Share

บทที่ 16

Author: ฉินอันอัน
ไฟในจวนของนางหวังสว่างไสว และทุกที่ล้วนมีการจุดโคมไฟทั้งหมดแล้ว

แม่นมจางยกผ้าม่านขึ้นให้ชีหยวน แต่ยังไม่ได้อ้อมผ่านฉากกั้น ก็ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้น “ท่านแม่ ผ้าปักซูซิ่ว[footnoteRef:1] เรียนยากจริง ๆ เลยนะเจ้าคะ นิ้วมือของข้าถลอกจนกลายเป็นแผลหมดแล้ว” [1: เป็นรูปแบบการปักผ้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของมณฑลเจียงซู]

เสียงนี้หวานจนเลี่ยนเล็กน้อย การเคลื่อนไหวของชีหยวนชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่ออ้อมผ่านฉากกั้นมา ก็เห็นนางหวังตอนนี้เอนตัวอยู่บนเตียงยาว และด้านข้างมีบุตรสาวที่สวมชุดผ้าโปร่งสีชมพูกำลังยกมือขึ้นให้นางดูอยู่

นี่ก็คือชีจิ่น

จิ่นที่แปลว่ายอดเยี่ยมงดงาม เมื่อได้ฟังชื่อนี้ ก็ทราบแล้วว่าจวนโหวรักและให้ความสำคัญต่อบุตรสาวคนนี้มากเพียงใด

นางหวังยิ้มและมองนิ้วมือทั้งสิบของนางอย่างใจเย็น พลางเอื้อมมือไปจิ้มแก้มของนาง “ข้าไม่ได้ให้เจ้าไปเป็นซิ่วเหนียง[footnoteRef:2]เสียหน่อย ลองเรียนดูก่อน จะได้รู้วิธีและจดจำไว้ก็พอแล้ว” [2: หญิงที่มีความสามารถด้านการเย็บปักถักร้อย หรือเป็นอาจารย์ที่สอนเกี่ยวกับงานฝีมือ]

เมื่อเห็นชีหยวนมา นางหวังก็เก็บรอยยิ้มที่รักใคร่บนใบหน้าลงโดยไม่รู้ตัว และพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมเล็กน้อย “อาหยวนมาแล้วหรือ”

ชีหยวนเดินไปหานางหวังอย่างช้า ๆ และค้อมตัวเพื่อแสดงความเคารพกับนางหวัง “คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ”

ท่าทางและมารยาทล้วนไร้ที่ติ

และในเวลาเดียวกัน ชีจิ่นก็หันหน้ามามองนางด้วยรอยยิ้มที่เหมือนกับไม่ยิ้ม และรอมยิ้มตรงมุมปากก็ค่อย ๆ นิ่งค้างไป

ไม่รู้ว่าชีหยวนเพิ่งเรียนรู้กฎและมารยาทเดี๋ยวนั้นหรือไม่ ถึงไม่มีจุดที่จะสามารถจับผิดได้เลย

ซึ่งห่างไกลจากสิ่งที่นางจินตนาการไว้ว่า เติบโตอยู่ในชนบท ผิวหยาบกร้าน และหยาบคายไร้ความรู้

แต่สิ่งที่ทำให้นางยิ่งไม่สบายใจก็คือใบหน้านี้ของชีหยวน

ใบหน้านี้ ช่างเหมือนกับคนในตระกูลชีมากเหลือเกิน

เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นบุตรสาวของตระกูลชี

หัวใจของนางค่อย ๆ จมดิ่งลง ส่วนโค้งที่มุมปากก็เกร็งเช่นเดียวกัน

เมื่อชีหยวนคารวะเสร็จ นางหวังก็แนะนำกับชีหยวน “นี่คือน้องรองของเจ้า...พวกเจ้าเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน และต่อไปก็จะต้องอยู่ร่วมกันดีๆ รู้หรือไม่?”

