เซิ่งไป่ชวนพยักหน้าทันใดนั้น ลั่วชิงยวนก็กระโดดขึ้นไปบนหลังคาที่ถูกเจาะเป็นรูด้วยวิชาตัวเบาในขณะนี้ จักรพรรดิสูงสุดกำลังบรรทมอยู่บนหลังคาลั่วชิงยวนแบกร่างจักรพรรดิสูงสุดไว้บนหลังแล้วกระโดดลงมาจากหลังคาเซิ่งไป่ชวนรีบก้าวไปประคองจักรพรรดิสูงสุด และอุ้มเขาขึ้นไปที่เตียงในเวลานั้น เพื่อมิให้จักรพรรดิหวาดกลัว จึงให้ยานอนหลับแก่เขาเล็กน้อย ดังนั้นตอนนี้เขาจึงยังคงหลับอยู่เพื่อความปลอดภัย จึงได้ซ่อนจักรพรรดิสูงสุดไว้บนหลังคา……“พี่สาม!” ในที่สุดเมื่อฟู่จิ่งหลีมาถึงห้องมืด และได้เห็นฟู่เฉินหวนที่ร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยเลือด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมากฟู่เฉินหวนจวนจะตายอยู่รอมร่อแล้ว เขามองเห็นเพียงร่างเลือนรางที่อยู่เบื้องหน้า และตะโกนอะไรบางอย่างด้วยสติเลื่อนลอยฟู่จิ่งหลีก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนปลดเชือกออกจากร่างของเขาแล้วแบกเขาไว้บนหลัง "มิเป็นไรแล้ว พี่สาม ข้าจะพาท่านกลับไปรักษาเดี๋ยวนี้"หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็รีบแบกฟู่เฉินหวนขึ้นหลังแล้วจากไปมุ่งตรงออกจากวังหลวงอย่างมิหยุดพักฟู่เฉินหวนนอนหงาย และตะโกนอะไรบางอย่างด้วยสติเลื่อนลอยฟู่จิ่งหลีฟังอยู่นาน ก่
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หมอหลวงมู่ก็ตกใจ“แล้วจักรพรรดิสูงสุด...”เมื่อไทเฮาได้ยินดังนั้น ดวงตาของนางก็เย็นชาลง "หลายครั้งก่อนหน้านี้นางทำให้พระพลานามัยขององค์จักรพรรดิสูงสุดดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เกรงว่าคงจะเป็นเพียงการตบตา!"“ตอนนี้มิสามารถรักษาองค์จักรพรรดิสูงสุดได้แล้ว ดังนั้นนางจึงหนีไป!”“ข้าว่าแล้ว นางจะมีความสามารถยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้อย่างไร!”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฟู่จิ่งหลีก็ตกใจเป็นอย่างมาก "อะไรกัน? นางหลอกข้าด้วยรึ?""มิเช่นนั้นจะเป็นอะไรได้?"ฟู่จิ่งหลีโกรธมากและสั่งทันที "ใครก็ได้! ปิดประตูพระราชวังบัดเดี๋ยวนี้แล้วค้นหาลั่วชิงยวน ในชั่วข้ามคืนต้องนำตัวนางมาหาข้าให้จงได้!"เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิได้ออกคำสั่งแล้ว ไทเฮาก็มิได้ตรัสอะไรอีกเมื่อมองไปที่จักรพรรดิสูงสุดที่หมดสติอยู่บนเตียง นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยพิษของเจ๋อเฉิง ลั่วชิงยวนรักษาได้เช่นไร?ในมิช้า ประตูทุกบานของพระราชวังก็ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา และองค์รักในวังก็กำลังตามหาพวกเขาในขณะนี้ ลั่วชิงยวนได้มาถึงตำหนักอ๋องผู้สำเร็จราชการแล้วและมาที่ลานบ้านในห้องมีแสงไฟส่องสว่างอยู่ลั่วชิงยวนต้องการเข้าไปดู
