ไป๋หู่รู้สึกเหมือนหัวใจตนเองแทบจะหยุดเต้น ดีที่ชิงหลงมาถึงทันเวลา พุ่งชนอาชาของอ๋องฉีด้วยความรวดเร็ว อาชาตกใจและทะยานไปข้างหน้า การเคลื่อนไหวในมือของชีหยวนพลันหยุดชะงัก และในจังหวะนั้นเอง อ๋องฉีก็สะบัดตัวหลุดออกจากการควบคุมของชีหยวนและกลิ้งไปกับพื้น เสี้ยวพริบตาที่แผ่นหลังกระแทกลงไปบนพื้น อ๋องฉีรู้สึกว่าอวัยวะภายในทั้งหมดของตนเองเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงเพราะแรงกระแทก เขาขดตัวเป็นก้อนด้วยความเจ็บปวด ชิงหลงอกสั่นขวัญแขวน เขาไม่เคยพบเจอสตรีคนใดที่อันตรายเท่าชีหยวนมาก่อน นางเป็นคนบ้าวิกลจริตไปแล้วจริง ๆ! ไม่สิ แบบนี้มันปีศาจบ้าคลั่งชัด ๆ! เขารีบคว้าตัวอ๋องฉีขึ้นมาบนหลังอาชาของตนเองอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะพาอ๋องฉีควบอาชาหนีไปอย่างสุดชีวิต โดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น คนยิ่งหนีไกลออกไปเรื่อยๆ เกาทัณฑ์แขนเสื้อจึงยิงไปไม่โดนเป้าหมายอีก ชีหยวนหรี่ตา เห็นซองใส่ลูกธนูขององครักษ์ลับคนหนึ่งร่วงตกลงบนพื้น ก็เอื้อมมือไปหยิบขึ้นมา ขึ้นคันธนู และปล่อยลูกธนูยิงออกไปทางอ๋องฉีสามดอกติดกัน ธนูสองดอกถูกอ๋องฉีและชิงหลงปัดทิ้งไปได้ ทว่ายังมีอีกดอกหนึ่งที่ปักเข้ากลางไหล่ขวาของอ๋องฉี ร่างกาย
เซี่ยหรูพยักหน้ารับ มิได้หยุดชะงัก แล้วก็เล่าเรื่องราวทุกอย่างอย่างละเอียด ว่าชีหยวนมาพบตนเองได้อย่างไร สังหารโจวเสี่ยวเผิงอย่างไร สังหารเฉินฮ่าวฮุยและคนอื่นอย่างไร และบอกว่านางไปพบท่านเจ้าเมืองเพื่อเตรียมการขั้นต่อไปอย่างไร เซี่ยอิ๋งได้ฟังแล้วดวงตาถึงกับสั่นไหว หากมิใช่เพราะตนเองประสบพบเจอทุกสิ่งมากับตัว เขาคงนึกว่าท่านอาของตนเองกำลังเล่านิทานให้เขาฟังไปเสียแล้ว จะมีดรุณีที่เก่งกาจเพียงนี้อยู่จริงได้อย่างไร? นางเหมือนไม่ใช่คน ทว่าเหมือนกับเป็นเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น! วางอุบายรอบคอบไร้ที่ติ ชำนาญทั้งบู๊และบุ๋น สังหารคนราวกับฆ่าไก่ สุดท้ายความตกตะลึงเหล่านี้ได้กลั่นออกมาเป็นคำถามเพียงประโยคเดียว: “ท่านอา คุณหนูใหญ่สกุลชีคนนี้บัดนี้อยู่ที่ใดแล้วขอรับ?” ฮูหยินโจวเอ่ยด้วยเสียงเบาหวิว: “ไล่ตามอ๋องฉีไปแล้ว ข้าเห็นนางคล้ายกับว่าจะ…” ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฮูหยินโจวก็เอ่ยด้วยเสียงที่เบาลงยิ่งกว่าเดิม: “คล้ายว่าจะมีความแค้นฝังลึกกับอ๋องฉี…” เซี่ยอิ๋งพลันตัดสินใจทันที: “ข้าจะไปพบคุณหนูใหญ่สกุลชีท่านนี้” ทว่า เขายังไม่ทันออกเดินทาง พ่อบ้านสวีก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพลางร้องว่า: “
