นางหวังยังคงประหลาดใจไม่หาย ก็ได้ยินชีเจิ้นเอ่ยกับนางอีกครั้งว่า “ยังมีอีกสิ่ง นางบ่าวรับใช้อวิ๋นเชวี่ยคนนั้น จัดการส่งตัวนางไปที่เหมืองถ่านหินทางเหนือเสีย” บทลงโทษของบ่าวรับใช้ในทุกตระกูล เบาสุดคือโบยด้วยไม้และหักเงินเดือน หนักกว่านั้นหน่อย ก็คือการขายทาสออกไป และที่หนักที่สุด หนีไม่พ้นถูกส่งตัวไปที่เหมืองถ่านหิน สตรีตัวคนเดียว ไหล่แบกไม่ไหวมือยกไม่ขึ้น ไปอยู่ที่นั่นแล้วจะทำอะไรได้ ไม่ต้องให้อธิบายก็เห็นภาพชัดเจนอยู่แล้ว นางหวังอึดอัดเกินทน “ท่านโหว พวกนางต้องเหิมเกริมกระทำผิดด้วยตนเองแน่นอนเจ้าค่ะ ไม่ใช่ความคิดของจิ่นเอ๋อร์อย่างเด็ดขาด ข้าเลี้ยงจิ่นเอ๋อร์มากับมือ ข้าเชื่อใจนาง” จะเชื่อใจหรือไม่เชื่อใจ ชีเจิ้นไม่สนใจแม้แต่น้อย ทำเพียงเอ่ยอย่างเยือกเย็นออกมา “ข้ามองเพียงผลลัพธ์ เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้น เจ้านายหากควบคุมบ่าวรับใช้ไม่ได้ นั่นถือว่าไร้ความสามารถแล้ว” นางหวังพลันกัดริมฝีปากด้วยความตกใจ อีกด้านหนึ่งชีอวิ๋นถิงเดือดดาลมากถึงขั้นด่ากราดสาปแช่งคนทันทีเมื่อกลับถึงห้อง คนที่ถูกเขาด่ามากที่สุดยังคงเป็นชีหยวนเหมือนเดิม ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดอยากให้เจ้าเด็กเหลือขอคนนี
บุตรีของแม่นมจางมีนามว่าผูเถา ปีนี้วัยเพิ่งครบสิบขวบเต็ม และเพิ่งเข้ามาทำงานรับใช้ในจวนเมื่อปีที่แล้ว เพราะอายุยังน้อย งานที่ต้องทำจึงน้อยตามไปด้วย แค่คอยปรนนิบัติรับใช้งานเบ็ดเตล็ดทั่วไปในเรือนเท่านั้น ได้ยินว่าชีอวิ๋นถิงใช้วาจาโหดเหี้ยมขู่กรรโชก ว่าจะทำให้ชีหยวนทนอยู่ที่เรือนแห่งนี้ต่อไม่ได้ นางรู้สึกไม่สบายใจทันที ชีอวิ๋นถิงเป็นใครหรือ? ก็เป็นคุณชายใหญ่ไงเล่า! และเป็นว่าที่เจ้าของจวนในอนาคต หากทำให้เขาไม่พอใจ สักวันต้องไม่เหลือที่ยืนในจวนแห่งนี้จริงๆ แน่ เดิมที เห็นชีหยวนเจ้าเล่ห์เก่งกาจเพียงนี้ แม่นมจางรู้สึกตื่นเต้นดีใจอยู่บ้าง คิดว่าชั่วดีอย่างไรท่านโหวก็เป็นคนมารับตัวนางกลับไปด้วยตนเอง และยังให้ความสำคัญกับนางมากถึงเพียงนี้ด้วย ไม่แน่ว่าคุณหนูใหญ่อาจจะยังพอมีที่ยืนอย่างมั่นคงในจวนนี้ได้จริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การไปทำงานเป็นแม่นมเคียงกายคุณหนูใหญ่ จริงๆ แล้วก็นับว่าเป็นหนทางที่ไม่เลวร้ายเลย แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่า ท่าทีโต้ตอบของชีอวิ๋นถิงจะรุนแรงเพียงนี้ แต่เมื่อพินิจพิจารณาให้ละเอียดแล้วนางก็เข้าใจ ความผูกพันระหว่างชีอวิ๋นถิงและชีจิ่นล้ำลึกแน่นแฟ้นมาตั้งแต่เยา