“ท่านอ๋อง!” ลั่วเยวี่ยอิงอุทานด้วยความตกใจในเวลานี้ ซ่งเชียนฉู่เดินเข้ามาพร้อมกับยา เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวก็ก้าวไปข้างหน้าและดึงลั่วเยวี่ยอิงออกไปทันที"นี่เจ้าทำอะไรลงไป?"ลั่วเยวี่ยอิงล้มลงกับพื้น เอ่ยทั้งน้ำตาว่า "ข้าจะทำอันใดได้ ข้าเพียงห่วงใยท่านอ๋องเท่านั้น..."“ท่านหมอซ่ง…” ฟู่เฉินหวนพยุงร่างกายขึ้นพูดด้วยความยากลำบากซ่งเชียนฉู่วางยาลงอย่างรวดเร็ว ขับไล่ลั่วเยวี่ยอิงออกไปแล้วจึงปิดประตูนางคว้าข้อมือของฟู่เฉินหวนและตรวจดูชีพจรของเขา“ยามนี้ท่านยังมิควรขยับร่างกาย พลังเขี้ยวเหล็กนั้นรุนแรงเกินไป!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว “ลั่วชิงยวนถูกตามล่าหรือไม่ นางอยู่ที่ใด?”ซ่งเชียนฉู่ตกใจ นางตระหนักได้ว่าลั่วเยวี่ยอิงได้เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง และนั่นทำให้เขาต้องกระอักเลือดเมื่อรู้ดังนั้นแล้วก็มิจำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป“ยามนี้ยังไม่มีใครรู้ว่านางอยู่ที่ใด หม่อมฉันเดาว่านางคงออกจากเมืองไปแล้ว”“แต่หม่อมฉันมิคิดว่า นางจะหลบหนีไปเพราะกลัวความผิด”“หากนางมีคนไข้ที่รักษามิได้ นางก็ไม่มีวันจะหนีไปเฉย ๆ”ฟู่เฉินหวนครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อมินานมานี้ ฟู่จิ่งหล
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หัวใจของฟู่เฉินหวนก็หนักอึ้ง“ถ้าเช่นนั้น ส่งข่าวถึงท่านแม่ทัพใหญ่ต่งเจิ้นซาน” ซูโหยวดูลำบากใจ “แม่ทัพใหญ่ต่งเจิ้นซานป่วยหนักมาหลายวันแล้ว ข่าวสุดท้ายที่พวกเราส่งกลับมาคือ ซือซิงรับหน้าที่บัญชาการแทน”“เกรงว่า ซือซิง เขาอาจจะเข้าร่วมกับตระกูลเหยียนไปแล้ว”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ การแสดงออกของฟู่เฉินหวนก็เปลี่ยนไปถ้าลั่วชิงยวนไปที่อู่จิ้น...มิเท่ากับไปตายหรอกหรือ?……ลั่วชิงยวนขี่ม้าไปพันลี้ เร่งเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อมาถึงเมืองอู่จิ้น นางก็เหนื่อยล้าจนแทบขาดใจหลังจากเข้าไปในเมือง ลั่วชิงยวนรีบหาทหารยามประจำประตูเมืองทันที "พวกท่านคือกองทหารอู่จิ้นหรือเปล่า? ข้าอยากพบแม่ทัพของท่าน!"อีกฝ่ายมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า “เจ้าเป็นใคร?”“ข้ามาจากเมืองหลวง ท่านพาข้าเข้าไปหน่อยสิ” ลั่วชิงยวนรู้สึกกังวลในใจล่าช้ามาหลายวันขนาดนี้ มิรู้ว่าที่ฉินเชียนหลี่เป็นเช่นไรบ้างนางไม่มีเวลาไปตรวจสอบได้เลย ต้องรีบมาที่นี่เพื่อเรียกระดมพลไปสนับสนุนทันทีทหารยามที่ประตูเมืองพานางขึ้นไปค้นหาทีละชั้น จนกระทั่งมาถึงลานที่มีการคุมเข้มอย่างแน่นหนา“แม่ทัพซือ มีคนจากเมืองหลว