ช่วงที่นางหวังอยู่ต่อหน้าชีหยวน การพูดจาก็มักจะไม่ค่อยดูเป็นธรรมชาติสักเท่าใดนัก

โดยเฉพาะเมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกมา ก็จะยิ่งหลบสายตาของชีหยวนโดยไม่รู้ตัว

กลับเป็นชีจิ่น ที่หันไปมองทางชีหยวนด้วยรอยยิ้มมที่เหมือนกับไม่ยิ้ม บนใบหน้าก็แฝงไปด้วยความเย้ยหยันที่ดูเหมือนจะยินดีในความทุกข์ของคนอื่นเล็กน้อย

สิ่งที่ทำให้นางผิดหวังคือ สีหน้าของชีหยวนกลับไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย และขณะเดียวกันก็ยังใช้ท่าทางที่หยอกล้อมองกลับมาอีกด้วย

สายตาของทั้งสองปะทะกัน และชีหยวนก็ยิ้มไปทางนางอย่างคล้อยตามเสียก่อน “น้องรอง”

ชีจิ่นไม่มีทางเลือกนอกจากฝืนยิ้มออกมา “พี่หญิงใหญ่ ในที่สุดพี่ก็กลับมาเสียที ได้ยินว่าพี่เกิดเรื่องจนขึ้นศาลาว่าการ ข้าเป็นห่วงพี่มากเลยนะเจ้าคะ”

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่ศาลาว่าการ คิ้วของนางหวังก็ขมวดอีกครั้ง และน้ำเสียงก็เย็นชายิ่งขึ้น “เรื่องในอดีต ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้ว”

แค่นึกถึงบุตรสาวที่ใช้ชีวิตอยู่ในชนบทมานานขนาดนั้น แถมต้องอยู่ร่วมกับคนหยาบกระด้างเหล่านั้น และปะปนอยู่ในสังคมแบบตลาดอีก นางก็ไม่สบายใจมากแล้ว

ชีจิ่นกัดริมฝีปาก และทันใดนั้นน้ำตาก็เต็มขนตา “ท่านแม่ ข้าพูดอะไรผิดไปใช่หรือไม่เจ้าคะ? ข้าเองก็รู้ดีว่า ถึงอย่างไรข้าก็เป็นเพียงนกเขาที่แย่งรังนกเอี้ยง[footnoteRef:3]...” [3: เป็นสำนวนที่เปรียบเปรยถึงการเข้าไปครอบครองสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเองหรือแย่งชิงที่อยู่อาศัยของคนอื่น]

มีบางครั้ง ชีหยวนก็นับถือคนอย่างชีจิ่นมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นคนใจแข็ง แต่ภายนอกกลับทำตัวน่าสงสารอยู่เสมอ

ใช้ใบหน้าที่ไร้เดียงสาที่สุดนี้ แกลับเอ่ยคำพูดที่แทงใจคนที่สุด

นางหวังรู้สึกสงสารมาก กอดชีจิ่นไว้ในอ้อมแขนและตำหนิด้วยเสียงที่แผ่วเบา “พูดไร้สาระอะไร? เจ้าก็เหมือนกับพี่สาวเจ้า ล้วนเป็นบุตรสาวแท้ ๆ ของข้า!”

เลี้ยงดูมานานหลายปีขนาดนี้ ไม่ใช่บุตรแท้ ๆ ก็เหมือนเป็นบุตรแท้ ๆ แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ชีจิ่นปากหวานและเชื่อฟัง แต่ไหนแต่ไรก็เป็นแก้วตาดวงใจที่นางหวังใส่ใจมากที่สุด

ในด้านความรู้สึก นางหวังถึงกับไม่คาดหวังว่าเรื่องเข้าใจผิดนี้จะเป็นจริง

นางไม่ได้มองชีหยวนมากนัก

ชีจิ่นสะอื้นอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็หยุดร้อง และเอ่ยกับนางหวังด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน “ท่านแม่ ข้าอยากกินขนมถั่วกวน[footnoteRef:4]เจ้าค่ะ” [4: ทำจากถั่วลันเตาเหลือง เป็นขนมที่นิยมในราชสำนักในสมัยโบราณของจีน]