ชีหยวนไม่คิดเข้าข้างตัวเองอยู่แล้วว่าแม่นมจางได้กลับไปทำความเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วว่า เลือกอยู่ฝั่งตนเองจะมีอนาคตมากกว่า ถึงได้ตัดสินใจทิ้งความมืดมิดไปและหวนกลับสู่ความสว่างเช่นนี้นางคิดแต่เพียงว่า การที่ออกไปและกลับเข้ามาใหม่ด้วยความคิดที่เปลี่ยนไปแล้ว ต้องมีเหตุผลอื่นอยู่แน่ ภายในจวนนี้ ใครเล่าจะสามารถทำให้แม่นมจางเปลี่ยนความคิดได้ง่ายดายเพียงนี้ และยอมมาปรนนิบัติรับใช้เคียงกายนางด้วยความยินดีปรีดาเช่นนี้อีก? ชีเจิ้นไม่มีทางสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เด็ดขาด นางหวังก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะสำหรับนางหวังแล้ว บุตรีอย่างนางมิได้ดำรงอยู่ในสายตามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เช่นนั้นแล้ว คนที่เหลืออยู่ นับด้วยนิ้วมือก็เหลือเฟือแล้ว ชีหยวนครุ่นคิดอะไรในใจอยู่เพลินๆ พลางมองแม่นมจางวางมาดจัดแจงเลือกบ่าวรับใช้อย่างเต็มที่ นางกวาดตามองปราดหนึ่งแล้ว บุคคลที่แม่นมจางเลือกมาล้วนแต่เป็นคนที่เขียนว่ามีความสามารถไว้บนหน้าทั้งสิ้น ส่วนคนที่เหลือ ย่อมไม่ต้องการแล้ว เด็กสาวคนหนึ่งอายุราวสิบสองปีรูปร่างผอมแห้งท่าทางน่าสงสาร เห็นว่าสิ้นสุดการคัดเลือกแล้วแต่ตนเองยังตกรอบเหมือนเคย น้ำตาก็ไหลพรากๆ ออ
ไฟในจวนของนางหวังสว่างไสว และทุกที่ล้วนมีการจุดโคมไฟทั้งหมดแล้วแม่นมจางยกผ้าม่านขึ้นให้ชีหยวน แต่ยังไม่ได้อ้อมผ่านฉากกั้น ก็ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้น “ท่านแม่ ผ้าปักซูซิ่ว[footnoteRef:1] เรียนยากจริง ๆ เลยนะเจ้าคะ นิ้วมือของข้าถลอกจนกลายเป็นแผลหมดแล้ว” [1: เป็นรูปแบบการปักผ้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของมณฑลเจียงซู] เสียงนี้หวานจนเลี่ยนเล็กน้อย การเคลื่อนไหวของชีหยวนชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่ออ้อมผ่านฉากกั้นมา ก็เห็นนางหวังตอนนี้เอนตัวอยู่บนเตียงยาว และด้านข้างมีบุตรสาวที่สวมชุดผ้าโปร่งสีชมพูกำลังยกมือขึ้นให้นางดูอยู่นี่ก็คือชีจิ่นจิ่นที่แปลว่ายอดเยี่ยมงดงาม เมื่อได้ฟังชื่อนี้ ก็ทราบแล้วว่าจวนโหวรักและให้ความสำคัญต่อบุตรสาวคนนี้มากเพียงใดนางหวังยิ้มและมองนิ้วมือทั้งสิบของนางอย่างใจเย็น พลางเอื้อมมือไปจิ้มแก้มของนาง “ข้าไม่ได้ให้เจ้าไปเป็นซิ่วเหนียง[footnoteRef:2]เสียหน่อย ลองเรียนดูก่อน จะได้รู้วิธีและจดจำไว้ก็พอแล้ว” [2: หญิงที่มีความสามารถด้านการเย็บปักถักร้อย หรือเป็นอาจารย์ที่สอนเกี่ยวกับงานฝีมือ] เมื่อเห็นชีหยวนมา นางหวังก็เก็บรอยยิ้มที่รักใคร่บนใบหน้าลงโดยไม่รู้ตัว และ