เขาถูกวางยาพิษ!ปีกพญามัจจุราชที่นางคุ้นเคยอีกแล้ว!เพียงแต่พิษในร่างของกายของต่งเจิ้นซานนั้นซับซ้อนกว่านั้น มิเพียงแต่มีพิษจากปีกพญามัจจุราชเท่านั้น แต่ยังมีพิษชนิดอื่น ๆ อีกด้วยและพิษเหล่านี้ได้สะสมมาเป็นเวลานานหลายปีพิษของปีกพญามัจจุราชนั้นกลับมิได้สะสมมานานนักแต่เป็นเพราะพิษของปีกพญามัจจุราชที่ทำให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นจักรพรรดิสูงสุดก็ถูกพิษของปีกพญามัจจุราชเช่นกัน นางยังมิสามารถล้างพิษต่งเจิ้นซานได้ในขณะนี้ หากนางสามารถล้างพิษปีกพญามัจจุราชได้ ตระกูลเหยียนก็จะรู้ว่านางมีวิธีถอนพิษนี้แล้วซึ่งจะส่งผลให้พวกเขาทำร้ายจักรพรรดิสูงสุดทุกวิถีทางดังนั้น นางจึงทำได้เพียงต้องรักษาจักรพรรดิสูงสุดให้หายก่อน จึงจะสามารถล้างพิษให้ตงเจิ้นชานได้ทว่าในสถานการณ์ของต่งเจิ้นซาน คงมิสามารถรักษาให้หายขาดได้ในเวลาอันสั้น“อาการป่วยของแม่ทัพใหญ่นั้นร้ายแรงจริง ๆ ทั้งร่างกายของเขาแข็งเกร็ง พูดมิได้ และขยับตัวมิได้ ดูเหมือนเป็นโรคเรื้อรังที่สะสมมานานหลายปี”“เราคงทำได้แค่ค่อย ๆ บำรุงรักษาไปอย่างช้า ๆ เท่านั้น”ทันทีที่นางพูดจบเซี่ยงจิ้งก็ดูผิดหวังเขาพูดอย่างเย็นชา "หมอที่ข้าเชิญก่
ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าความทะเยอทะยานในดวงตาของเหยียนหน่ายซินที่นางเห็นคือสิ่งใด“ก่อนหน้านี้เจ้าล้วนแสร้งทำหรือ?”เหยียนหน่ายซินยิ้มเบา ๆ “เจ้าหมายถึงเรื่องใดเล่า”“อาศัยตำแหน่งว่าที่ฮองเฮา ทำตัวตามอำเภอใจ ก่อความผิดมหันต์ กล่าวอ้างว่ามิอยากเป็นฮองเฮา และต้องการหนีไปกับคนรักของเจ้า ทั้งหมดนี้เจ้าล้วนแสร้งทำหรือ?”“ดังนั้นเจ้าจึงใจแข็งถึงขนาดลงมือฆ่าโม่เชียนด้วยมือของเจ้าเอง”เหยียนหน่ายซินได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะออกมา "ใช่แล้ว"“ท่าทางโง่เขลาและสิ้นหวังนั้นล้วนเป็นการแสร้งทำ ข้ามิอยากอภิเษกกับฝ่าบาทจริง ๆ เพราะถึงข้าจะเป็นฮองเฮาของเขา ข้าก็จะเป็นเพียงหุ่นเชิดของตระกูลเหยียน มิต่างอะไรจากการเป็นหุ่นเชิดในวังหลัง”“ข้ายอมรับมิได้ที่ต้องเป็นหุ่นเชิด ถึงจะยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงขนาดนี้ แต่กลับมิอาจครอบครองอำนาจที่ควรมีได้เลย”"เช่นนั้น ข้าจึงมาที่นี่"เหยียนหน่ายซินพูด พลางหยิบป้ายคำสั่งออกมาจากอกเสื้อและมอบให้ลั่วชิงยวน“เจ้าบอกซือซิงว่า ตระกูลเหยียนส่งเจ้ามา แต่หากเจ้าไม่มีป้ายคำสั่ง ซือซิงย่อมมิเชื่อแน่”“ตอนนี้กองทัพกว่าครึ่งของอู่จิ้นอยู่ในมือของเขาแล้ว มีเพียงต้องใช้สิ่ง