นางหวังขำพรืดออกมา และเอื้อมมือไปแตะจมูกของบุตรสาวเบาๆ “โตขนาดนี้แล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็ก ๆ อีก ได้ๆๆ ข้าจะให้ในครัวทำให้เดี๋ยวนี้”

“ไม่เจ้าค่ะ!” ชีจิ่นเขย่าแขนของหวังซืออย่างออดอ้อน “ท่านแม่ ข้าอยากให้แม่นมสวีทำด้วยตัวเอง”

แม่นมสวีเป็นสาวใช้ส่วนตัวของนางหวัง และทุกคนต่างก็รู้ว่านางคือแม่นมคนสนิทของนางหวัง

เวลานี้ถูกเอ่ยชื่อ แม่นมสวีก็เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ขอบคุณคุณหนูรองที่ชื่นชอบขนมที่ข้าทำ นี่ถือเป็นความโชคดีของข้าแล้วเจ้าค่ะ!”

ชีจิ่นเหลือบมองไปทางชีหยวนอย่างลำพองใจ และในดวงตาก็เผยความดูหมิ่นออกมาอย่างพอเหมาะพอเจาะ

เป็นบุตรสาวแท้ ๆ แล้วอย่างไรเล่า?

จากกันเป็นสิบกว่าปีก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ตลอดไป

ความรู้สึกไม่ใช่จะสะสมได้ในชั่วข้ามคืน

นางต่างหากที่เป็นบุตรสาวคนเดียวที่ไม่อาจแทนที่ได้มากที่สุดของนางหวัง

จะฆ่าคนก็ต้องฆ่าที่หัวใจก่อน

ชีหยวนกลับมาก็ดี นางจะได้ยืนมองอยู่ตรงนี้ ดูว่านางจะกดศีรษะของชีหยวนให้ต่ำลงชั่วชีวิต และได้รับความโปรดปรานอย่างไร

และชีหยวน ก็จะเป็นได้แค่ยายบ้านนอกคนหนึ่งที่ไม่มีวันออกสู่สังคมชั้นสูงได้เท่านั้น!

หากชีหยวนยังคงเป็นชวีอินอินในชาติก่อน บางทีคืนนี้คงไม่อยากจะนอนหลับแล้ว

แต่ว่าตอนนี้ นางเพียงแค่กระตุกยิ้มใส่ชีจิ่นอย่างเยาะเย้ยเท่านั้น

สิ่งที่เมื่อก่อนไม่ได้มา บัดนี้นางก็ไม่ต้องการแล้ว

ชีหยวนไม่ได้เสียสติอย่างที่นางจินตนาการไว้เลย แม้แต่โมโหหรือเสียใจก็ไม่มีสักนิด แถมยังยืนอยู่ด้านข้างอย่างกับเป็นท่อนไม้อีก

นี้ไม่สอดคล้องกับความคาดหวังของชีจิ่นโดยสิ้นเชิง

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เดิมทีนางต้องการทำให้ชีหยวนโกรธ แต่ตอนนี้กลับทำให้ตนเองโกรธแทน

เมื่อหัวร้อน นางก็ทนไม่ไหวจึงถาม “พี่หญิง ข้าได้ยินว่าก่อนที่ท่านจะกลับมา พ่อแม่บุญธรรมของพี่ล้วนเสียชีวิตกันหมดแล้ว...ทำไมท่านถึงไม่เสียใจสักนิดเลยเล่าเจ้าคะ?”