ชิงหลงอยู่ในอารมณ์ตึงเครียด ออกเดินทางครั้งนี้ เดิมทีเตรียมตัวไว้เพียงเรื่องที่จะชิงตัวพระชายาหลิ่วมาให้ได้ก่อนเท่านั้น ผลสุดท้ายแม้แต่เงาของพระชายาหลิ่วยังไม่ได้สัมผัส กลับต้องสูญเสียหัวหน้าองครักษ์ลับไปถึงสองนาย และองครักษ์ลับไปอีกสิบกว่าชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่อ๋องฉียังได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้อีก ถึงขั้นเดินไม่ได้! นี่มันหมายความว่าอะไร? หมายความว่าต่อจากนี้อ๋องฉีอาจจะมีปัญหาเรื่องขา ซึ่งนั่น นั่นก็หมายความว่าอ๋องฉีจะสูญเสียสิทธิ์ในการแย่งชิงราชบัลลังก์ไป! นับแต่อดีตมาถึงตอนนี้ ฮ่องเต้ที่ร่างกายทุพพลภาพมีอยู่สักกี่พระองค์กัน? โดยเฉพาะช่วงที่แผ่นดินและราชวงศ์กำลังรุ่งเรืองเฟื่องฟู ยิ่งไม่มีทางยอมให้มีฮ่องเต้ซึ่งร่างกายทุพพลภาพพระองค์ใดปรากฏขึ้น! บัดนี้อ๋องฉีสั่งให้เดินทางกลับเมืองหลวงทันที ชิงหลงค่อนข้างกังวลใจกับสภาพบาดแผลของเขาจึงเอ่ยว่า: “ทว่าบาดแผลของท่านอ๋อง…” สีหน้าของอ๋องฉีกลับนิ่งสงบอย่างน่าเหลือเชื่อ สงบมากจนดูน่าประหลาด เขากัดฟันกรอด: “พาคนผู้นี้ไปด้วย กลับไปพบหมอเทวดาเซวีย! เดินทางเดี๋ยวนี้!” หมอเทวดาเซวียเป็นหมอเทวดาเลื่องชื่อไปทั่วหล้า คนสกุล
ฉู่กั๋วกงหลับตา: “จิงหงเขา เกิดเหตุร้ายขึ้นจริง ๆ” เส้นที่ขึงตึงอยู่ในสมองของนางพลันขาดผึงทันใด นางคว้าแขนเสื้อของฉู่กั๋วกงไว้ด้วยอารมณ์เดือดพล่าน: “เพราะอะไร? เพราะชีหยวนใช่หรือไม่?!” ไม่มีทางเป็นเพราะสาเหตุอื่นอย่างแน่นอน บุตรชายตามชีหยวนออกไป นางกัดฟันกรอด เสียงที่เปล่งออกมาราวกับเค้นออกมาจากลำคอ: “อยู่ดี ๆ ลูกของข้าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นได้อย่างไร?!” เห็นดวงตาของนางแดงก่ำ ฉู่กั๋วกงก็ถอนหายใจก่อนจะนั่งลง เล่าต้นสายปลายเหตุทั้งหมดของเรื่องนี้ให้นางฟัง แววตาของฮูหยินหลิ่วเต็มไปด้วยความอาฆาต สีหน้าโหดเหี้ยมอำมหิต ภายในใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้นที่สูงล้นฟ้า “ฆ่านางซะ!” หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ฮูหยินหลิ่วก็เหลือบสายตาแดงก่ำของตนเองจ้องมองฉู่กั๋วกงตาเขม็ง: “ข้าต้องการฆ่านาง ต้องการให้นางตายอย่างทรมาน! ต้องการให้ศพของนางถูกสับเป็นหมื่นชิ้น!” หากไม่แล้ว มันไม่พอจะดับไฟแค้นในใจของนางได้เด็ดขาด! นางชาติชั่วอัปรีย์คนนี้! แค่เศษสวะต่ำต้อย กล้าดีอย่างไรถึงมาทำร้ายจิงหงของนาง! เหตุไฉนสวรรค์ถึงได้อยุติธรรมเพียงนี้?! ปล่อยให้คนชั่วช้าสามานย์แบบนี้ก่อกรรมทำชั่วสำเร็จได้อย่างไร! เพร
