ทั้งองครักษ์ยามและหลิวจงถอนหายใจด้วยความโล่งใจอย่างพร้อมเพรียงหลิวจงกล่าวอย่างรีบร้อน: “คุณหนู เราจะพาคุณชายใหญ่ออกไปประเดี๋ยวนี้”ชีหยวนเหลือบมองเขาด้วยรอยยิ้มครึ่งๆ : “พ่อบ้านหลิวก็ควรรอบคอบเสียบ้าง คนที่ไม่ควรเดินเพ่นพ่านทางที่ดีก็ไม่ควรเดินเพ่นพ่าน มิฉะนั้นแล้ว การกักบริเวณเพื่อจะปกป้องผู้ใดนั้น ก็อาจไม่แน่แล้ว ใช่หรือไม่?”ขอรับ ขอรับ ขอรับ!หลิวจงส่งสายตาให้กับองครักษ์เรือน จากนั้นก็ลากชีอวิ๋นถิงออกไปโดยเร็วไป๋จื่อถอนหายใจอันหนักอึ้งด้วยความโล่งใจ หันกลับไปปลอบเหล่าสาวใช้ที่ตกใจกลัวชีหยวนเงยหน้าขึ้นมองเซียวอวิ๋นถิงที่กำลังนั่งสบายไร้กังวลบนคาน จากนั้นหันกลับมานั่งลงบนเก้าอี้กุหลาบด้วยท่าทีสงบ “เมื่อครู่ท่านอ๋องหัวเราะอะไรเจ้าคะ”“หัวเราะเจ้าที่โหดเหี้ยมไม่เบาเลย” เซียวอวิ๋นถิงกระโดดลงมาจากที่สูงแล้วนั่งตรงข้ามชีหยวนอย่างง่ายดาย “ข้ายังนึกว่าจะได้ดูเจ้าฆ่าคนที่สิบแล้วเสียอีก”ทันใดนั้นสีหน้าของชีหยวนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเมื่อชั่วครู่นั้น นางมีความจิตที่จะฆ่าแล้วจริงๆบุตรชายคนโตที่ถือกำเนิดจากภรรยาเอกแล้วอย่างไร?ในชาติที่แล้วชีอวิ๋นถิงได้ให้แม่นมฮาตีบขานางจนหัก กร
ตอนที่เซียวอวิ๋นถิงออกไป เขาก็ได้พบกับปาเป่าและลิ่วจินโดยบังเอิญลิ่วจินยังถืออ้อยอยู่ในมือ กำลังทำท่าทางพูดคุยกับปาเป่า ไม่รู้ว่ากำลังพูดคุยกันถึงเรื่องอะไร พอเห็นเขาออกมา ก็รีบเสียบอ้อยไว้ที่เอวแล้วก้มศีรษะคำนับเซียวอวิ๋นถิงโบกมืออย่างเหม่อลอย สีหน้าค่อนข้างวิตกกังวลเล็กน้อยเกิดอะไรขึ้นกับท่านอ๋อง?ปาเป่าและลิ่วจินมองหน้ากัน รู้สึกว่ามันแปลกเล็กน้อยทั้งสองคนขยิบตาให้กันชั่วขณะ ปาเป่าก็ส่งเสียงไอ: “ท่านอ๋อง ท่านเป็นอะไรรึขอรับ? หรือว่าคุณหนูใหญ่ชีฆ่าใครอีกแล้วหรือขอรับ?”เมื่อถูกถามคำถามนี้ สีหน้าของเซียวอวิ๋นถิงก็เปลี่ยนไปฉับพลัน เขาดึงอ้อยจากข้างลำตัวของลิ่วจินด้วยความหงุดหงิด ตีเข้าใส่ปาเป่าปาเป่าถูกตีจนโดดลุกขึ้น อุทานร้องอ๊าก “ฆ่าคนอีกแล้วจริงๆ หรือนี่?”เขาเงยหน้าขึ้นดูตัวอักษรขนาดใหญ่สี่ตัวบนแผ่นป้าย “จวนหย่งผิงโหว” และอดไม่ได้ที่จะพึมพำว่า “นี่ฆ่าใครอีกแล้วล่ะ?”คุณหนูใหญ่ชีมีความชอบในการฆ่าคนจริงๆ หรือ?เซียวอวิ๋นถิงโกรธจัด: “ฆ่าบ้าอะไรเล่า! เห็นคุณหนูใหญ่ชีเป็นฆาตกรหรือไงกัน? เอะอะก็ฆ่าคนไปทั่วหรือไง?”พอเขาพูดเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงกับตัวเองชีหยวนที
ขอโทษ?ชีหยวนค่อยๆ หันศีรษะมองไปที่เขา ใบหน้าของเขาสะท้อนอยู่ในรูม่านตาสีดำของนางหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชีหยวนตอบรับ กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไม่มีอะไรต้องขอโทษหรอกเจ้าค่ะ ท่านอ๋องกับข้าน้อยก็แค่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ เป็นแค่คำล้อเล่นเท่านั้น เป็นข้าน้อยที่รับคำล้อเล่นไม่ได้ ไม่เกี่ยวกับท่านอ๋องเลยเจ้าค่ะ”นางนั่งหลังตรงอยู่หน้าขอบหน้าต่าง แม้ว่านางจะผอมบาง แต่ก็เหมือนต้นไผ่เขียวที่ตั้งตรงนี่เป็นหญิงสาวที่ชอบเอาชนะผู้อื่นอย่างยิ่ง ต่อให้ต้องถูกตีจนแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย คาดว่ากระดูกของนางก็ยังคงแข็งเป็นพิเศษเซียวอวิ๋นถิงคิดกับตัวเอง น้ำเสียงของเขาก็จริงใจมากขึ้น “ไม่ สำหรับเจ้า การฆ่าคนเป็นวิธีการป้องกันตัวเอง แต่ข้ากลับใช้สิ่งนี้มาล้อเลียนเจ้า มันเป็นความผิดของข้า ฉะนั้นต่อไปข้าจะไม่ทำอีก”ชีหยวนไม่สนใจว่าเขาจะทำหรือไม่ วันนี้นางไม่ค่อยมีความสุข ดังนั้นนางจึงตอบอืมเสียงเดียว แล้วปิดหน้าต่างอย่างแรงไป๋จื่อที่ถือถาดอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นก็สะดุดตามไปด้วยเซียวอวิ๋นถิงรู้สึกถูกปฏิเสธ เขาแตะจมูกตัวเอง ยืนที่หน้าต่างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกระโดดเหินขึ้นไปบนกำแพงในขณะนี้ ปาเ
ในห้องเงียบลง มีลมพัดผ่านโถงทางเดิน กลีบดอกไห่ถังที่บานสะพรั่งอยู่ด้านนอกก็ปลิวร่วงหล่นเป็นจำนวนมาก ปลิวไปตามทางเดินสู่ห้องโถงชีหยวนเงียบไปครู่หนึ่ง ได้ยินน้ำเสียงของตัวเองที่ถามอย่างมาก: “เลขาธิการอะไร”เลขาธิการอะไร?ชีเจิ้นและท่านโหวผู้เฒ่ามองหน้ากันและสังเกตสีหน้าของชีหยวน โดยไม่แน่ใจว่าชีหยวนกำลังแสร้งทำเป็นโง่หรือไม่ทั้งหมดนี้นางเป็นผู้วางแผนการเอง! นางจะไม่รู้ว่าเลขาธิการคนนี้เป็นใครได้อย่างไร?แต่ตอนนี้ที่ชีหยวนถามขึ้นแล้ว ก็ต้องตอบนางชีเจิ้นระงับความโกรธไว้และกล่าวว่า “เป็นจานเหวินฮุย เลขาธิการจาน!”โอ้ เป็นจานเหวินฮุยนี่เองจู่ๆ ชีหยวนก็หัวเราะออกมาอารมณ์ที่เสียของนางตั้งแต่เมื่อวานก็ดีขึ้นมาทันใด จู่ๆ นางก็หัวเราะออกมาเสียงดัง……ชีเจิ้นไม่สามารถหัวเราะออกมาได้ เขาจ้องมองชีหยวนด้วยความสับสน เขาไม่รู้ว่าชีหยวนหมายถึงอะไร และตลกเรื่องอะไรท่านโหวผู้เฒ่ากลับมีความอดทนมากกว่ามาก เขาถามว่า “เจ้ารู้จักเลขาธิการจาน?”เลขาธิการจานคนนี้เป็นตำนานจริงๆปีนั้นเขาเป็นในอันดับที่สี่ในการสอบบัณฑิตขั้นสูงขั้นสอง ได้เข้าเป็นบัณฑิตราชสำนักในสำนักราชบัณฑิตก่อน หลังจากดำรงตำแห