นางหวังตกตะลึง

ชีหยวนก็เงยหน้ามองไปทางชีจิ่น

จากมุมที่นางมองไป บนใบหน้าของชีจิ่นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ราวกับคุณหนูใหญ่ที่ไร้เดียงสาและไม่คุ้นเคยกับเรื่องทางโลกคนหนึ่ง

ชีจิ่นถามเรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่ต้องการแค่ทำให้นางไม่สบายใจ และในขณะเดียวกันก็เป็นการเตือนสตินางหวังด้วย ว่านางถูกคนขายเนื้อสวี่กับหลี่ซิ่วเหนียงเลี้ยงดูมานานกว่าสิบปี แถมยังเย็นชาต่อพ่อแม่บุญธรรมแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบิดามารดาแท้ ๆ ที่ไม่เคยเลี้ยงดูเลย

ช่างใช้ใบหน้าอ่อนโยนราวกับพระโพธิสัตว์นี้ ทำเรื่องชั่วร้ายที่สุดเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนเลยจริง ๆ

แต่น่าเสียดาย ชีหยวนไม่คิดจะพูดจาเหน็บแนมกับนาง

นางเบิกตาโตอย่างตรงไปมา “น้องหญิงไม่รู้หรือ? การตายของพวกเขาไม่ค่อยสวยเท่าใดนัก หลี่ซิ่วเหนียงแอบคบชู้กับคนอื่น ลอบฆ่าสามีตนเอง และถูกโยนลงทะเลไปแล้ว”

นางจ้องมองชีจิ่นไม่วางตา และเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “อีกอย่าง เขาว่ากันว่าเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ข้าน่าจะ ไม่ใช่คนที่ควรจะปวดใจมากที่สุดคนนั้นกระมัง?”

ในคืนนั้นคนขายเนื้อสวี่กับหลี่ซิ่วเหนียงเลือกให้ติงเฉิงหย่งเข้าไปในห้องของนาง ซึ่งจะต้องได้รับสัญญาณจากชีจิ่นอย่างแน่นอน

แม้สองคนนี้จะไม่ใช่คน แต่เพื่อชีจิ่นบุตรสาวคนนี้แล้ว ก็ถือได้ว่าจริงใจมากทีเดียว

นางเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่า เมื่อชีจิ่นได้ยินถึงการตายของหลี่ซิ่วเหนียงกับคนขายเนื้อสวี่ จะมีปฏิกิริยาอย่างไร

สีหน้าของชีจิ่นซีดลงในทันที สายตาก็เผยความโกรธแค้นออกมา และโผเข้าสู่อ้อมแขนนางหวังพลางร้องไห้เบา ๆ “ท่านแม่ ข้ากลัวเจ้าค่ะ...”

นางหวังรู้สึกไม่พอใจ และหันหน้ามาตักเตือนต่อชีหยวนอย่างเย็นชา “เรื่องที่ไร้สาระจากบ้านนอกแบบนี้ ทำไมถึงเอามาพูดถึงในบ้านได้? เจ้าช่างไร้มารยาทยิ่งนัก!”

ชีหยวนหัวเราะเสียงเย็นในใจ

คนที่เอ่ยขึ้นมาก่อนดูเหมือนจะไม่ใช่นาง แต่นางหวังกลับละเลยจุดนี้และหันมาตำหนิตนเอง เห็นได้ชัดว่าเลือกที่รักมักที่ชังเกินไปหน่อยแล้ว
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 614