ขอบฟ้าเริ่มสว่างรำไร ดวงตะวันสีทองเคลื่อนขึ้นจากปลายฟ้า มอบความอบอุ่นให้ยามเช้าที่ชุ่มไปด้วยหยาดน้ำค้าง ทว่าเวลานี้พวกเหล่าจ้าวกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นแม้แต่น้อย พวกเขาทุกคนตั้งท่าระวังภัยอย่างเคร่งเครียด ยกอาวุธในมือขึ้นอย่างพร้อมเพรียง กระทั่งเห็นศีรษะโผล่ออกมาจากซอกเขา เหล่าจ้าวก็ผงะไป เซียวอวิ๋นถิงกลับพุ่งลงจากเนินเขาทันที และโยนซองธนูในมือทิ้งไปให้เหล่าจ้าว ก็สาวเท้าวิ่งตรงไปหาชีหยวนทันที เสี้ยวพริบตานั้น เซียวอวิ๋นถิงอธิบายความรู้สึกภายในใจของตนเองไม่ถูก ทว่าความตื่นเต้นในน้ำเสียงของเขานั้นปิดไม่มิด “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” เขามองชีหยวน แทบจำไม่ได้ว่าคนมอมแมมตรงหน้าตอนนี้ก็คือชีหยวน ชีหยวนสะบัดศีรษะ ไล่น้ำค้างที่เกาะอยู่ออกไป พอได้ยินเช่นนั้นก็ยิงฟันใส่เซียวอวิ๋นถิงไปหนึ่งที: “กำลังเดินทางกลับเมืองหลวง แต่ก็อยากแวะมาดูสถานการณ์ที่นี่สักหน่อย” ดูอะไร? เซียวอวิ๋นถิงแทบจะเข้าใจในทันที: “อยากดูว่าคนสกุลหลิ่วค้นพบแล้วหรือยังอย่างนั้นหรือ?” ชีหยวนผงกศีรษะ พลางปัดมือเพื่อเอาเศษดินโคลนที่ติดอยู่บนมือออกไป ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ: “หลุมข้างล่างถูกคนรื้อไปแล้ว
คนอย่างชีหยวนรู้จักกลัวอะไรบ้าง? เขานวดใบหน้าของตนเองที่เริ่มแข็งทื่อไป พลางส่งเสียงเฮอะออกมาแล้วถึงจะเอ่ยขึ้นว่า: “หากเป็นอย่างที่เจ้าว่า บัดนี้อ๋องฉีได้รับบาดเจ็บและกำลังเดินทางกลับเมืองหลวง เช่นนั้นเจ้าต้องระวังตัวให้ดี เขากลับเมืองหลวงไปได้อย่างปลอดภัย ย่อมปกปิดเรื่องที่เขาแอบหนีออกจากเมืองหลวงได้เป็นธรรมดา ทว่าความแค้นของพวกเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยที่มีต่อเจ้ามีแต่จะยิ่งเพิ่มขึ้น” ชีหยวนเปล่งเสียงอืมออกมาอย่างไม่ใส่ใจ: “ใช่ ฉะนั้นข้าจึงต้องรีบกลับเมืองหลวง หากว่าข้าไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง พวกเขาจะจัดการข้าได้ง่ายขึ้น” เดิมทีนางก็ควรเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่อาศัยใช้ชีวิตอยู่ในจวนโหว ..... ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด พออยู่กับชีหยวนแล้ว บทสนทนามักจะจบลงเร็วเสมอ คงจะเป็นเพราะนางพูดน้อยเกินไปกระมัง มีอะไรก็จะพูดแค่นั้นตลอดมา ไม่เคยใช้คำพูดเยิ่นเย้อฟุ่มเฟือย เซียวอวิ๋นถิงมองนางด้วยสายตาลุ่มลึก: “หลังจากนี้มีแผนการอะไรหรือ? บัดนี้เจ้ามีศัตรูอยู่รอบด้าน” “คอยดูสถานการณ์ เดินทีละก้าว” ชีหยวนตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “ใครกล้าโผล่ออกมาก่อนก็จัดการคนนั้นก่อน” ถึงอย่างไรหากคนอื่นไม่ตายก็ต้