เมื่อก่อนไม่มีการเปรียบเทียบ ก็คงไม่เป็นไรบัดนี้มีการเปรียบเทียบเกิดขึ้น มันยากที่จะไม่รู้สึกผิดหวังจริงๆไฉนถึงมีความแตกต่างกันมากเยี่ยงนี้นะ?ชีหยวนยังถูกรับกลับมากลางคันจากชนบท แต่ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการควบคุมสถานการณ์ในราชสำนัก หรือการวางตัวปฏิบัติตัวต่อผู้อื่น นางก็ดีกว่าชีอวิ๋นถิงราวฟ้ากับเหวข้อเสียเพียงข้อเดียวของนางคือ นางไม่ใช่บุรุษน่าเสียดายนัก! ท่านโหวผู้เฒ่าอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ช่างน่าเสียดายนัก! หากชีหยวนเป็นบุรุษ ตระกูลชีของเราคงไม่มีอะไรต้องกังวลในอนาคต”ชีเจิ้นลังเลที่จะพูดแต่เนื่องจากท่านโหวผู้เฒ่าพูดเยี่ยงนี้แล้ว เขาจึงไม่พูดอะไรอีก และไปที่ห้องของชีอวิ๋นถิงครั้งนี้ชีอวิ๋นถิงได้รับบาดเจ็บไม่เบาเลยจริงๆแม่นมที่ดูแลชีอวิ๋นถิงอธิบายอย่างระมัดระวังว่า “ท่านโหว ฟันของเขาหักไปสองซี่ ลิ้นก็ถูกเจาะเป็นแผล ไม่สามารถทานอาหารได้เลย ตอนนี้เขาสามารถทานอาหารเหลวได้เท่านั้น……”ยังไงเสียก็เป็นลูกชายที่เลี้ยงดูมาเป็นเวลาสิบกว่าปี จะไม่ใส่ใจไม่รู้สึกทุกข์ใจได้อย่างไร?เมื่อชีเจิ้นเห็นรูปลักษณ์ของชีอวิ๋นถิง ในใจทั้งปวดร้าวและโกรธเคืองเขานั่งอยู่บนขอบเตียงและมองดูชีอวิ
น้ำเสียงของอ๋องฉีน่าสะพรึงกลัวและเย็นชา แม้แต่ขันทีสวีที่ติดตามเขามาโดยตลอดยังอดหนาวสั่นไม่ได้ และมองสีหน้าของเขาอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง นี่เพิ่งเดินทางได้สิบวัน เกรงว่า จะยังไม่ถึงที่หมายพ่ะย่ะค่ะ”เมืองหลวงไปเมืองเจียงชี แม้ว่าจะเดินทางรวดเร็วเพียงใด จะอย่างไรก็ต้องใช้เวลายี่สิบกว่าวันอ๋องฉีกลับไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ มีดแกะสลักในมือถูกโยนลงพื้นไปพร้อมกับตุ๊กตา ตัวอักษรคำว่าชีหยวนสองตัวที่อยู่ด้านหลังตุ๊กตาเวลานี้ กำลังส่องสะท้อนเป็นประกายอยู่ในสายตาของทุกคนเขาระงับความโกรธและพูดด้วยเสียงเย็นชา “ข้าไม่อยากฟังเรื่องพวกนี้! สั่งให้เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่านี้หน่อย!”ชีหยวนมีอะไรดีกัน!นางสารเลวคนนี้!เขาจะต้องทำให้ชีหยวนค่อย ๆ เห็นว่าตระกูลเซี่ยพังพินาศลงอย่างไรในชาติที่แล้วนางสารเลวคนนั้น ไม่ใช่พราะตนเองฆ่าคนของตระกูลเซี่ยหรอกหรือ ถึงได้แฝงตัวอยู่ข้างกายตนเองนานขนาดนั้น แถมลอบลงมือสังหารในช่วงที่ตนเองภาคภูมิที่สุดอีก?ในชาตินี้ เขาก็ยังคงอยากให้นางสารเลวคนนั้นเบิกตาดูว่าตระกูลเซี่ยพังพินาศลงอย่างไรอีกครั้ง!ฆ่าคนได้เก่งตรงไหนกัน?นางทำได้เพียงฆ่าทีละคนเท่านั้นแต่เขา กลับสา
เมื่อทำท่าปาดคอขันทีสวีก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยเสนาธิการจานท่านนี้เป็นถึงคนสนิทข้างกายท่านอ๋องเชียวนะ เขายังคิดว่าท่านอ๋องจะไว้ชีวิตเขาเสียอีกแต่ในเมื่อท่านอ๋องตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องเสียดาย เขาจึงอืมเสียงหนึ่ง “เช่นนั้นยังไม่รีบไปอีก? ทำงานต้องคล่องแคล่วหน่อย!”เวลานี้ ชีหยวนก็กำลังรอใครบางคนอยู่ที่โรงน้ำชาไป๋จื่อเทน้ำชาให้นาง และถามเสียงเบา “คุณหนู ท่านอ๋องจะมาได้หรือไม่เจ้าคะ?”