    ส่วนจะเป็นใคร อีกไม่นานก็ได้รู้กันแล้ว ชีหยวนปรายสายตาเย็นชามองบุรุษฉกรรจ์ร่างใหญ่ผู้นั้นซึ่งถูกยึดกริชไปแล้ว และบัดนี้กำลังจ้องมองตนเองอย่างตะลึงงัน ก่อนจะยิ้มอย่างเย้ยหยันใส่เขาไปที บุรุษฉกรรจ์ร่างใหญ่ผู้นั้นเพิ่งรู้สึกตัว และหวนกลับมาได้สติในที่สุด “ท่านใต้เท้า นางโกหก! นางชั้นต่ำคนนี้โกหก นางจับมือข้าสังหารคน นางเป็นคนจับมือข้าสังหารคนขอรับ!” ทว่าคนของหน่วยปราบปรามกลับมองว่าเขากำลังพูดจาเพ้อพก คุณหนูใหญ่แห่งจวนโหวผู้งามพริ้งนุ่มนวลเช่นนี้ หากบอกว่ารู้จักควบอาชาหรือเป็นวิชาหมัดมวยพื้นฐานพวกเขายังพอเชื่อถือบ้าง แต่จะให้เชื่อว่านางจับมือบุรุษฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่แบบนี้สังหารคนเนี่ยนะ? เจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังกุมตัวบุรุษผู้นั้นไว้รีบง้างหมัดกระแทกอัดศีรษะเขาไปเต็มแรง “ไอ้สวะคนนี้หัดสำรวมหน่อยสิวะ ข้าอุตส่าห์ไว้หน้าเจ้าแล้วนะ?!” เขาไม่มีความปรานีเลยแม้แต่น้อย หมัดเดียวกระแทกอัดเข้าไป ทำบุรุษฉกรรจ์คนนั้นแผดเสียงร้องโอดครวญลั่น ศีรษะปูดขึ้นเป็นก้อนใหญ่ และในตอนนี้เอง ชุนหลินก็นำทางโหวผู้เฒ่าชีเข้ามา ถึงอย่างไรเขาก็เป็นองครักษ์เสื้อแพร และยังเป็นคนสนิทของไล่เฉิงหลง ดังนั้นแม้ตนเอ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 613  

    ราวกับผีสางเทวดาบันดาลให้กระทำเช่นนี้ไป เขายกข้อมือของตนเองขึ้น กลับเห็นว่ากริชที่เปื้อนเต็มไปด้วยโลหิตเล่มนั้นอยู่ในมือของตนเอง และในขณะเดียวกัน ด้วยเหตุเกิดถึงชีวิตคน ดังนั้นคนในหอสุราจึงไม่กล้านิ่งเฉยไม่สนใจได้อีกต่อไป พวกเขารีบรุดออกไปที่ถนนเพื่อเรียกคนของหน่วยปราบปรามมาทันที คนของหน่วยปราบปรามมาถึง ก็กรูกันขึ้นไปชั้นบนอย่างไม่รอช้า ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเหล่านั้นล้วนแต่อึ้งงัน มองสหายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นก็ได้แต่เบิกตากว้างอ้าปากค้างอยู่แบบนั้น สถานการณ์เมื่อครู่โกลาหลเกินไปจริง ๆ พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความจริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ มองไม่เห็นด้วยซ้ำว่ากริชเล่มนั้นแทงเข้าที่ท้องของสหายคนนั้นได้อย่างไร ทว่ากลับมีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนที่สุด นั้นก็คือมือสังหารคือสหายของพวกเขาเอง ชีหยวนขมวดคิ้วขึ้น ใบหน้าเจือความเยาะเย้ยอยู่เล็กน้อย ทว่าในแววตากลับเต็มไปด้วยประกายเยือกเย็น คนกลุ่มนี้มาถึงก็หาเรื่องซุ่นจื่อทันที ทำให้ขาของซุ่นจื่อหัก ปากอ้างว่าของถูกขโมย ทว่าท่าทางกลับดูไม่คล้ายว่าอยากได้ของคืนแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่นางประกาศชื่อแซ่ของตนเองออกไปพวกมันยังค