แม้จะเจ็บปวดใจกับเรื่องของบุตรชาย และเรื่องที่องครักษ์ลับถูกกำจัดก็ชวนให้หงุดหงิดใจมากเช่นกัน ทว่าสำหรับสกุลหลิ่วแล้ว ไม่มีสิ่งใดสำคัญและเร่งด่วนไปมากกว่าอ๋องฉี อย่างน้อยที่สุดอ๋องฉีก็กลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว! ฉู่กั๋วกงสูดหายใจลึก ก่อนจะเปล่งเสียงรับคำเบา ๆวางฝ่ามือบนห่อผ้า พร้อมหลับตาลงด้วยสีหน้าโศกเศร้าเพียงชั่วขณะ จากนั้นถึงจะส่งห่อผ้าให้คนสนิท: “นำสิ่งนี้ไปให้ฮูหยิน บอกให้ฮูหยินคอยข้ากลับมาก่อนค่อยหารือกัน” จะยอมให้บุตรชายของเขาจะตายอย่างคลุมเครือ และถูกฝังร่างไปอย่างน่าสมเพชเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด คนสนิทรับคำด้วยความยำเกรง ฉู่กั๋วกงก็มิได้อ้อยอิ่งรีบรุดไปที่จวนอ๋องฉีทันที ครั้นเขามาในจวนอ๋องฉีแล้ว หัวใจของเขาพลันกระตุกวูบ เพราะแม้แต่ขันทีสวีที่หนักแน่นสุขุมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรยังควบคุมร่างกายไว้ไม่อยู่ยืนตัวสั่นเทิ้มอยู่หน้าประตูแบบนี้เป็นครั้งแรก เขาเร่งฝีเท้าเข้าไปถามไถ่ทันที: “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?! ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง?” ขณะเดียวกันเขาพลันรู้สึกจุกแน่นในอกจนแทบหายใจไม่ออก คงมิได้เกิดเหตุร้ายขึ้นอีกแล้ว? สีหน้าของขันทีสวีบัดนี้ยากเกินจะอธิบาย เขาลืมแม้ก
เขารู้ดีว่าความหงุดหงิดของอ๋องฉีในยามนี้ย่อมมีสาเหตุมาจากความกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของตนเอง หากว่าเกิดปัญหาจริงและรักษาไม่หายแล้ว… เขาไม่กล้าคิดเลยว่าจะมีโทษทัณฑ์แบบใดตกใส่ตัวพวกเขาบ้าง ฉู่กั๋วกงยื่นมือไปกดอ๋องฉีไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ: “ท่านอ๋องอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าส่งคนไปเชิญหมอเทวดาเซวียมาแล้ว เขาจะต้องมีหนทางแน่” ได้ยินฉู่กั๋วกงเอ่ยเช่นนี้ ความกังวลภายในใจของอ๋องฉีถึงจะคลายลงไปบ้าง เขาเงยศีรษะขึ้นมองฉู่กั๋วกง: “ท่านตา ข้าไม่เจอตัวพระชายาหลิ่ว” ยิ่งเจ็บปวด ความโกรธแค้นในใจของอ๋องฉีก็ยิ่งทวีคูณ ขณะเดียวกันก็คิดถึงเป้าหมายสำคัญขึ้นมาได้ เขาไล่ตามชีหยวนออกไป เดิมก็เพื่อไปหาพระชายาหลิ่ว ผลสุดท้ายชีหยวนเพียงแค่ล่อเขาออกไปและหายตัวไปชั่วขณะหนึ่ง ชั่วขณะนั้น ไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วชีหยวนไปที่ใด และได้ไปพบพระชายาหลิ่วแล้วหรือไม่? ตามแผนการเดิมของเขา ตั้งใจจะใช้สกุลเซี่ยเป็นตัวประกันข่มขู่ให้ชีหยวนส่งตัวพระชายาหลิ่วมาก น่าเสียดายนางผู้หญิงคนนั้นเจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก ถึงขั้นสังหารพวกโจวเสี่ยวเผิงอย่างไร้ความปรานี มิหนำซ้ำยังโยนความผิดให้พวกโจรป่า ด้วยเหตุนี
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื
แน่นอนว่าผู่อู๋ย่งไม่มีพ่อ พ่อของเขาตายไปนานแล้ว มิเช่นนั้นจะเข้ามาเป็นขันทีในวังได้อย่างไรกันเล่า?!แต่ตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเพิ่งตายไปจริง ๆ เลยบัดซบเอ๊ย!เหลวไหลสิ้นดี!ที่ไหนมีขันที ที่นั่นก็ต้องมีคนของเขาแฝงอยู่รัชทายาทวังบูรพาโง่เง่าอย่างกับหมู ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปทั้งตัวต่อให้เซียวอวิ๋นถิงฉลาดหลักแหลมแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่คน ไม่ใช่เทพเซียน!เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าส่งขันทีไปขัดขวางเซียวอวิ๋นถิง แล้วก็ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทำเลยหลักฐานทั้ง ๆ ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างไม่มีที่ติแต่สุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับวางแผนเหนือกว่า ส่งของไปถึงฮ่องเต้หย่งชางก่อนเสียได้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?!ไอ้บ้าสองตัวนั่น!คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนเหี้ยมโหด ราวกับสุนัขจิ้งจอกกับอสรพิษรวมหัวกัน ใครหน้าไหนเข้าใกล้ก็ต้องถูกพวกเขากัดเข้าให้สักแผลเขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเขาเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา ไม่มองทางสวีฮว่านอีกเขาไม่เคยกังวลเลยว่าเรื่องนี้จะพัวพัน
ก็ใช่ว่าจะเคราะห์ร้ายเสียทีเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาสนใจเขานัก ล้วนแต่ยุ่งกับการจัดการจวนฉู่กั๋วกงกันทั้งนั้น ต่อมาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปอีก เรื่องราวเยอะเกินไป ไม่มีใครจะนึกถึงเขาหรอก ทว่าเขาเองก็กลัวมาก! น้องหญิงคนนั้นของเขา มิใช่คนที่จะสะสางหนี้แค้นด้วยคุณธรรมมาตั้งแต่ตอนเยาว์วัยแล้ว หลังจากนี้จะต้องหาโอกาสมาจัดการเขาแน่! พูดให้ถึงที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษสกุลชีอย่างเดียว หากว่าสกุลชีไม่พาตัวพระชายาหลิ่วกลับมา เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วในตอนนี้อุตส่าห์หาโอกาสได้แล้วทั้งที เข้าย่อมต้องเหยียบย่ำสกุลชีให้เต็มที่แน่นอน ผู่อู๋ย่งยิ่งรู้สึกขบขันเต็มที พอเห็นว่าสวีฮว่านเหลือบสายตามองตนเองด้วยความเคร่งเครียดแล้ว ก็เบนสายตาออกเชิงว่าตักเตือนทันที สวีฮว่านรีบก้มศีรษะลง บัดนี้ลำคอของเขายังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย ไหนจะตรงช่วงท้องอีก ดูเอาเถิดว่านางเด็กชีหยวนคนนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมมากขนาดไหน หัวใจของเขาเต้นระส่ำว้าวุ่นไม่เป็นสุข จนถึงตอนนี้ ทั่วท้องพระโรงทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นล้วนพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของสกุลชี ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับยังคงไม่ปรากฏตัว