ภายในห้องเงียบลง และทุกคนต่างก็ก้มหน้า เพราะกลัวว่าไฟจะลามมาถึงศีรษะของตนเองจู่ ๆ ชีหยวนก็รู้สึกว่าน่าตลกดี นางจึงถามเสียงเบา “ท่านแม่ แค่นี้น้องรองก็หวาดกลัวแล้วหรือเจ้าคะ?”นางหวังตะลึงงันเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”คงเป็นเพราะว่าช่างน่าตลกเหลือเกิน ชีหยวนจึงทนไม่ไหวและขำออกมานางเงยหน้ามองนางหวังช้า ๆ “น้องรองเพียงแค่ฟังเรื่องพวกนี้ ก็หวาดกลัวจนต้องร้องไห้ แต่ข้า ในคืนนั้นได้เห็นการตายของคนขายเนื้อสวี่ด้วยตาตนเอง แถมยังถูกแม่บุญธรรมคุกคามอีก ท่านแม่ ท่านคิดบ้างหรือไม่ ว่าข้าเคยใช้ชีวิตแบบใดมาเจ้าคะ?”นางหวังถูกถามเสียแล้วความจริงวันที่แม่นมจางกลับมา ก็เล่าเรื่องพ่อแม่บุญธรรมของชีหยวนให้ฟังแล้วแต่ตอนนั้น สิ่งที่นางหวังตกใจยิ่งกว่าคือแม่นมฮวาเสียชีวิตแล้ว แถมชีหยวนยังต้องการไปฟ้องร้องที่ศาลอีกกลับลืมเรื่องนี้ไปเลยต่อมาถึงจะนึกออก แต่สิ่งที่คิดมากยิ่งกว่านั้นก็คือ ชีหยวนอาศัยอยู่กับพ่อแม่บุญธรรมแบบนี้ เกรงว่าอยู่ใกล้สิ่งแวดล้อมแบบใดก็จะเป็นแบบนั้น นิสัยก็อาจจะไม่ได้ดีมากนักส่วนชีหยวนจะใช้ชีวิตอย่างไรเมื่ออยู่ข้างกายสามีภรรยาคู่นั้นนางไม่เคยคิดถึงเลยจริง ๆ เวล
ยัยเด็กบ้าคนนี้ เสแสร้งเก่งจริง ๆ ด้วย!ชีอวิ๋นถิงเหมือนกับวัวกระทิงที่ถูกกระตู้น เมื่อครู่ตอนที่ชีหยวนดึงแขนของเขาทีหนึ่งนั้นก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจถึงขีดสุดแล้วเขาชี้ไปทางชีหยวนพร้อมเอ่ยกับชีเจิ้น “ท่านพ่อ! ท่านควรตรวจสอบนางให้ดี ๆ นะขอรับ นางอยู่ด้านนอกมาสิบกว่าปี ใครจะรู้ว่านิสัยของนางเป็นอย่างไร และเคยคลุกคลีกับผู้ใดอีกบ้าง?”คำพูดนั้นฟังดูแย่มาก เหลือเพียงแค่ไม่ได้พูดออกมาว่าชีหยวนไปเกี่ยวข้องกับคนอื่นในทางที่ไม่ดี และสงสัยในสถานะของนางชีจิ่นสูดจมูกเบา ๆ อยู่ด้านข้าง และรับผิดชอบเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟ “พี่หญิง ท่าน ท่านคงไม่ได้ต่อสู้เป็นหรอกใช่หรือไม่เจ้าคะ? เมื่อครู่ข้าเห็นแล้วว่าท่านดึงท่านพี่และผลักเขาล้มลงไป...”นางหวังกวาดสายตาด้วยสีหน้าซับซ้อนและสงสัยไปทางชีหยวน ในใจก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยขึ้นมานี่ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นางปลอบใจตนเอง อาจิ่นเป็นแก้วตาดวงใจที่นางเลี้ยงด้วยมือตนเอง ส่วนอวิ๋นถิงก็เป็นบุตรชายคนโตของนาง และเป็นบุตรชายแท้ ๆ ของนางด้วยแม้ฝ่ามือและหลังมือจะเป็นเลือดเนื้อเหมือนกัน แต่เนื้อที่อยู่บนฝ่ามือและหลังมือก็ยังมีความหนาบางแตกต่างกันชีหยวน
ในงานเลี้ยง ทุกคนต่างรอคอยการปรากฏตัวของชีเจิ้นและภรรยาอย่างอยากรู้อยากเห็นก่อนหน้านี้พวกเขาได้ยินมาคร่าว ๆ ว่าเรือนใหญ่ส่งคนออกไปตามหาใครบางคน และบอกว่าเด็กถูกอุ้มสลับตัวแล้วแต่เรื่องราวจะเป็นอย่างไรกันแน่ กลับรู้ไม่แน่ชัดเท่าใดนักตอนนี้บอกว่าพาเด็กกลับมาแล้ว แถมยังจัดงานเลี้ยงครอบครัวล่วงหน้าเพื่อให้ทุกคนได้รู้จักกัน และเมื่อถึงเวลาค่อยคืนสู่ตระกูล ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาจึงถูกกระตุ้นขึ้นสีหน้าของนางหวังยังคงตึงเครียดเล็กน้อยนางคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่านิสัยของบุตรสาวคนนี้จะเป็นเช่นนี้ได้แม้จะไม่หยาบคาย แต่กลับดูเย็นชาทำให้คนอื่นยากจะผูกมิตร และก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดีแถมยังเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอีกชีอวิ๋นถิงแค่หยอกล้อกับนางเล็กน้อย แต่นางกลับไม่ยอมอ่อนข้อ และจ้องมองชีอวิ๋นถิงได้รับโทษด้วยสายตาที่เย็นชา ราวกับนั่นไม่ใช่พี่ชายแท้ ๆ ของตนเองอีกนางรู้สึกโกรธในใจ เมื่อเห็นฮูหยินรองและฮูหยินสาม สีหน้าจึงดูไม่เป็นธรรมชาติมากนักกลับเป็นฮูหยินรองและฮูหยินสามที่ดูอยากรู้อยากเห็น วิ่งเข้ามาต้อนรับนางด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ใหญ่! นี่ก็คืออาหยวนใช่หรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อครู
ชีหยวนนั่งอยู่ด้านข้างเงียบ ๆ กำลังคิดว่าควรทำอย่างไรถึงจะเชื่อมความสัมพันธ์กับจิ้นอ๋องได้ ก็เห็นแม่นมสวีเดินเข้ามาจากด้านนอกด้วยสีหน้าที่รีบร้อนไปยังโต๊ะอาหารของนางหวัง และกระซิบอะไรบางอย่างอยู่ข้างหูนางหวังเดิมทีนางหวังกำลังพูดคุยกับน้องสะใภ้ทั้งสอง ว่าจะเชิญอุปรากรจีนคณะใดดีเมื่อฟังแม่นมสวีพูดจบ ก็ลุกขึ้นยืนจากตรงนั้น และถามด้วยความโกรธจัด “อะไรนะ?”เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ ฮูหยินรองกับฮูหยินสามก็ถามอย่างรีบร้อน “เป็นอะไรหรือเจ้าคะ พี่สะใภ้ใหญ่? มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือถึงได้กังวลใจเช่นนี้?”สีหน้าของนางหวังเปลี่ยนแล้วก็เปลี่ยนอีก กัดริมฝีปากและมองไปทางชีเจิ้น “ท่านโหว อาจิ่นเป็นลมไปแล้วเจ้าค่ะ...”ศาลบรรพบุรุษหนาวเย็น และลมแรง เดิมร่างกายของชีจิ่นก็เปราะบางอยู่แล้วเวลานี้ความไม่พอใจต่อชีหยวนที่อยู่ในใจของนางหวังถึงจุดสูงสุดแล้ว และนางก็รู้สึกเบื่อหน่ายบุตรสาวที่พอกลับมาก็ทำให้บ้านวุ่นวายจนพลิกหน้ามือเป็นหลังมือคนนี้จริง ๆ ความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ไม่มีพื้นฐานทางด้านอารมณ์ บางครั้งก็เป็นเพียงภาระเท่านั้นชีเจิ้นสีหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อยอย่างไรเสียก็ยังคงเป็นบุ
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื
แน่นอนว่าผู่อู๋ย่งไม่มีพ่อ พ่อของเขาตายไปนานแล้ว มิเช่นนั้นจะเข้ามาเป็นขันทีในวังได้อย่างไรกันเล่า?!แต่ตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเพิ่งตายไปจริง ๆ เลยบัดซบเอ๊ย!เหลวไหลสิ้นดี!ที่ไหนมีขันที ที่นั่นก็ต้องมีคนของเขาแฝงอยู่รัชทายาทวังบูรพาโง่เง่าอย่างกับหมู ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปทั้งตัวต่อให้เซียวอวิ๋นถิงฉลาดหลักแหลมแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่คน ไม่ใช่เทพเซียน!เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าส่งขันทีไปขัดขวางเซียวอวิ๋นถิง แล้วก็ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทำเลยหลักฐานทั้ง ๆ ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างไม่มีที่ติแต่สุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับวางแผนเหนือกว่า ส่งของไปถึงฮ่องเต้หย่งชางก่อนเสียได้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?!ไอ้บ้าสองตัวนั่น!คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนเหี้ยมโหด ราวกับสุนัขจิ้งจอกกับอสรพิษรวมหัวกัน ใครหน้าไหนเข้าใกล้ก็ต้องถูกพวกเขากัดเข้าให้สักแผลเขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเขาเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา ไม่มองทางสวีฮว่านอีกเขาไม่เคยกังวลเลยว่าเรื่องนี้จะพัวพัน
ก็ใช่ว่าจะเคราะห์ร้ายเสียทีเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาสนใจเขานัก ล้วนแต่ยุ่งกับการจัดการจวนฉู่กั๋วกงกันทั้งนั้น ต่อมาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปอีก เรื่องราวเยอะเกินไป ไม่มีใครจะนึกถึงเขาหรอก ทว่าเขาเองก็กลัวมาก! น้องหญิงคนนั้นของเขา มิใช่คนที่จะสะสางหนี้แค้นด้วยคุณธรรมมาตั้งแต่ตอนเยาว์วัยแล้ว หลังจากนี้จะต้องหาโอกาสมาจัดการเขาแน่! พูดให้ถึงที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษสกุลชีอย่างเดียว หากว่าสกุลชีไม่พาตัวพระชายาหลิ่วกลับมา เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วในตอนนี้อุตส่าห์หาโอกาสได้แล้วทั้งที เข้าย่อมต้องเหยียบย่ำสกุลชีให้เต็มที่แน่นอน ผู่อู๋ย่งยิ่งรู้สึกขบขันเต็มที พอเห็นว่าสวีฮว่านเหลือบสายตามองตนเองด้วยความเคร่งเครียดแล้ว ก็เบนสายตาออกเชิงว่าตักเตือนทันที สวีฮว่านรีบก้มศีรษะลง บัดนี้ลำคอของเขายังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย ไหนจะตรงช่วงท้องอีก ดูเอาเถิดว่านางเด็กชีหยวนคนนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมมากขนาดไหน หัวใจของเขาเต้นระส่ำว้าวุ่นไม่เป็นสุข จนถึงตอนนี้ ทั่วท้องพระโรงทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นล้วนพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของสกุลชี ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับยังคงไม่ปรากฏตัว
สกุลชีถูกโจรบุกปล้นในวันที่สามของปีใหม่ ที่พำนักของคุณหนูใหญ่สกุลชีถูกไฟเผาวอดไปครึ่งหนึ่ง หากมิใช่เพราะคุณหนูใหญ่สกุลชีบังเอิญไปอยู่ที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่า และกำลังคัดเลือกถั่วปากอ้ากับฮูหยินผู้เฒ่าพอดี เกรงว่าคุณหนูใหญ่สกุลชีคงจะไม่รอดแล้ว เรื่องนี้ปิดบังไม่อยู่ ไม่นาน ก็แพร่สะพัดลือเล่ากันไปไกลแล้ว จะไม่ให้แพร่สะพัดไปไกลก็คงไม่ได้ สกุลชีเพิ่งถูกกล่าวหาว่าสมคบกับข้าศึกขายดินแดนให้อริราชศัตรู โหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นก็ถูกจับเข้าคุกหลวงไปแล้ว เห็นสกุลชีสภาพน่าเวทนาถึงเพียงนี้ แต่ใครจะรู้ว่ายังมีคนจ้องจะซ้ำเติมสกุลชีไม่ปล่อย หวังให้สกุลชีตายราบคาบ เฮอะ ๆ พวกชาวบ้านก็ยังมีแอบวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง “ไม่รู้ว่าใช่ฝีมือของครอบครัวทหารจากจี้โจวหรือไม่?” “จริงด้วย หากว่าเป็นอย่างที่พวกครอบครัวทหารเหล่านั้นว่ากันจริง เงินถูกสกุลชิงเอาไปแล้ว แต่กลับโยนความผิดให้พวกเขารับไว้แบบนั้น พวกเขาจะไปยอมได้อย่างไร?” “หากเป็นข้านะ ข้าก็คงทุ่มสุดตัวเหมือนกัน!” ดูเหมือนว่าคนที่คิดเห็นเช่นเดียวกันนี้จะมิได้มีเพียงแค่พวกชาวบ้าน เทศกาลปีใหม่ปีนี้ถูกลิขิตไว้ไม่ให้เงียบสงบ ในวันที่เจ็ดของปีใหม่ ศ
สวีฮว่านเหงื่อเย็นไหลพลั่ก ตอนที่ได้ยินชีหยวนนับหนึ่ง สอง สาม ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ร้องเสียงดังออกไป “ข้าให้เจ้าก็ได้! ข้าให้เจ้าก็ได้! สาส์นลับอยู่ใน…อยู่ในชั้นวางลับหลังโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือของข้า!” ชีหยวนเปล่งเสียงอุทานออกมาหนึ่งคำ ก่อนจะเก็บกริชและปิ่นทองคำกลับมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขาฉุดเขาขึ้นมา และผลักให้เขาเดินไปที่ชั้นหนังสือ พร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “เปิดมัน” สวีฮว่านลังเลเล็กน้อย ทันใดนั้นชีหยวนก็เตะข้อพับขาของเขาอย่างแรงไปหนึ่งที “เปิดออก!” สวีฮว่านดึงจี้หยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของตนเองออกมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะฝังมันเข้าไปในตำแหน่งที่เป็นช่องเว้าบนชั้นวางหนังสือ และหมุนมันหนึ่งรอบ ทันใดนั้นชั้นหนังสือก็เปิดออกอย่างช้า ๆ ทว่าเสี้ยวพริบตาเดียวนี้ สวีฮว่านรีบสะบัดตัวออกจากชีหยวนหวังว่าจะหลบหนี เขารู้ดี โดยปกติคนเราเมื่อตกอยู่ในเสี้ยวขณะที่ได้รับสิ่งของที่ตนเองต้องการมากเป็นอย่างยิ่ง ก็จะเผลอไผลไปได้ง่ายดายที่สุด เขาเฝ้ารอจังหวะนี้มาโดยตลอด ทว่าน่าเสียดาย เขาเพิ่งจะกลิ้งตัวไปกับพื้น กลับเห็นชีหยวนใช้มือปัดลูกธนูที่พุ่งออกมาจากชั้นวางลับ