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 612  

    และด้านข้างของเขา มีชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ยักษ์หลายคน แต่ละคนล้วนหน้านิ่วคิ้วขมวดแววตาเย็นชาใบหน้าเต็มด้วยหนังกร้าวกร้าน มองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าไม่ควรไปข้องเกี่ยวด้วย ซุ่นจื่อตะโกนด้วยความร้อนรน “คุณหนูใหญ่รีบเข้าไปด้านในก่อนขอรับ คนพวกนี้เป็นพวกอันธพาลท้องถิ่น กล่าวหาว่าในกลุ่มของพวกข้ามีใครบางคนไปขโมยครั่นคร้ามพวกมัน…” ยังพูดไม่ทันจบประโยค ชายฉกรรจ์คนหนึ่งก็ยกเท้าขึ้นหมายจะถีบซุ่นจื่ออย่างรุนแรง ชีหยวนขมวดคิ้วขึ้น ทันใดนั้นก็คว้าแจกันดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะด้านข้างขึ้นมา และเขวี้ยงใส่ชายฉกรรจ์คนนั้นอย่างไม่รอช้า แจกันบุปผาร่วงหล่นกระแทกพื้น เสียงแตกดังสนั่น เศษกระเบื้องพลันกระจายว่อน ซุ่นจื่อกลิ้งไปด้านข้างด้วยความร้อนรน หลบจากฝ่าเท้าของบุรุษฉกรรจ์คนนั้นได้เฉียดฉิว ชีหยวนขมวดคิ้วพลางมองเสี่ยวเอ้อร์ที่กล้าเพียงแค่ชะโงกศีรษะออกมาจากช่องบันได “ไปแจ้งทางการให้พวกข้าที บอกว่าที่แห่งนี้มีคนเจตนาชั่วช้ากำลังทำร้ายคน จงใจหาเรื่องโดยไม่มีเหตุผล ก่อความไม่สงบสร้างความวุ่นวาย!” เสี่ยวเอ้อร์เสียขวัญเพราะคนกลุ่มนี้อยู่ไม่น้อย ครั้นได้ยินชีหยวนพูดจบ คนเหล่านั้นก็หันมองมายังตนเองทันที ไม่

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 611  

    หลังจากเซียวอวิ๋นถิงออกคำสั่งเรียบร้อย ครั้นกลับถึงเมืองหลวงก็รีบจัดการธุระสำคัญต่อทันที จนเข้าตาฮ่องเต้หย่งชาง ต่อมายังถึงขั้นกดข่มอ๋องฉีไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการสังหารผู่อู๋ย่งและการกวาดล้างลัทธิปทุมพิสุทธิ์ ยิ่งทำให้ฮ่องเต้หย่งชางพอพระทัยกับหลานชายคนนี้อย่างมาก เมื่อก่อนตอนที่อ๋องฉีร้องสั่งโจมตีร้องสั่งกำจัดวังบูรพา พวกเขาสามารถให้เซียวอวิ๋นถิงออกหน้าเพื่อดึงดูดความสนใจของอ๋องฉีและจวนฉู่กั๋วกงได้จริง ทว่าบัดนี้ อ๋องฉีล้มลงแล้ว หากเขายังไม่สามารถหลุดพ้นจากสภาพอันเลวร้ายได้อีก ทุกคนก็จะมองเห็นเพียงแค่เซียวอวิ๋นถิงคนเดียวแล้ว ซ่งเหลียงตี้จ้องมองบุตรชายนิ่ง ๆ อยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยว่า “ฝ่าบาทยังทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง เจ้าจะรีบร้อนไปไยกัน?” องค์รัชทายาทเดิมมิโปรดปรานชายารัชทายาทมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยิ่งไม่ชอบเซียวอวิ๋นถิงเข้าไปใหญ่ มีเพียงนางผู้เดียวที่ลึก ๆ แล้วเข้าใจอุปนิสัยใจคอของรัชทายาทคนนี้มากที่สุด ภายนอกเขาดูอ่อนแอขี้โรคไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมใด ๆ ทว่าความเป็นจริงแล้วกลับเป็นคนลึกซึ้งเจ้าเล่ห์ จิตใจคับแคบเป็นที่สุด เมื่อก่อนเขาโกรธแค้นอ๋องฉี และเคียดแค้นเสี่ยวห