ก่อนหน้านี้ชีหยวนให้ซุ่นจื่อไปส่งข่าวให้ลิ่วจินแล้ว----- นี่ก็คือวิธีติดต่อที่พวกเขาตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แต่เมื่อวันก่อน ชีหยวนกับเซียวอวิ๋นถิงยังแยกย้ายจากกันไปแบบไม่สบอารมณ์อยู่เลยอีกอย่างท่านอ๋องยังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ นางรู้สึกว่าคุณหนูเหมือนจะล่วงเกินท่านอ๋องอย่างรุนแรง จึงไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะยอมมาจริงหรือไม่แต่ความจริงพิสูจน์แล้วว่านางคิดมากไป เพราะชีหยวนนั่งลงได้ไม่นาน เซียวอวิ๋นถิงก็เข้ามาแล้วตอนที่เห็นเซียวอวิ๋นถิง ไป๋จื่ออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอกโชคดีที่ดูแล้วท่านอ๋องเป็นคนใจกว้างมาก ไม่ใจแคบเลยแม้แต่น้อยเซียวอวิ๋นถิงมองชีหยวนด้วยรอยยิ้ม ในใจมีความสุขเล็กน้อยจริง ๆ
เซียวอวิ๋นถิงมองชีหยวนอย่างเงียบ ๆ ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจู่ ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ตอนนี้คุณหนูใหญ่ชีมีธุระอะไรหรือไม่?”เขาเห็นชีหยวนส่ายหน้า ก็ถอนหายใจพลางพยักหน้าเล็กน้อย “ในเมื่อคุณหนูใหญ่ชีไม่มีธุระ เช่นนั้นหออี้หงนี่ ไม่สู้พวกเราไปด้วยกันเสียรอบหนึ่ง เป็นอย่างไร?”ไป๋จื่อที่เดิมทีคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินเขาบอกว่าอยากให้ชีหยวนไปหออี้หงด้วยกัน ก็ไม่อาจทำเป็นไม่ได้ยินได้ จึงเอ่ยเสียเบา “นี่ นี่เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมัง? นั่น นั่นก็คือหอนางโลมนะเจ้าคะ!”พูดคำนี้จบ ใบหน้าของนางก็ร้อนผ่าวราวกับไฟเผาไปชั่วขณะ ถึงอย่างไรสถานที่แบบนี้ สำหรับหญิงสาวที่มาจากครอบครัวสูงศักดิ์ มันคือการทำลายศีลธรรมอันดีจริง ๆ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการเข้าไปเลยถึงอย่างไรคุณหนูใหญ่ก็เป็นสมาชิกของจวนโหว แม้ว่ายามปกติพฤติกรรมดูแล้วจะแตกต่างจากบุตรสาวตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไปอยู่มาก แต่หากเรื่องที่ไปหอนางโลมนี้ถูกแพร่งพรายออกไป สุดท้ายก็จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่เป็นอย่างยิ่งเซียวอวิ๋นถิงไม่ได้สนใจไป๋จื่อ เขาเพียงแค่รอคำตอบจากชีหยวนเท่านั้นชีหยวนเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง หลังจากนั้นก็ยิ้มขึ้นมา “ได้เจ้าค่