สกุลชีถูกโจรบุกปล้นในวันที่สามของปีใหม่ ที่พำนักของคุณหนูใหญ่สกุลชีถูกไฟเผาวอดไปครึ่งหนึ่ง หากมิใช่เพราะคุณหนูใหญ่สกุลชีบังเอิญไปอยู่ที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่า และกำลังคัดเลือกถั่วปากอ้ากับฮูหยินผู้เฒ่าพอดี เกรงว่าคุณหนูใหญ่สกุลชีคงจะไม่รอดแล้ว เรื่องนี้ปิดบังไม่อยู่ ไม่นาน ก็แพร่สะพัดลือเล่ากันไปไกลแล้ว จะไม่ให้แพร่สะพัดไปไกลก็คงไม่ได้ สกุลชีเพิ่งถูกกล่าวหาว่าสมคบกับข้าศึกขายดินแดนให้อริราชศัตรู โหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นก็ถูกจับเข้าคุกหลวงไปแล้ว เห็นสกุลชีสภาพน่าเวทนาถึงเพียงนี้ แต่ใครจะรู้ว่ายังมีคนจ้องจะซ้ำเติมสกุลชีไม่ปล่อย หวังให้สกุลชีตายราบคาบ เฮอะ ๆ พวกชาวบ้านก็ยังมีแอบวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง “ไม่รู้ว่าใช่ฝีมือของครอบครัวทหารจากจี้โจวหรือไม่?” “จริงด้วย หากว่าเป็นอย่างที่พวกครอบครัวทหารเหล่านั้นว่ากันจริง เงินถูกสกุลชิงเอาไปแล้ว แต่กลับโยนความผิดให้พวกเขารับไว้แบบนั้น พวกเขาจะไปยอมได้อย่างไร?” “หากเป็นข้านะ ข้าก็คงทุ่มสุดตัวเหมือนกัน!” ดูเหมือนว่าคนที่คิดเห็นเช่นเดียวกันนี้จะมิได้มีเพียงแค่พวกชาวบ้าน เทศกาลปีใหม่ปีนี้ถูกลิขิตไว้ไม่ให้เงียบสงบ ในวันที่เจ็ดของปีใหม่ ศ
สวีฮว่านเหงื่อเย็นไหลพลั่ก ตอนที่ได้ยินชีหยวนนับหนึ่ง สอง สาม ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ร้องเสียงดังออกไป “ข้าให้เจ้าก็ได้! ข้าให้เจ้าก็ได้! สาส์นลับอยู่ใน…อยู่ในชั้นวางลับหลังโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือของข้า!” ชีหยวนเปล่งเสียงอุทานออกมาหนึ่งคำ ก่อนจะเก็บกริชและปิ่นทองคำกลับมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขาฉุดเขาขึ้นมา และผลักให้เขาเดินไปที่ชั้นหนังสือ พร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “เปิดมัน” สวีฮว่านลังเลเล็กน้อย ทันใดนั้นชีหยวนก็เตะข้อพับขาของเขาอย่างแรงไปหนึ่งที “เปิดออก!” สวีฮว่านดึงจี้หยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของตนเองออกมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะฝังมันเข้าไปในตำแหน่งที่เป็นช่องเว้าบนชั้นวางหนังสือ และหมุนมันหนึ่งรอบ ทันใดนั้นชั้นหนังสือก็เปิดออกอย่างช้า ๆ ทว่าเสี้ยวพริบตาเดียวนี้ สวีฮว่านรีบสะบัดตัวออกจากชีหยวนหวังว่าจะหลบหนี เขารู้ดี โดยปกติคนเราเมื่อตกอยู่ในเสี้ยวขณะที่ได้รับสิ่งของที่ตนเองต้องการมากเป็นอย่างยิ่ง ก็จะเผลอไผลไปได้ง่ายดายที่สุด เขาเฝ้ารอจังหวะนี้มาโดยตลอด ทว่าน่าเสียดาย เขาเพิ่งจะกลิ้งตัวไปกับพื้น กลับเห็นชีหยวนใช้มือปัดลูกธนูที่พุ่งออกมาจากชั้นวางลับ