรื่องอะไรมิดีใช่หรือไม่?”มู่หรูไห่รู้สึกประหม่าเล็กน้อยลั่วชิงยวนเปลี่ยนหัวข้อและถามว่า "ผู้ดูแลสำนักหมอหลวง ข้าขอถามสักคำ ท่านจัดการเจิ้งหวู่เหลียงแห่งสำนักหมอหลวงแล้วหรือยัง?"มู่หรูไห่มีสีหน้าเคร่งขรึม “มิต้องห่วง ข้าจะจะจัดการเอง แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไปลั่วชิงยวนพยักหน้า แล้วนางก็พูดถึงใบเทียบยา นางถามอย่างสงสัย "ผู้ดูแลสำนักหมอหลว
จากนั้นนางจึงติดตามหัวหน้าหมอหลวงมู่ไปยังสำนักหมอหลวง และยังปลอมตัวเป็นหมอหลวงหนุ่มเพื่อความสะดวกในการเข้าออก มิให้เป็นที่สะดุดตาหัวหน้าหมอหลวงมู่พานางไปยังหอจดหมายเหตุตามหาม้วนหนังสือเก่า ๆ ที่ถูกฝุ่นจับหนาอยู่บนชั้นหนังสือหลังจากค้นหาอยู่นาน ในที่สุดหัวหน้าสำนักหมอหลวงมู่ก็หยิบหนังสือหนา ๆ สองเล่มออกมา"น่าจะเป็นเล่มนี้แล้ว"ลั่วชิงยวนเปิดหนังสือ และตรวจดูทีละหน้านางอ่านบันทึกการวินิจฉัยชีพจรหนึ่งปีก่อนเกิดกลียุคในวัง นางสนมทั้งหมดได้รับการวินิจฉัยชีพจรโดยหมอหลวงเป็นประจำ แต่บันทึกการวินิจฉัยชีพจรของไทเฮากลับมีการเปลี่ยนหมอหลวงกลางคัน“หัวหน้าสำนักหมอหลวง หมอหลวงสวี่ซิงเต๋อยังอยู่หรือไม่?”หัวหน้าสำนักหมอหลวงมู่ส่ายหน้า “เขาเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว”ลั่วชิงยวนมองกลับไปกลับมาที่บันทึกไปมา คิ้วขมวดมุ่น“มีอะไรหรือ? มีอะไรผิดปกติหรือไม่?”ลั่วชิงยวนกล่าวว่า "ดูสิ ต้นเดือนสาม ไทเฮามีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้และง่วงนอน แต่มิได้จับชีพจร เพียงแค่สั่งยาให้ทานเท่านั้น"“ในเดือนสี่ หมอหลวงผู้วินิจฉัยชีพจรถูกแทนที่ด้วยสวี่ซิงเต๋อ”“ในอีกสิบเดือนต่อจากนั้น หมอหลวงสวี่ซิงเต๋อเป็นผู้ต
ลั่วชิงยวนจะมิเป็นกังวลได้เช่นไร การเคลื่อนไหวของตระกูลเหยียนครั้งนี้ก็เพื่อจะกลืนอำนาจทหารในมือของฟู่เฉินหวน ดังนั้นย่อมมิอาจปล่อยให้พวกเขาสมหวังได้“วันนี้ตอนที่เข้าไปในพระตำหนักโช่วสี่ หม่อมฉันพบเบาะแสบางอย่าง แต่มิพบหลักฐานที่เพียงพอ ดังนั้นหม่อมฉันคิดว่าจะต้องล่อให้บุคคลนั้นปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง”นางค่อย ๆ เดินไปที่เตียงและเห็นว่าจักรพรรดิสูงสุดก็มิได้หลับไปเช่นกัน และกำลังตั้งใจฟังคำพูดของนางนางคุกเข่าลงและถามว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันต้องการใช้กลอุบายเก่า ๆ อีกครั้ง และหม่อมฉันต้องการความร่วมมือจากพระองค์ พระองค์ทรงเต็มใจหรือไม่เพคะ?”เพราะการฝังเข็มอย่างรุนแรงเพื่อให้ร่างกายของจักรพรรดิสูงสุดเคลื่อนไหวได้ จะทำให้เกิดความเสียหายต่อร่างกาย นางจึงต้องขอความยินยอมจากองค์จักรพรรดิสูงสุดก่อนแต่จักรพรรดิสูงสุดก็พยักหน้าอย่างมิลังเลทั้งยังส่งสายตาให้กับนางอย่างแรงกล้าด้วยลั่วชิงยวนตกตะลึง "ท่านทรงอยากให้หม่อมฉันฝังเข็มตอนนี้เลยหรือ?"จักรพรรดิสูงสุดพยักหน้า“แต่การฝังเข็มเสียตั้งแต่ตอนนี้ ในวันพรุ่งคงไม่มีผลมากนัก”แต่จักรพรรดิสูงสุดดูวิตกกังวลมาก และตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะให
กระทบไปที่ข้อมือของจักรพรรดิโดยตรงจักรพรรดิสูงสุดมิสามารถจับพู่กันให้นิ่งได้และล้มลงทันทีดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางมองไปที่ร่างที่อยู่ตรงมุมห้องขันทีหลิว!“เสด็จพ่อ!” ฟู่จิ่งหานรีบเข้าประคองจักรพรรดิสูงสุดอย่างรวดเร็วไทเฮาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พลางจับมือของจักรพรรดิสูงสุด และแทงเข็มเงินเข้าไปในข้อมือของจักรพรรดิด้วยพลังอันมหาศาลจักรพรรดิสูงสุดเจ็บปวดอย่างมาก แต่เขามิสามารถส่งเสียงหรือหลบหลีกได้จากนั้นไทเฮาก็ยืนขึ้นและดุลั่วชิงยวนด้วยความโกรธ“ลั่วชิงยวน อาการป่วยของจักรพรรดิสูงสุดยังมิหายดี หยุดทรมานจักรพรรดิสูงสุดได้แล้ว!”“จักรพรรดิสูงสุดใช้กำลังทั้งหมดเขียนอักษรได้เพียงมิกี่ตัว พระวรกายพระองค์ก็เหนื่อยล้ามากแล้ว เจ้ายังต้องการอะไรอีก!”“ตัวข้ามิอยากเห็นเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สาม!”หลังจากที่ไทเฮาพูดจบ นางก็ขอให้เจ้าหน้าที่ถอยออกไปทุกคนทยอยออกจากห้องบรรทมแล้วจึงกล้าพูดคุยกัน“องค์จักรพรรดิสูงสุดต้องการจะสื่ออะไรกันแน่? พิษไทเฮาอะไรกัน?”“มียาพิษอยู่ในร่างของไทเฮาหรือเปล่า?”“ไทเฮาก็ถูกวางยาพิษด้วยหรือ?”“ท่านหมายความว่าอย่างไร? ข้
คนบนเตียงรู้สึกประหม่าอย่างยิ่ง พลิกตัวเพื่อหลบเลี่ยงทันควันการแสดงออกของขันทีหลิวเปลี่ยนไปอย่างมากนี่มิใช่จักรพรรดิสูงสุด!เขาพุ่งกริชไปอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะฆ่าคนผู้นี้โดยตรง แต่ก็เห็นใบหน้าของคนผู้นั้นทันทีเซิ่งไป่ชวน!กริชของเขาหยุดเคลื่อนไหวทันทีเขากัดฟัน แล้วดึงมือกลับจากนั้นเขาก็ก้มลงมองดูว่าจักรพรรดิสูงสุดซ่อนอยู่ใต้เตียงหรือไม่แต่กลับว่างเปล่าเซิ่งไป่ชวนรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังตะโกนว่า "ขันทีหลิว ท่านรับใช้จักรพรรดิสูงสุดมานานเพียงนี้แล้ว เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้ได้!"“ยังมิสายเกินจะกลับตัวกลับใจ!”ขันทีหลิวหาจักรพรรดิสูงสุดมิพบที่ไหนเลย เขากังวลมากจนต้องคว้าคอเสื้อเซิ่งไป่ชวนเอาไว้กริชจ่อบนลำคอของเขา“พวกเจ้าซ่อนองค์จักรพรรดิสูงสุดไว้ที่ใด?”เซิ่งไป่ชวนพูดอย่างเย็นชา "ข้ามิรู้ และถึงข้ารู้ข้าก็จะมิบอกท่าน!"ขันทีหลิวกำกริชไว้แน่น หมายจะข่มขู่เขา แต่ก็มิอาจลงมือได้ทันใดนั้น ก็มีร่างหนึ่งเดินเข้าไปห้องบรรทมช้า ๆขันทีหลิวตกใจ เขาคว้าคอเสื้อของเซิ่งไป่ชวนไว้แน่นกว่าเดิมแล้วจ่อกริชคมกริบไว้ที่คอของเขาลั่วชิงยวนเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ "ขันทีหลิว เป็นเ