เขาก้าวเท้าไปด้วยรอยยิ้ม “อมิตา...”ยังไม่ทันกล่าวคำสวดจบ ชีหยวนก็เหยียบต้นไม้ส่งตัวเองลอยขึ้นไป แล้วฟาดเท้าเข้าใส่อกของฉือซานอย่างจัง ฉือซานกระเด็นลงไปกองกับพื้น กระอักเลือดออกมาเต็มปากจากนั้นก็ไม่หยุดการเคลื่อนแม้แต่น้อย นางพุ่งเข้าหาฉือซาน มีดสั้นในแขนเสื้อก็เผยออกมา จ่อเข้าที่อกของเขาฉือซานถึงกับมึนงงไปกับการเคลื่อนไหวนี้ไหนบอกว่าเป็นหญิงสาวที่ไร้หนทาง ไร้ที่พึ่ง ถูกบีบบังคับให้มาขอบุตรไงเล่า?นี่มันคืออะไรกันแน่?!ชีหยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา สายตานั้นไม่เหมือนกับมองคน แต่เหมือนมองดูหินก้อนหนึ่ง หรือไม่ก็ต้นไม้ต้นหนึ่ง เหมือนมองสิ่งที่ไร้ชีวิตนางไม่พูดพร่ำเพรื่อ ถามขึ้นตรง ๆ “หญิงสาวที่พวกเจ้าลักพาตัวมาจากเรือนพักนอกเมืองเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเจ้าพาไปซ่อนไว้ที่ใด?”ฉือซานเบิกตากว้างในทันที ริมฝีปากสั่นระริกปลายมีดของชีหยวนแทงอกของเขาลึกหนึ่งชุ่นโดยไม่รั้งรอ เลือดไหลพรวดออกจากแผลทันทีจากนั้นนางก็ถาม “ผู่อู๋ย่งเป็นลุงแท้ ๆ ของเจ้าใช่หรือไม่? เห็นได้ยากจริง ๆ หลานของไอ้หมาขันที เขาบอกเจ้าว่าให้เจ้าอยู่นิ่ง ๆ ไปพักหนึ่ง รออีกไม่นานจะให้เจ้าไปเป็นขุนนางที่สำนักพระพุทธศาส
ชีหยวนควบม้าเร็วออกจากเมือง โดยไม่พาคนติดตามไปแม้แต่คนเดียว ลมพัดแรงจนเสื้อคลุมสีแดงสดของนางปลิวสะบัด แต่นางกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย แม้หมวกคลุมศีรษะจะเปิดออก นางก็ไม่คิดจะดึงกลับมาสวมอีกนางรู้ดีบนโลกนี้ไม่มีแม่ทัพไร้พ่ายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เว้นแต่จ้าวจื่อหลงผู้เป็นดั่งปาฏิหาริย์ ผู้อื่นแม้เป็นแม่ทัพที่เก่งกล้าสักเพียงใด ก็ล้วนเคยลิ้มรสความพ่ายแพ้แต่สำหรับนาง ไม่มีทาง!โดยเฉพาะคนที่ฆ่านาง ทั้งยังทำให้คนที่นางพามาด้วยต้องเติบโตขึ้นโดยไม่มีแม่ ก็ยิ่งสมควรตาย!ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่นางไม่เคยเข้าใจก็คือเหตุใดหลี่ซิ่วเหนียงถึงไม่เหมือนแม่คนอื่นสิ่งที่นางอิจฉามากที่สุดก็คือเด็กคนอื่น ๆบัดนี้มีเด็กอีกคนหนึ่งที่ต้องกลายเป็นกำพร้าเพราะนาง ชีหยวนรู้สึกว่าตัวเองช่างบาปหนานักแน่นอนว่าความผิดของนางมีอยู่จริง แต่มันก็ยังมีบางคนที่สมควรจะลงนรกสิบแปดขุม!นางควบม้าเร็วเร่งรุดมาถึงวัดว่านอันที่ชานเมืองหลวง เอียงศีรษะเล็กน้อย จ้องคำว่าวัดว่านอันสามคำนั้นอย่างเย็นชา บนใบหน้าฉายแววเย็นเยียบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนออกจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ก็เป็นเวลาค่ำแล้วยามดึกดื่นเช่นนี้ หญิงสาววัยแรกแย
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื
แน่นอนว่าผู่อู๋ย่งไม่มีพ่อ พ่อของเขาตายไปนานแล้ว มิเช่นนั้นจะเข้ามาเป็นขันทีในวังได้อย่างไรกันเล่า?!แต่ตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเพิ่งตายไปจริง ๆ เลยบัดซบเอ๊ย!เหลวไหลสิ้นดี!ที่ไหนมีขันที ที่นั่นก็ต้องมีคนของเขาแฝงอยู่รัชทายาทวังบูรพาโง่เง่าอย่างกับหมู ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปทั้งตัวต่อให้เซียวอวิ๋นถิงฉลาดหลักแหลมแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่คน ไม่ใช่เทพเซียน!เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าส่งขันทีไปขัดขวางเซียวอวิ๋นถิง แล้วก็ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทำเลยหลักฐานทั้ง ๆ ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างไม่มีที่ติแต่สุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับวางแผนเหนือกว่า ส่งของไปถึงฮ่องเต้หย่งชางก่อนเสียได้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?!ไอ้บ้าสองตัวนั่น!คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนเหี้ยมโหด ราวกับสุนัขจิ้งจอกกับอสรพิษรวมหัวกัน ใครหน้าไหนเข้าใกล้ก็ต้องถูกพวกเขากัดเข้าให้สักแผลเขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเขาเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา ไม่มองทางสวีฮว่านอีกเขาไม่เคยกังวลเลยว่าเรื่องนี้จะพัวพัน
ก็ใช่ว่าจะเคราะห์ร้ายเสียทีเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาสนใจเขานัก ล้วนแต่ยุ่งกับการจัดการจวนฉู่กั๋วกงกันทั้งนั้น ต่อมาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปอีก เรื่องราวเยอะเกินไป ไม่มีใครจะนึกถึงเขาหรอก ทว่าเขาเองก็กลัวมาก! น้องหญิงคนนั้นของเขา มิใช่คนที่จะสะสางหนี้แค้นด้วยคุณธรรมมาตั้งแต่ตอนเยาว์วัยแล้ว หลังจากนี้จะต้องหาโอกาสมาจัดการเขาแน่! พูดให้ถึงที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษสกุลชีอย่างเดียว หากว่าสกุลชีไม่พาตัวพระชายาหลิ่วกลับมา เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วในตอนนี้อุตส่าห์หาโอกาสได้แล้วทั้งที เข้าย่อมต้องเหยียบย่ำสกุลชีให้เต็มที่แน่นอน ผู่อู๋ย่งยิ่งรู้สึกขบขันเต็มที พอเห็นว่าสวีฮว่านเหลือบสายตามองตนเองด้วยความเคร่งเครียดแล้ว ก็เบนสายตาออกเชิงว่าตักเตือนทันที สวีฮว่านรีบก้มศีรษะลง บัดนี้ลำคอของเขายังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย ไหนจะตรงช่วงท้องอีก ดูเอาเถิดว่านางเด็กชีหยวนคนนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมมากขนาดไหน หัวใจของเขาเต้นระส่ำว้าวุ่นไม่เป็นสุข จนถึงตอนนี้ ทั่วท้องพระโรงทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นล้วนพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของสกุลชี ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับยังคงไม่ปรากฏตัว