ลั่วชิงยวนสะดุ้งเล็กน้อย และครู่หนึ่งเผลอคิดว่าตัวตนของนางถูกเปิดเผยแล้วแต่เมื่อคิดไปคิดมา หากซือซิงรู้ว่านางเป็นใคร แทนที่จะพูดเช่นนี้ เขาคงจะลงมือทันทีลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ "เช่นนั้นแม่ทัพซือคิดว่าข้าเป็นใครเล่า?"น้ำเสียงของซือซิงเย็นชา "ดูเหมือนเจ้าจะมิยอมบอกความจริง งั้นก็พาตัวไปเลย ข้ามีวิธีที่จะทำให้เจ้าพูดอยู่แล้ว"สตรีผู้นี้บอกว่านางถูกส่งมาจากตระกูลเหยียน แต่นางกลับรู้ทักษะทางการแพทย์ และยังช่วยรักษาต่งเจิ้นซานด้วยเหลวไหลนัก เขาเป็นคนวางยาพิษเอง แล้วตระกูลเหยียนจะส่งคนมารักษาต่งเจิ้นซานได้เช่นไรหากถามดี ๆ มิได้คำตอบ ก็ต้องใช้การทรมานอย่างรุนแรงเท่านั้นขณะที่ทหารกำลังเข้ามาจับนาง ลั่วชิงยวนก็หยิบป้ายคำสั่งออกมาโดยมิพูดอะไรแม้แต่คำเดียวแต่เมื่อซือซิงเห็นป้ายคำสั่ง การแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก“เจ้า… เจ้าคือ...”ลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง และเก็บป้ายคำสั่งกลับไปนางพูดด้วยน้ำเสียงมิพอใจ "ยังจะจับข้าอยู่อีกหรือ? ข้าเกรงว่าหากจับข้าแล้วจะมิสามารถรายงานต่อผู้บังคับบัญชาได้กระมัง"น้ำเสียงของซือซิงอ่อนลงทันที "แม่นาง เหตุใดท่านมิเอามันออกมาตั้งแ
ลั่วชิงยวนนำตราประทับมังกรออกมา“เห็นตราประทับมังกรก็เหมือนกับการได้เห็นองค์จักรพรรดิสูงสุด! ท่านยังมิเชื่ออีกหรือ?”เซี่ยงจิ้งดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง“ตราประทับมังกรรึ?” เขาจ้องมองสิ่งที่อยู่ในมือของลั่วชิงยวนด้วยความลังเล“ข้าจะรู้ได้เช่นไรว่าตราประทับมังกรที่เจ้าถืออยู่นั้นเป็นของจริงหรือของปลอม?”ประการแรก ก่อนหน้านี้นางมีป้ายคำสั่งของมหาราชาจารย์เหยียนที่ใช่การให้ซือซิงระดมพลไปแล้วทำให้เซี่ยงจิ้งมิอาจปักใจเชื่อได้อย่างง่ายดายลั่วชิงยวนเก็บตราประทับมังกรไป และมองไปที่ต่งเจิ้นซานบนเตียง "แม่ทัพใหญ่ต่งถูกวางยาพิษด้วยพิษชนิดเดียวกับที่องค์จักรพรรดิสูงสุดได้รับ ข้ารักษาได้ แต่ตอนนี้ข้ายังมิอาจรักษาได้"“หลังจากที่จักรพรรดิสูงสุดพระอาการดีขึ้นแล้วเท่านั้นข้าจึงจะสามารถล้างพิษของแม่ทัพใหญ่ต่งได้ มิเช่นนั้นข้าจะถูกตระกูลเหยียนสงสัยเอาได้”“แต่ตอนนี้ข้าสามารถทำให้แม่ทัพใหญ่ต่งฟื้นตัวได้ชั่วคราว”เมื่อได้ยินสิ่งนี้เซี่ยงจิ้งตกใจอย่างหนัก“ว่ากระไรนะ?” ถูกพิษชนิดเดียวกันกับองค์จักรพรรดิสูงสุด?"ได้ ตราบใดที่เจ้าสามารถรักษาพิษของท่านแม่ทัพใหญ่ได้ ข้าจะเชื่อเจ้า!"ลั่วชิ
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน