"ทายาเสีย"ฟู่เฉินหวนหยิบกล่องยาออกมา จุ่มปลายนิ้วลงในยาแล้วทาที่ลำคอของนางเช่นนั้นลั่วชิงยวนจึงรู้สึกเจ็บที่คอแต่ด้วยยานั้นความเจ็บปวดก็บรรเทาลงอย่างรวดเร็ว รู้สึกเย็นสบายมากลั่วชิงยวนลดสายตาลงพลางมองไปยังใบหน้าอันหล่อเหลาที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม และหัวใจของนางก็พลันสั่นไหวเล็กน้อย“อาการบาดเจ็บของท่านเล่า เป็นเช่นไรบ้าง?” ลั่วชิงยวนคว้าข้อมือของเขามากุมไว้โดยมิรู้ตัวฟู่เฉินหวนหลบเลี่ยงตามสัญชาตญาณ และยังคงทายาให้นางต่อไป "ข้ามิเป็นไร เจ้าห่วงตัวเองก่อนเถอะ"ลั่วชิงยวนมิสงสัยเลยสักนิด“อาการบาดเจ็บของหม่อมฉันมิได้ร้ายแรง มันเป็นแค่รอยถลอกเท่านั้น”ฟู่เฉินหวนหยุดและมองนางด้วยสายตาจริงจัง "แค่รอยถลอกหรือ แล้วเหตุใดหน้าเจ้าถึงซีดเซียวเช่นนี้"“หม่อมฉัน... หม่อมฉันมิได้รับบาดเจ็บอะไรจริง ๆ เช่นนั้นท่านหาอย่าได้กังวลไปเลยเพคะ” ลั่วชิงยวนมิรู้จะอธิบายอย่างไรนางรีบลุกขึ้นยืน และดูแผนที่ต่อไปฟู่เฉินหวนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเก็บยาลงไปก่อนจะถามว่า "เจ้ารู้หรือไม่ว่าซือซิงเป็นคนของตระกูลเหยียน"ลั่วชิงยวนตอบว่า "รู้สิ"“แล้วเหตุใดเจ้าถึงยังไว้ชีวิตเขา? แล้วเจ้าดึงเขามาจาก
หลังจากคิดอยู่นาน เขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นช้า ๆ "ชิงยวน ตำหนักอ๋องผู้สำเร็จราชการ กักขังเจ้าไว้หรือไม่?"แต่นางกลับมิได้รับคำตอบสักทีเมื่อเขาหันกลับไป ก็พบว่าลั่วชิงยวนฟุบหลับไปบนโต๊ะเสียแล้วฟู่เฉินหวนยิ้มอย่างหมดหนทางเขาก้าวไปข้างหน้าและอุ้มลั่วชิงยวนขึ้นมา พานางไปส่งที่อีกห้องหนึ่ง ถอดรองเท้าของนางออกแล้วห่มผ้าให้คิดดูแล้ว นางคงมิได้นอนหลับอย่างสบายมาหลายวัน ดังนั้นให้นางนอนหลับอย่างสงบสักครั้งเถิดก่อนเขาจะเดินออกจากห้องไปที่ลานเรือน เซียวชูเข้ามาพร้อมกับยกยามาด้วย“ท่านอ๋อง ถึงเวลาเสวยพระโอสถแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขารออยู่ในเงามืดมาตลอด จนยาจวนจะเย็นชืดแล้วฟู่เฉินหวนหยิบชามยาขึ้นมาและกินหมดในอึกเดียว "ข้าจะกินยาที่เจ้านำมานี้เท่านั้นและจะมิกินอีก ในเมืองมียาสมุนไพรเหลือมิมากแล้ว เก็บไว้ให้ทหารที่บาดเจ็บเถิด" "พ่ะย่ะค่ะ"ฟู่เฉินหวนก้าวออกไป และเซียวชูก็รีบก้าวไปข้างหน้า “ท่านอ๋อง เดินทางมาไกลหลายวัน ท่านจะมิพักหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฟู่เฉินหวนมิหยุดก้าวเดิน ตอบอย่างใจเย็นว่า "กองกำลังของซือซิงมิได้อ่อนแอ ต้องจับตาดูเขาเอาไว้ มิเช่นนั้นเขาอาจจะเล่นแง่กับเราได้"“เมือ
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” ลั่วชิงยวนรีบตามไปพร้อมกับยาในมือเห็นชายคนนั้นเดินอย่างเร่งรีบและคอยมองซ้ายมองขวาด้วยความระแวดระวัง ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในถนนด้านข้างลั่วชิงยวนจึงรีบตามไปอย่างรวดเร็วแต่บังเอิญเจอเซียวชูที่เดินมาจากอีกทางหนึ่งพอดี“พระชายา เหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่ได้?” เซียวชูก็ออกมาค้นหาเครื่องยาสมุนไพรด้วยในเมืองมีทรัพยากรมิมากนัก ท่านอ๋องปฏิเสธที่จะเสวยพระโอสถ เพื่อเก็บสมุนไพรไว้ให้ทหารที่ได้รับบาดเจ็บแต่อาการบาดเจ็บของท่านอ๋องสาหัสเพียงนั้น จะใช้ยามิได้ได้อย่างไร?ดังนั้นเขาจึงออกไปตามหามาเพิ่มลั่วชิงยวนยื่นถุงให้เขา "นี่ สมุนไพร นำกลับไปเถอะ"“ให้ซือซิงหาทางนำแม่แพะมาเลี้ยงสักสองสามตัวด้วย มีสตรีที่มิมีน้ำนมเลี้ยงบุตร ต้องการนมแพะด่วน รีบหน่อยนะ!”เซียวชูตกใจเล็กน้อยและกำลังจะถามพระชายาว่ายาเหล่านี้มาจากที่ใดแต่ลั่วชิงยวนกลับเดินออกไปอย่างรีบร้อนลั่วชิงยวนไล่ตามชายคนนั้นไปจนสุดตรอก จนในที่สุดก็เห็นชายคนนั้นอีกครั้งแต่ที่แปลกคือชายคนนั้นมิได้ไปสถานที่ลับอะไร เพียงแต่เดินไปทั่วเมืองเท่านั้นอีกทั้งตลอดทางยังคอยหลบหลีกการลาดตระเวนลั่วชิงยวนติดตามเขาไปอย่างเงีย
ลั่วชิงยวนเข้าใจสถานการณ์ของเผ่านอกด่านคร่าว ๆ แล้ว นางหรี่ตาลงเล็กน้อยและมองไปที่หล่างมู่ "ข้าก็นึกว่าเจ้ากับหล่างชิ่นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมิน้อย คาดมิถึงว่านางจะฉวยเอาโอกาสนี้มาฆ่าเจ้า"หล่างมู่กำหมัดแน่น รู้สึกโกรธในใจ“หากพวกเจ้าอยากให้ข้าปล่อยพวกเจ้าไปก็ย่อมได้ แต่ข้ามีเงื่อนไข”ลั่วชิงยวนมองไปที่หล่างมู่อย่างจริงจัง "ข้าจะช่วยให้เจ้าได้ขึ้นเป็นราชาแห่งเผ่านอกด่าน แต่เจ้าต้องล่าถอยทันทีและห้ามรุกรานแคว้นเทียนเชวียอีก!"เผ่านอกด่านแข็งแกร่งมาก ในอดีต ฉินเชียนหลี่ถูกพวกเขาโจมตีเพียงเผ่าเดียวก็ยังรู้สึกได้ถึงภัยคุกคาม จึงต้องของบประมาณจากองค์จักรพรรดิเพื่อสร้างป้อมปราการทว่ายามนี้ เมื่อชนเผ่าเหล่านี้รวมกันเป็นหนึ่งแล้ว ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ยิ่งทวีขึ้นกว่าเดิมสงครามครั้งนี้มิอาจดำเนินไปเช่นนี้ได้ตลอดไปตำแหน่งของราชาแห่งเผ่านอกด่านมิอาจตกไปอยู่ในมือของหล่างชิ่นได้มิเช่นนั้น จากแววตาที่ที่เกลียดนางจนสุดหัวใจของหล่างชิ่น เกรงว่าต่อไปอีกฝ่ายจะสร้างปัญหาให้นางอย่างมิจบมิสิ้นยิ่งไปกว่านั้น นางยังต้องการล้างแค้นให้กับฉินเชียนหลี่ด้วย!หล่างมู่และเฉินไห่มองหน้ากันหล่
"เสด็จพ่อ!"หล่างมู่ก็ตกใจเช่นกันเมื่อเห็นราชาเผ่านอกด่านนอนอยู่บนเตียง เขารีบวิ่งไปข้างหน้าและเห็นว่าร่างของราชาเผ่านอกด่านถูกปกคลุมไปด้วยเข็ม ทำให้เขาถึงกับทำอะไรมิถูกไปชั่วขณะหนึ่ง“เสด็จพ่อ! ใครเป็นคนทำสิ่งนี้! เป็นหล่างชิ่นหรือไม่! นางทำเช่นนี้ได้อย่างไร!”หากมิใช่เพราะว่าหล่างมู่กำลังพูดถึงพ่อของเขาอยู่ในขณะนี้ ลั่วชิงยวนก็เกือบจะคิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขามิใช่พ่อของหล่างมู่ แต่เป็นพ่อของนางเอง!ใบหน้านั้นช่างเหมือนกับลั่วไห่ผิงไม่มีผิด!“ท่านพ่อ อดทนหน่อยนะ ข้าจะดึงเข็มพวกนี้ออกให้ท่าน!” หล่างมู่พูดทั้งยังพร้อมจะลงมือลั่วชิงยวนสะดุ้งและรีบหยุดเขา "หยุดนะ!"“เข็มพวกนี้อยู่บนจุดฝังเข็ม จะดึงออกสุ่มสี่สุ่มห้ามิได้”นางย่อตัวลงตรวจดู และพบว่าราชาเผ่านอกด่านถูกวางยาพิษ และเข็มเงินที่ปักอยู่ทั่วร่างกายของเขากำลังเร่งการแพร่กระจายของพิษ“เราควรทำอย่างไรดี?” หล่างมู่ใจร้อนดั่งไฟลนลั่วชิงยวนขมวดคิ้วแน่น "ต้องเจาะเลือดระบายพิษก่อน จึงจะดึงเข็มออกได้"หล่างมู่ขมวดคิ้ว “เจาะเลือดหรือ?”ลั่วชิงยวนเห็นว่าหล่างมู่กังวล นางจึงพูดอย่างใจเย็น "ราชาเผ่านอกด่านถูกวางยาพิษ และเข็
การต่อสู้กำลังจะปะทุขึ้นเดี๋ยวนั้นแต่ในตอนนั้นเอง ราชาเผ่านอกด่านผู้ทรงอ่อนแอก็เอ่ยปากขึ้น"หยุด..."ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา คนในกระโจมก็หยุดมือกันทันทีหล่างชิ่นขมวดคิ้ว ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาพันรอบฝ่ามือที่มีเลือดออกของราชาเผ่านอกด่านแล้วพูดด้วยความเป็นห่วงว่า“เสด็จพ่อ ข้ารู้ว่าท่านห่วงใยหล่างมู่มาโดยตลอด แต่ครั้งนี้เขากลับพาลั่วชิงยวนมาที่นี่ และคิดประทุษร้ายท่าน เรื่องนี้มิอาจยกโทษให้ได้!”ราชาเผ่านอกด่านขมวดคิ้ว "ลั่วชิงยวน?"หล่างชิ่นตอบว่า "ใช่แล้ว นางมิเพียงแต่เป็นคนของแคว้นเทียนเชวียเท่านั้น แต่ยังเป็นแม่ทัพผู้ปกป้องเมืองผิงหนิงในครั้งนี้ หากไม่มีนาง พวกเราคงตีเมืองผิงหนิงแตกไปนานแล้ว"“สมาชิกของเผ่าเรานับมิถ้วนต้องตายไปด้วยน้ำมือของนาง!”“แม้แต่เฉียนคุนก็ยังถูกนางฆ่า!”หล่างชิ่นกล่าวและมองลั่วชิงยวนด้วยความเกลียดชังในดวงตาลั่วชิงยวนเห็นว่า คำพูดของราชาเผ่านอกด่านยังคงมีอำนาจอยู่ อย่างน้อยทหารที่นี่ก็ยังเชื่อฟังคำสั่งของราชาเผ่านอกด่านแม้แต่หล่างชิ่นก็ต้องแสร้งทำตัวเป็นลูกสาวผู้กตัญญูที่ห่วงใยราชาเผ่านอกด่าน“ราชาเผ่านอกด่าน ข้ามิใ
เลือดเต็มชามหนึ่งใบแล้วใบหน้าของราชาเผ่านอกด่านซีดมากแล้วแต่ลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นชามเปล่า แล้วปล่อยเลือดออกมาอย่างต่อเนื่องทุกคนมองดูด้วยความตึงเครียด แม้แต่หล่างมู่ก็ยังอดระทึกใจมิได้ลั่วชิงยวนคงมิได้แกล้งพวกเขาหรอกกระมัง ยังมิเคยได้ยินวิธีรักษาด้วยการเจาะเลือดทิ้งมาก่อนเลย“ลั่วชิงยวน เจ้ารักษาคนอย่างไรกัน เสด็จพ่ออ่อนแอลงชัด ๆ!” หล่างชิ่นโกรธจัดนางชักดาบพุ่งเข้าหาหลั่วชิงยวนทันทีลั่วชิงยวนเพิกเฉยต่ออีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าเลือดพิษเกือบจะถูกขับออกมาจนหมดสิ้นแล้ว นางจึงดึงเข็มบนร่างของราชาเผ่านอกด่านออกทันใดนั้น ราชาเผ่านอกด่านก็กดหน้าอกของตนทันทีทุกคนตกใจเป็นอย่างมาก“เสด็จพ่อ!” หล่างมู่ร้องอุทานหล่างชิ่นฉวยประโยชน์จากสถานการณ์ยกดาบขึ้นแทง "ลั่วชิงยวน! ตายซะเถอะ!"แต่ทว่าเมื่อดาบยาวพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย กลับมีเสียงหนึ่งหยุดหล่างชิ่นเอาไว้"หยุด!"เป็นราชาเผ่านอกด่านที่เอ่ยปรามเขากุมหน้าอกแล้วพยุงตัวเองขึ้นหล่างมู่รีบไปช่วยประคองเขาด้วยความตกใจอย่างยิ่ง "เสด็จพ่อ ท่านขยับตัวได้แล้ว"ราชาเผ่านอกด่านหอบหายใจ ค่อย ๆ พูดว่า "ข้ารู้สึกว่าร่างกายเบาขึ้นมาก หล่างชิ่น ปล่อ
แต่เขาบอกหล่างมู่ว่าเป็นอาของเขางั้นหรือ?หล่างมู่ถาม “อา? ข้าเคยมีอาตั้งแต่เมื่อใดกัน? เสด็จพ่อ ท่านมิเคยพูดถึงเลยนี่”ราชาเผ่านอกด่านพูดอย่างจริงจัง "ตอนที่ข้าพบนาง นางยังเป็นเด็กสาว ย้อนกลับไปยามนั้น นางมาฝึกฝนตัวเองที่เผ่านอกด่านและบังเอิญติดกับดักล่าสัตว์ของข้า นางคิดว่าข้าจะจับนาง เราเลยประมือกันไปหนึ่งกระบวนท่า”“ด้วยเหตุนี้ การประมือกันครั้งนั้นทำให้เราได้รู้จักกัน จนได้กลายเป็นสหายสนิทกันตั้งแต่ครั้นเยาว์วัย”“ในเวลานั้น เผ่านอกด่านยังคงวุ่นวายมาก แต่ละเผ่าต่อสู้แย่งชิงอาหารกัน ชนเผ่าที่โหดร้ายถึงกับกินเนื้อคนของพวกเขาเองด้วยซ้ำ”“ข้าหัวเดียวกระเทียบลีบและยังต้องดูแลน้องชาย ข้ามีชีวิตที่ยากลำบากมากท่ามกลางเผ่านอกด่าน ข้าถูกขายให้เป็นทาสและเกือบเอาชีวิตมิรอด ต้องขอบใจลั่วอิง นางช่วยข้าไว้เสมอ”“นางยังช่วยให้ข้าก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของเผ่าปีกอินทรี ทำให้เรามีชีวิตที่ค่อนข้างมั่นคงขึ้นมาบ้าง”“ต่อมา เพื่อขยายอาณาเขตและเพิ่มความแข็งแกร่งของเผ่า ข้าจึงแต่งงานกับแม่ของเจ้าซึ่งเป็นหัวหน้าของเผ่างูทะยานในเวลานั้น”"หากไม่มีลั่วอิง ข้าคงมิเป็นข้าอย่างในยามนี้"เมื่อได้ยินสิ่งนี้
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