สวีฮว่านรู้สึกอึดอัดกับแรงกดของกริชเล่มนั้น และไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลกระทบทางจิตใจหรือไม่ เขารู้สึกอยู่ตลอดว่ารอยแผลที่ชีหยวนกรีดไปนั้นยังคงมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด สิ่งนี้ทำให้เขาหวาดกลัวถึงขีดสุดจริง ๆ คนย่อมมีจุดอ่อน ชื่อเสียงและความรู้สึกหวงแหนชีวิตก็คือจุดอ่อนของสวีฮว่าน เขาเอ่ยด้วยความร้อนรน “ข้าช่วยเจ้าได้! ข้าช่วยล้างมลทินให้ตระกูลของเจ้าได้ ตราบใดที่พวกเจ้ายอมให้ความร่วมมือ ความผิดนี้ ข้าสามารถโยนให้คนอื่นรับไว้ได้!” ใบหน้าของชีหยวนไร้ซึ่งความรู้สึก ทว่าความเยือกเย็นในดวงตากลับยิ่งลุ่มลึกขึ้นมา ปลายกริชที่นางกดเอาไว้บนลำคอของเขาขยับเล็กน้อย เพียงเสี้ยวพริบตาก็สร้างรอยแผลเลือดซิบเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งรอยให้เขาได้เรียบร้อย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มข้นขึ้น “จะผลักความผิดให้แม่ทัพขุนศึกท่านอื่นที่บัดนี้ยังคงสู้รบในสมรภูมิอย่างซื่อสัตย์ภักดี พร้อมยอมพลีชีพเพื่อชาติได้อย่างนั้นหรือ? หรือคิดจะโยนความผิดให้บรรดาบุตรชายของครอบครัวทหารที่ต้องเข้าสู่สมรภูมิรบตั้งแต่วัยเพียงสิบสองสิบสามเหล่านั้นกัน พวกเขายังไม่ทันได้เติบโตด้วยซ้ำ ก็ต้องมาตายภายใต้อุบายชั่วช้าสามานย์ของพวกเจ้า”
หากว่ามี เช่นนั้นก็ต้องเลี้ยงดูให้ดี หากว่าไม่มี เช่นนั้นก็ต้องคิดหาหนทางเลือกเด็กสักคนในตระกูลมาเป็นบุตรบุญธรรมของเขา เพื่อจะได้เป็นทายาทสืบทอดวงศ์ตระกูล ขณะที่กำลังคิดสะระตะ เขาพลันได้ยินเสียงลมหายใจระลอกหนึ่งพัดผ่านข้างใบหู เสียงลมหายใจ! ทว่าในห้องมีเขาอยู่เพียงคนเดียว! เสี้ยวพริบตาเดียวสวีฮว่านพลันรู้สึกเส้นขนลุกชันไปทั่วทั้งตัว สติหลุดออกจากร่าง และทันใดนั้นก็คิดจะหมุนศีรษะกลับไปโดยสัญชาตญาณ ทว่าจังหวะที่เขากำลังคิดจะผินศีรษะกลับไป กริชเล่มหนึ่งก็ปักลงบนลำคอของเขาอย่างเงียบเชียบไร้เสียง หลังจากนั้นเขาได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ เสียงนี้ชัดเจนว่าเป็นเสียงของดรุณีน้อยงามเพริศพริ้งสดใส เหมือนกับเสียงของบุตรสาวของเขาที่เข้ามาออดอ้อนเขาในยามปกติ ทว่าในเสี้ยวขณะนี้เวลานี้ เขากลับไม่รู้สึกว่าเสียงนั่นกำลังออดอ้อนสักนิด! เพื่อแสดงออกถึงความซื่อสัตย์สุจริตของตนเองแล้ว เรือนของเขายังต้องเช่าอาศัย และในเมื่อเรือนยังต้องเช่าอาศัย ดังนั้นในเรือนย่อมไม่สามารถมีบ่าวรับใช้ที่มากเกินไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถมียามเฝ้าเรือนได้ด้วย ดังนั้นองครักษ์เหล่านั้นของเขา ล้วนแต่ถูกเลี