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 610

    เหตุใดยามกลับมาแรกเริ่มนางจึงคิดแต่จะสร้างกระแสก่อน?นางควรจะคิดหาวิธีอื่นตั้งนานแล้ว“มิใช่หรอก” จวิ้นอ๋องหนานอันมองนาง “องค์พี่ของข้าได้กราบทูลฝ่าบาทว่า คุณหนูใหญ่ตระกูลชีอาจมิเห็นเขาอยู่ในสายตา ดังนั้นเขาจึงยังพยายามอยู่ ที่เขาออกจากวังบ่อยครั้ง ก็ขอให้ฝ่าบาทอย่าได้ถือโทษ”เฝิงไฉ่เวยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะออกมาเบา ๆทว่าภายในอกกลับเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออกนางเข้าใจดีว่าเซียวอวิ๋นถิงทำเช่นนี้เพื่ออะไรชอบจึงกล้าทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่เกรงใจ แต่หากเป็นรักแล้วเล่า กลับต้องรู้จักห้ามใจเขาชอบชีหยวน ถึงขั้นไม่เสียดายที่จะกราบทูลต่อเบื้องพระพักตร์ว่า ชีหยวนยังมิได้ชอบเขาแต่ตนเล่า?นางพยายามถึงเพียงนี้ แต่เขากลับไม่แม้แต่จะชายตามองนางสักครั้งเดียวอยู่ดี ๆ ความสนใจของนางก็เหือดแห้ง “เช่นนั้น จวิ้นอ๋องบอกเรื่องพวกนี้กับข้าน้อย เพื่ออะไรกัน? มันเกี่ยวอะไรกับข้าน้อยด้วยหรือเจ้าคะ?”จวิ้นอ๋องหนานอันหัวเราะอย่างมีนัย “ยาพิษสำหรับคนหนึ่ง อาจเป็นน้ำผึ้งสำหรับอีกผู้หนึ่ง ข้าไม่ได้มีเจตนาอันใด เพียงอยากให้คุณหนูเฝิงรู้ไว้ว่า เลือกคนให้ถูกนั้นสำคัญ เลือกทางให้ถูกนั้นยิ่งสำคัญ หากเลือกผิด ก้า

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 609

    เฝิงไฉ่เวยค่อย ๆ หลับตาลงนางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ที่แท้การจะได้ครอบครองหัวใจของใครสักคนหนึ่ง จะเป็นเรื่องที่ยากเย็นถึงเพียงนี้แต่เหตุใดจึงต้องเป็นเช่นนี้?ทั้งที่ยามนางอยู่ที่ยูนนาน ไม่ว่าเพียงจะกวักมือเรียกใคร คนผู้นั้นก็แทบจะยอมควักหัวใจถวายให้นางทั้งดวงทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับไม่แม้แต่จะใส่ใจว่านางคิดเช่นไร รอจนหมอหลวงหูมาถึง จัดยาให้กับฮองเฮาเฝิงเรียบร้อยแล้ว เขาก็กล่าวว่า “คุณหนูเฝิงบอกว่านางมีวิธีรักษาอาการปวดศีรษะจากลมชั่ว หมอหูลองฟังดูว่าวิธีนี้ใช้ได้หรือไม่”จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นกล่าวลากับฮองเฮาเฝิงฮองเฮาเฝิงเม้มริมฝีปาก พลางนวดหว่างคิ้วเบา ๆ แล้วกล่าวเสียงราบเรียบ “เจ้ากลับไปจัดการธุระของเจ้าเถอะ เราจะให้ไฉ่เวยอยู่อีกสักครู่ แล้วค่อยให้นางกลับ”เซียวอวิ๋นถิงขานรับ แล้วก็ออกจากตำหนักไปทันทีในหูของเฝิงไฉ่เวยดังอื้อ ๆ ไปหมด ทั้งคนเต็มไปด้วยความรู้สึกมึนงง แต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนจะมีบางอย่างกระจ่างขึ้นที่สับสนคือเพราะเหตุใดความพยายามทั้งหมดจึงไร้ผล?แต่นางก็รับรู้ได้อย่างกระจ่าง ว่าเหตุผลที่ไร้ผลนั้น ก็เพราะเซียวอวิ๋นถิงมีท่าทีต่อชีหยวนแตกต่างจากผู้ใดทั้งสิ้นต่อผู้

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status