“แน่นอนว่าต้องใช้ช่วยสตรีที่ข้ารักสิ”ลั่วฉิงขมวดคิ้วและกัดฟัน “ลั่วเยวี่ยอิงเช่นนั้นรึ?!”หรือการที่ลั่วเยวี่ยอิงกำลังจะตาบอด นางจึงต้องการสนหิมะเขาฉีซาน ลั่วเยวี่ยอิงเก็บมันไว้กับตัวนางงั้นหรือนางคิดไว้แล้วว่าลั่วเยวี่ยอิงคนนี้ไว้ใจมิได้!แต่เหยียนผิงเซียวกลับยังมอบงานสำคัญเช่นนี้ให้ลั่วเยวี่ยอิง!สนหิมะเขาฉีซานนั่น นางอุตส่าห์หามาอย่างยากลำบาก!บัดซบ!“ในเมื่ออ๋องผู้สำเร็จราชการบอกความจริงเช่นนั้นข้าก็จะมิอ้อมค้อมอีก”“ต้องมีใครสักคน ต้องมีคนชดใช้ต่อสนหิมะเขาฉีซานของข้า!”ดวงตาของลั่วฉิงแข็งกร้าวนางยกมือขึ้นสะบัด เขี้ยวเหล็กสองเล่มพุ่งเข้าหาฟู่เฉินหวน และปักเข้าไปที่หัวไหล่ของเขาปึก… เลือดพุ่งออกมาอย่างรุนแรงเสียงกระดูกแตกดังเข้าหูความเจ็บปวดอย่างสาหัส ทำให้เขามิกล้าขยับร่างกายแม้แต่น้อยเมื่อลั่วฉิงเห็นว่าฟู่เฉินหวนนิ่งเงียบมิร้องสักแอะ มุมปากของปากจึงยกยิ้มเย็นชา“ใต้กล้านี้ ไม่มีใครทนเขี้ยวเหล็กเล่มที่สามของข้าได้ เมื่อพวกมันเข้าไปในร่างกายแล้ว กระดูกพวกนั้นจะแตกกระจายออกและเข้าทำลายหัวใจ ทำให้ทรมานจนอยากตายมากกว่ามีชีวิต”“แต่หากนำเขี้ยวเหล็กออก เส้นลมปราณ
ไม่มีใครอยู่ในห้องทรมานเลยคนหายไปไหน?“อ๋องผู้สำเร็จราชการอยู่ที่ไหน อ๋องผู้สำเร็จราชการอยู่ที่ไหน?” ฟู่จิ่งหลีคว้าตัวผู้คุมและถามทันที“มีคนพาตัวท่านอ๋องไปเมื่อเช้านี้พ่ะย่ะค่ะ”ฟู่จิ่งหลีร้อนใจอย่างหนัก “พาตัวไปที่ใด?”"มิทราบพ่ะย่ะค่ะ"“เขาเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการ เจ้าปล่อยให้เขาถูกพาตัวไปโดยที่ฝ่าบาทมิได้ทรงรับสั่งได้เยี่ยงไร!”ฟู่จิ่งหลีโกรธ และปล่อยมือจากอีกฝ่ายทันทีข้าเริ่มค้นหาไปทั่วเรือนจำ แต่หลังจากค้นหาไปรอบ ๆ ก็ไม่มีวี่แววของพี่สามเลยตระกูลเหยียนพาเขาไปซ่อนที่ไหน?…… ในห้องบรรทม ลั่วชิงยวนและขันทีหลิวประมือกันอย่างดุเดือดมานานกว่าสิบกระบวนท่า และในที่สุด ลั่วชิงยวนก็เอาชนะเขาได้แต่ทว่า ในระหว่างการต่อสู้ ลั่วชิงยวนได้ค้นพบว่า ทักษะวรยุทธของขันทีหลิวล้วนมาจากแคว้นหลีเช่นกันแถมยังเป็นวิชาสายของสำนักนักบวชจากแคว้นหลีด้วยขันทีหลิวเองก็ตกใจมิแพ้กัน เพราะเขาก็ค้นพบว่าทักษะวรยุทธของลั่วชิงยวนมาจากแคว้นหลีเช่นกันแต่ลั่วชิงยวนเป็นบุตรีของอัครเสนาบดีแห่งแคว้นเทียนเชวีย แล้วเหตุใดนางจึงมีวิชาของแคว้นหลีได้กัน?แต่ก่อนที่เขาจะมีเวลาได้สืบสาวราวเรื่อง ลั่วชิงยวนก็
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน